“เฮ้ พูดแบบนี้ได้ไง” ชวีเสี่ยวปอชี้นิ้วไปยังหน้าจอ “ก็นายแต่งเื่ออกมาเร็วเกิน ฉันยังไม่ทันได้พูดเลย”
“ถ้างั้นนายก็ควรจะส่งสัญญาณอะไรหน่อยสิ” ซือจวิ้นลูบใบหน้าทำท่างเช็ดน้ำตาอย่างเกินจริงออกมา “ถ้าพรุ่งนี้ไปโรงเรียนแล้วเขาทำอะไรรุนแรงกับฉัน นายต้องห้ามเขาเอาไว้ด้วยนะ”
“ไม่ต้องให้เขามาห้ามหรอก” เซี่ยเจิงดับบุหรี่ลง แล้วก็ชะโงกศีรษะจากด้านหลังชวีเสี่ยวปอเข้ามาอีกครั้ง “ฉันต้องขอบคุณนายดีๆ สักครั้งแล้วละ พี่ชายที่รู้ใจ”
“เน็ตฉันค้างแล้ว” ซือจวิ้นทิ้งเอาไว้ประโยคหนึ่ง ก่อนที่จะรีบวางสายไปทันที
“ทำไมฉันรู้สึกว่าซือจวิ้นกลัวนายมากเลยอะ” ชวีเสี่ยวปอเก็บโทรศัพท์กลับเข้ากระเป๋าไป จากนั้นจึงชนไหล่ของเซี่ยเจิงไปครั้งหนึ่ง “ไอแล้วยังสูบบุหรี่อีกเหรอ? ”
“จะได้รู้สึกสดชื่นขึ้นหน่อย” เซี่ยเจิงพูด “เดี๋ยวกลับไปต้องทำข้อสอบอีก”
“เด็กเรียนก็ไม่ได้พึ่งแค่สติปัญญาอย่างเดียวนะเนี่ย” ชวีเสี่ยวปออดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา “อย่าเพิ่งเปลี่ยนเื่สิ ดูสินายทำซือจวิ้นใซะขนาดนั้น”
“งั้นเหรอ? ” เซี่ยเจิงหยุดเว้นวรรคไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยกแขนขึ้นมาวางมือทั้งข้างรองไว้ใต้คาง เพื่อทำท่าดอกทานตะวัน ขณะที่ทำท่าทางนี้อยู่ก็พูดไปด้วยว่า : “ฉันน่ารักขนาดนี้ ทำไมต้องกลัวฉันด้วย”
คนติงต๊องคนนี้
คนติงต๊องคนนี้ก็น่ารักจริงๆ นั่นแหละ
ชวีเสี่ยวปอไม่ได้รีบร้อนตอบกลับไป แต่กลับดึงโทรศัพท์มือถือออกมาอีกครั้ง แล้วจ่อไปที่เซี่ยเจิงพร้อมกับเสียงชัตเตอร์ที่ดังขึ้น
แสงแฟลชที่สว่างวาบขึ้นมาทำให้เซี่ยเจิงจำต้องหลับตาลง หลังจากที่รู้สึกตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ชวีเสี่ยวปอก็เริ่มเปิดดูอัลบั้มรูปพลางหัวเราะขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว
“มือไวเหมือนกันนะเนี่ย” เซี่ยเจิงหัวเราะตามเขาขึ้นมาอย่างไม่มีทางเลือก แล้วจึงขยับเข้าไปมองบนหน้าจอ “ให้ฉันดูหน่อยว่าฉันน่ารักพอหรือเปล่า”
“ใบหน้านี้ของนาย” ชวีเสี่ยวปอซูมรูปภาพขึ้นมา ใช้นิ้วจิ้มไปบนแก้มของเซี่ยเจิงในโทรศัพท์ ไม่ได้น่ารักแบบเป็มิตร แต่ให้ความรู้สึกเหมือนรูปแกล้งคนที่น่ารักแบบติงต๊องมากกว่า
แตกต่างจากสีหน้าท่าทางอันไร้อารมณ์โดยปกติของเซี่ยเจิงอย่างลิบลับ
เป็ประสบการณ์อันยอดเยี่ยมอย่างหนึ่งที่เห็นหนุ่มหล่อทำท่าทางปัญญาอ่อนเช่นนี้
ชวีเสี่ยวปอกำลังกดถูกใจให้กับทักษะการลั่นชัตเตอร์ถ่ายรูปอย่างรวดเร็วของตัวเองอยู่ในใจ
“ยิ้มสดใสขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย? ” เซี่ยเจิงมองไปยังฟันขาวที่เรียงกันเป็แถบของตัวเองในรูปภาพ พลางส่ายหน้าไปมา
“นายระวังตัวเอาไว้หน่อยละ” ชวีเสี่ยวปอชำเลืองมองเขา เอ่ยขึ้นมาด้วยรอยยิ้มอันร้ายกาจ “ฉันมีประวัติอันดำมืดของนายแล้วนะ”
“ทำไม ขู่ฉันเหรอ” เซี่ยเจิงพูดขึ้น ทั้งสองคนก็พลางเดินไปหน้าปากซอย
“เปล่าเลย” ชวีเสี่ยวปอลูบคางเล็กน้อย “ไม่มีอะไรน่าขู่ซะหน่อย เอ๊ะ ใช้รูปนี้ขู่ให้เรียกนายฉันว่าพี่ดีกว่า นายจะเรียกไหม? ” ชวีเสี่ยวปอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจู่ๆ เขาถึงได้สนใจอายุที่ห่างกันเพียงไม่กี่เดือนของเขากับเซี่ยเจิงขึ้นมาได้ บางทีในหัวของเขาอาจจะเอาแต่คิดถึงเื่ฉลองวันเกิดให้เซี่ยเจิงละมั้ง?
“ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของฉัน” ถึงปากซอยเป็ที่เรียบร้อย เซี่ยเจิงดึงชวีเสี่ยวปอเอาไว้ จากนั้นจึงตบเบาๆ ไปที่หลังของเขา “เจอกันพรุ่งนี้นะคุณแฟน”
“พรุ่งนี้...” ชวีเสี่ยวปอตอบรับกลับไป กำลังจะเดินไปด้านหน้า แต่ก็หยุดฝีเท้าอีกครั้ง ก่อนที่พูดขึ้นมาว่า : “พรุ่งนี้ฉันมากินข้าวเช้ากับนายได้ไหม? ฉันอยากกินซาลาเปาร้านนั้น”
“นายตื่นไหวเหรอ? ” ภายใต้แสงไฟจากถนน ทำให้เห็นไอหนาวพ่นออกมาจากปากของเขาทั้งสองคนในตอนพูดคุยกันอย่างชัดเจน ขณะนั้นเซี่ยเจิงเองก็ย่ำเท้าไปมาด้วยเช่นกัน
“ไหว เหตุผลที่ฉันไม่ตื่นคือี้เี แต่แค่ฉันอยากตื่นก็ตื่นได้แหละ” ชวีเสี่ยวปอสูดจมูก “รอฉันด้วยนะ !”
“ได้เลย” เซี่ยเจิงตอบรับ “เอ๊ะ มีรถมาพอดี” เขาโบกมืออย่างแรงไปตรงถนน
เมื่อชวีเสี่ยวปอหันกลับไป ก็เห็นรถแท็กซี่ที่เซี่ยเจิงโบกคันหนึ่งค่อยๆ ขับเข้ามาจอดที่ข้างทางพอดี
“กลับเถอะ ถึงบ้านแล้วบอกด้วยนะ” เซี่ยเจิงขยับถอยมาด้านหลังก้าวหนึ่ง ทำให้ครึ่งตัวของเขาเข้าไปอยู่ในความมืด จากนั้นจึงทำท่าส่งจูบไปให้ชวีเสี่ยวปอ
จากมุมนี้ มีเพียงแค่ชวีเสี่ยวปอที่สามารถเห็นจูบนี้ได้อย่างชัดเจน
“ไปก่อนนะ” ชวีเสี่ยวปอเองก็ส่งจูบกลับไปเช่นกัน จากนั้นถึงได้วิ่งเหยาะ แล้วก้มตัวขึ้นรถแท็กซี่ไป
“กลับมาแล้วเหรอ? ”
เมื่อกลับมาถึงบ้าน เวินลี่ก็กำลังโค้งตัวฝึกโยคะตามในโทรทัศน์อยู่ ร่างกายของเธอตามไม่ทันสมอง พูดตามตรงก็คือร่างกายไม่ประสานกัน ชวีเสี่ยวปอมองไปยังโทรทัศน์ คุณครูที่อยู่ในหน้าจอก้าวเท้าซ้ายออกไป แต่เวินลี่กลับเตะเท้าขวาออกไปทันที
“ครับ” ชวีเสี่ยวปอกลั้นขำเอาไว้ “ผมขึ้นห้องก่อนนะครับ”
“มากินผลไม้สักหน่อยสิ” เวินลี่คลำหารีโมตจ่อไปทางโทรทัศน์ แล้วจึงกดปุ่มหยุดเล่นชั่วคราว พร้อมทั้งหันมองชวีเสี่ยวปอด้วยความสงสัย “วันนี้ดูมีความสุขมากเลยนะ? ที่โรงเรียนมีเื่น่าดีใจเหรอ? ”
“อ๋า? ” ชวีเสี่ยวปอเพิ่งจะนั่งลงบนโซฟา และหยิบซ้อมขึ้นมา “ที่โรงเรียนจะมีเื่อะไรได้ครับ”
“ถ้างั้นแล้วทำไมถึงได้ทั้งฮัมเพลงทั้งยิ้มออกมาแบบนี้ล่ะ” เวินลี่ดันจานผลไม้ไปด้านหน้าชวีเสี่ยวปอ ไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติมแล้ว “กินเถอะ กินเสร็จก็อาบน้ำนอนนะ”
เนื่องจากคำพูดนี้ของเวินลี่ ในตอนที่ชวีเสี่ยวปออาบน้ำเขาจึงสำรวจใบหน้าดูเล็กน้อย เขายืนส่องกระจกโดยที่ทั้งตัวเปลือยเปล่าอยู่พักใหญ่
ดูเหมือนว่าจะ...มีความสุขมากจริงๆ ด้วย
ทั้งยังไม่ใช่การตั้งใจทำขึ้น เพราะถึงยังไงเมื่อมองั์ตาของชวีเสี่ยวปอมันก็มักจะแฝงเอาไว้ด้วยรอยยิ้มเสมอ... ให้ตายเถอะ ชวีเสี่ยวปอขยี้ดวงตาอย่างแรงสองที พลางแยกเขี้ยวขึ้นมาหน้ากระจก พยายามทำสีหน้าให้ดุร้าย
“บ้าไปแล้ว” สุดท้ายแล้วตัวเขาเองก็ทนไม่ไหว พูดวิจารณ์ตัวเองขึ้นมาไม่ยั้ง
แต่ก็อารมณ์ดีจริงๆ
พูดยังไงดีล่ะ บางทีอาจจะเป็ลักษณะเด่นของคนมีที่กำลังมีความรักก็เป็ได้ ในตอนที่เวินลี่ถามขึ้นมาว่าทำไมถึงทั้งฮัมเพลงทั้งยิ้มออกมา สิ่งเดียวที่ชวีเสี่ยวปอคิดอยู่ในหัวคือความอึดอัดใจระหว่างเขากับเซี่ยเจิงหลายวันมานี้ในที่สุดก็ผ่านไปสักที
แต่ความจริงแล้วยังมีอีกปัญหาหนึ่งที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข
ซึ่งก็คือเื่ “ความรู้สึกมั่นคง” ที่ซือจวิ้นพูด
ที่เซี่ยเจิงพูดก็ถูกอยู่เหมือนกัน ถ้าอยากรู้ว่าความรู้สึกมั่นคงที่ตัวเองตามหาคืออะไรกันแน่ ก็ควรต้องรู้ก่อนว่าตัวเองกลัวอะไร
ชวีเสี่ยวปอเช็ดตัวให้แห้ง จากนั้นจึงเดินออกจากห้องน้ำมาทิ้งตัวลงไปเตียง
กลัวอะไรกันนะ
เมื่อคิดดูอย่างละเอียด ถ้าหากค่อยๆ เผชิญหน้าอย่างใจเย็นมากขึ้น ก็ดูเหมือนว่าจะมีอยู่ไม่น้อยเลย
กลัวเซี่ยเจิงจะชอบคนอื่น
กลัวแม่ของเซี่ยเจิงจะรู้ความสัมพันธ์ของเขาสองคน
แล้วก็ยังกลัวเวินลี่และชวีอี้เจี๋ยจะรู้เข้าเหมือนกัน
แต่สิ่งที่กลัวไปกว่านั้นคือ กลัวที่จะต้องแยกกับเซี่ยเจิง
เมื่อเผชิญกับความกลัวเหล่านี้ มันเหมือนการเผชิญหน้ากับการที่ไม่อยากให้คนอื่นรับรู้จุดอ่อนในใจของตัวเอง แต่สิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่การที่คุณปิดบัง แสร้งทำเป็ไม่สนใจ แล้วมันจะหายไปได้ ตรงกันข้ามมันกลับเปลี่ยนแปลงไปได้ตลอดเวลา ซึ่งก็เหมือนกับเื่ที่เกิดขึ้นในร้านเหล้าวันนั้น ตอนแรกเป็ความสับสนของคนคนหนึ่ง แต่แล้วก็เปลี่ยนกลายเป็ความขัดแย้งของคนสองคนขึ้นมา
มันไม่ควรจะเป็เช่นนั้น
ชวีเสี่ยวปอมุดเข้าไปใต้หมอนพลางคิดเรื่อยเปื่อยไปพักหนึ่ง ก่อนจะเหยียดแขนยาวออกไปเปิดโคมไฟตั้งโต๊ะ หลังจากที่เขาวางแผนจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย โต๊ะหนังสือที่เดิมทีวางคอมพิวเตอร์ไว้แค่ตัวหนึ่ง ในตอนนี้ก็ได้เริ่มแสดงการใช้งานที่แท้จริงของมันออกมาแล้ว
หนังสือวางเรียงรายเอาไว้จนป้าแม่บ้านไม่กล้ามาเก็บ ราวกับบนนั้นมีกระบวนยุทธวิธีที่สามารถทำให้ชวีเสี่ยวปอตั้งใจเรียนขึ้นมาได้วางอยู่
มอห้า มอหก
ถ้าไม่พยายามขึ้นมา เวลาที่จะได้อยู่กับเซี่ยเจิง ก็จะเหลืออีกเพียงปีครึ่งแล้วใช่ไหม?
เซี่ยเจิงคงจะไปจากที่นี่อย่างแน่นอน?
ชวีเสี่ยวปอพลิกตัวะโขึ้นมา ก่อนจะนั่งลงที่หน้าโต๊ะหนังสือ หยิบปากกาขึ้นมาขีดๆ เขียนๆ ลงบนสมุดบันทึกเล่มหนึ่งที่เปิดอยู่