หลินเฟินและหลินฟางได้ยินหลินฟู่อินพูดเช่นนี้ก็นั่งไม่ติดเก้าอี้ หลินเฟินยังคงใไม่หายที่หลินฟู่อินคิดให้นางเป็ผู้ดูแลร้านอาหารที่เพิ่งเปิดใหม่ สีหน้าของเด็กสาวเป็กังวลอย่างเห็นได้ชัด
ต่างจากหลินฟางที่พูดโพล่งขึ้นมาเลยว่า “เป็ไปไม่ได้หรอกฟู่อิน ข้าและพี่สาวยังหาเงินไม่ได้เลยสักอีแปะเดียว พวกข้าจะรับส่วนแบ่งเช่นนี้ได้อย่างไร? ไม่… ไม่เอา…”
หลินเฟินที่สติเพิ่งฟื้นคืนกลับมาได้ก็โบกมือปฏิเสธ
สิบส่วนก็คือสิบส่วน เถ้าแก่หลิวนั้นได้ส่วนแบ่งสิบส่วน หลินฟู่อินจึงคิดว่าครอบครัวของนางเองก็ควรได้สิบส่วนเช่นเดียวกันถึงจะเท่าเทียม
เถ้าแก่หลิวได้ส่วนแบ่งสิบส่วนเพราะเขาเป็ผู้มอบร้านอาหารแห่งนี้ให้หลินฟู่อินและหลิวฉินดูแล แต่ใช่ว่าทุกอย่างจะง่ายดายและราบรื่น ่เวลานี้นางและหลิวฉินจำเป็ต้องให้คนที่ไว้ใจได้อย่างหลินเฟินและหลินฟางมาดูแลก่อน เพราะฉะนั้นหลินเฟินและหลินฟางถูกกำหนดชะตามาให้ใช้วันเวลานับไม่ถ้วนในภัตตาคารเปิดใหม่แห่งนี้ แล้วเหตุใดจึงจะแบ่งผลประโยชน์ครึ่งต่อครึ่งไม่ได้?
นอกจากนี้หลินเฟินและหลินฟางยังมีศักยภาพมากมาย ที่สำคัญพวกนางจะทุ่มเทให้กับงานของตนอย่างแน่นอน และนั่นคือสิ่งที่หลินฟู่อินอยากเห็น
เมื่อเห็นว่าหลิวฉินเริ่มคิดเกี่ยวกับเื่นี้หลินฟู่อินก็ไม่ขัด นางหันไปยกมือส่งสัญญาณให้หลินเฟินและหลินฟางหยุดพูด
เด็กสาวทั้งสองมองหน้ากันอย่างทำตัวไม่ถูก เห็นได้ชัดว่าพวกนางเกรงกลัวหลินฟู่อินมากเพียงใด
โอกาสดีเช่นนี้จะมีที่ใดอีกในโลก?
แต่สิ่งที่ตามมากลับทำให้ทั้งสองตื่นตระหนกมากกว่าเดิม
“เอาละ น้องฟางทำใจให้สงบก่อนเถิด ที่ผ่านมาเ้าไม่เคยทำงานเสียเลย ย่อมเป็เื่ดีหากได้เ้ามาช่วยงานที่ภัตตาคารใหม่ของเรา ส่วนน้องเฟิน เ้าเองก็ลองคิดดูแล้วเ้าจะเข้าใจ” หลิวฉินยิ้มขณะมองไปที่หลินฟู่อิน ก่อนหันกลับไปมองหลินเฟินและหลินฟาง “ข้าเห็นด้วย”
หลินเฟินและหลินฟางดวงตาเบิกโพลง ในใจได้แต่คิดว่าคุณชายใหญ่หลิวฉินผู้นี้สติไม่สมประกอบเสียแล้ว
“แต่ว่าพี่หลิว ข้าไม่รู้ว่าข้าจะดูแลภัตตาคารใหญ่เช่นนั้นได้อย่างไร?” หลินเฟินเอ่ยอย่างกังวล ไม่ใช่ว่านางไม่มั่นใจในฝีมือของตัวเอง ปัญหาหลักคือนางไม่มีความรู้เื่การบริการกิจการใหญ่อย่างจริงจัง
“ง่ายนิดเดียว แค่พวกเ้าไปที่ภัตตาคารหลิวจี้ในวันพรุ่งนี้ แล้วเรียนรู้ทุกสิ่งจากผู้ดูแลที่นั่นเสีย” หลิวฉินตอบด้วยท่าทางสบายๆ
เด็กสาวสองคนนี้เป็ทั้งคนโปรดและคนสนิทของหลินฟู่อิน ความเฉลียวฉลาดคงไม่ห่างกันไปไหนไกล
แม้บางครั้งเขาจะรู้สึกว่าผู้าุโตระกูลหลินแปลกกันไปหน่อย แต่หนุ่มสาวตระกูลนี้ไม่มีใครหัวไม่ดีเลยสักคน
ขนาดลงทุนเดินทางไปยังสำนักศึกษาในเมืองเพื่อสืบหาเื่ราว หลินซานหลางอาจเข้าเรียนช้าไปบ้าง แต่เขามีพร์ด้านการอ่านอย่างแท้จริง เรียกว่าอ่านหนังสือได้ทุกเล่มไม่มีตกหล่น ทั้งยังเป็ที่รักของเหล่าบัณฑิตหนุ่มร่วมสำนัก
ว่ากันว่าหากเขารักษาความเพียรพยายามและพร์ที่ดีเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าปีหน้าเขาอาจจะสอบเข้าเป็ซิ่วไฉได้เต็มตัว
คิดในทางกลับกัน จะคุ้มค่าหรือไม่หากเขาได้เข้าเป็ซิ่วไฉหลังจากนี้? กล่าวคือซิ่วไฉหนุ่มวัยยี่สิบกว่าปีนั้นมีมากมาย ซิ่วไฉวัยสิบสี่หรือสิบห้าต่างหากที่พบเจอได้ยาก
หลินต้าหลางเป็อีกคนที่นับว่าสติปัญญาเป็เลิศ แม้นิสัยจะไม่น่าคบหาเท่าไรนัก หากเขาคิดทำตัวดีขึ้นกว่านี้สักนิด บ้านใหญ่ตระกูลหลินคงหาเงินได้เป็กอบเป็กำ
หลิวฉินคิดอิจฉาอยู่ลึกๆ เพราะบรรพบุรุษของเขาล้วนเป็ธุลีอยู่ในสุสานกันหมด
แล้วหาก… เขาได้แต่งงานผูกวาสนากับหลินฟู่อินเล่า?
หลินฟู่อินสังเกตเห็นประกายวูบไหวภายในดวงตาของหลิวฉิน นางไม่อาจเดาได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่จึงทำเพียงยกมือแตะแขนชายหนุ่ม “พี่หลิว ท่านคิดอะไรอยู่? ตื่นได้แล้ว!”
“โอ้? โอ้ตาย ไม่มีอะไรหรอก ข้าไม่ได้คิดอะไรเลย!” สติของหลิวฉินกลับมาอีกครั้ง หากแต่ใบหน้าของเขากลับปรากฏสีแดงระเรื่ออย่างน่าสงสัย เคราะห์ดีที่ตอนนี้ทุกคนต่างก็คิดเื่ของตัวเองจนไม่ทันได้สังเกตถึงท่าทางที่แปลกไปของชายหนุ่ม
“เช่นนั้นหากทุกคนเห็นพ้องต้องกันแล้ว ก็หาคนมาเขียนโฉนดและข้อตกลงส่วนแบ่งทั้งหมดของลุงหลิว ท่าน ข้า และพี่เฟินพี่ฟาง เสร็จแล้วให้ทุกคนประทับตราให้เรียบร้อย”
หลิวฉินพยักหน้ารับโดยไม่คิดขัดข้องอะไร “นั่นคือสิ่งที่เราควรทำ ข้าคุ้นเคยกับเื่พวกนี้ดี ข้าจะจัดเตรียมไว้ให้ เมื่อถึงเวลาเ้าก็มาตรวจดูแล้วประทับตราได้เลย”
เื่นี้หลินฟู่อินมอบหมายให้หลิวฉินจัดการ
“อันดับแรกเราต้องหาที่ตั้งภัตตาคาร” หลินฟู่อินถามหลิวฉิน “พี่หลิว ข้าเห็นท่านคุ้นเคยกับชิงเหลียน ท่านรู้จักผู้คนและมีมิตรสหายมากมายที่นั่น เื่ที่ตั้งภัตตาคารให้เป็หน้าที่ของท่านด้วยได้หรือไม่”
หลิวฉินพยักหน้ารับ ก่อนเอ่ยถาม “ฟู่อิน หลังจากได้ที่แล้ว เราควรเช่าหรือซื้อเลยดี?”
นับเป็อีกหนึ่งปัญหาที่ต้องใช้เวลาตัดสินใจกันให้รอบคอบ และเพราะกำลังวุ่นวายกับการจัดการทุกสิ่งอย่าง หลินฟู่อินจึงลืมคิดเื่นี้ไป
เด็กสาวมองกลับไปยังหลิวฉินสลับกับหลินเฟินและหลินฟาง “ข้าว่าเรามาช่วยกันคิดจะดีกว่า เราควรซื้อหรือเราควรเช่าที่ดินกันดีเล่า?”
“ข้าไม่คิดว่าภัตตาคารจะไปได้สวยเท่าไร หากเช่าคงเป็การดี” หลิวฉินเอ่ยความเห็น
หลินฟางใช้เวลาครุ่นคิดสักพักก่อนตอบว่า “แม้ข้าจะไม่ค่อยเข้าใจอะไร แต่ข้าคิดว่าที่พี่หลิวพูดก็มีเหตุผล หากภัตตาคารขายไม่ดี เขาก็แค่ย้ายไปเริ่มต้นกันใหม่ที่อื่น”
หลินฟู่อินหันไปมองหลินเฟินเป็คนสุดท้าย “พี่เฟิน ท่านมีอะไรจะพูดหรือไม่?”
หลินเฟินชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นหลินฟู่อินส่งสายตามาเช่นนั้น แต่นางก็เรียกสติกลับมาได้อย่างรวดเร็ว พร้อมเอ่ยตอบอย่างเขินอาย “ข้าคิดว่าหากเ้ามีเงินมากพอก็ควรซื้อเลยจะดีกว่า เพราะถ้าเราคิดจะเริ่มต้นอะไรบางอย่างแล้ว เหตุใดเราจึงคิดกลัวก่อนลงมือทำกันเล่า?”
หลินฟู่อินหัวเราะลั่นทันทีที่ได้ยินคำพูดของหลินเฟิน แต่ว่าเด็กสาวนั้นยังพูดไม่จบ
“หากภัตตาคารเปิดแล้วทุกอย่างไปได้สวย ข้ากลัวว่าจะมีเื่ต้องลำบากหากเป็ที่เช่า เพราะฉะนั้นหากมีเงินมากพอก็ซื้อ แต่หากมีไม่ถึงเราก็แค่เช่า”
“ใช่แล้วพี่เฟิน ข้าเองก็คิดเช่นนั้น” หลิวฟู่อินหัวเราะร่าก่อนมองไปยังหลิวฉิน “หากท่านเห็นด้วย ข้าจะใช้เงินทั้งหมดจากร้านของข้า”
หลิวฉินคิดหนัก แม้ว่าสิ่งที่หลินเฟินพูดจะฟังดูเข้าทีและเขาเองก็เห็นพ้องต้องด้วย แต่การซื้อขายอาคารไม้สามชั้นในชิงเหลียนต้องใช้เงินไม่น้อย เงินของเขาบางส่วนต้องแบ่งเก็บไว้ให้ญาติพี่น้อง ไม่อาจนำมาใช้ได้
หลิวฉินกังวลว่าหลินฟู่อินจะไม่สามารถหาเงินได้มากพอ เขามองไปที่เด็กสาวอีกครั้ง “ฟู่อิน เ้ารู้หรือไม่ว่าต้องใช้เงินเท่าไร ถ้าเ้า้าซื้อที่ให้ใหญ่เท่าภัตตาคารของข้าในชิงหยาง?”
“หากพี่หลิวพูดเช่นนั้น ท่านจะได้เงินเท่าไรหากท่านขายภัตตาคารของท่านตอนนี้?”
“เท่านี้” หลิวฉินชี้ไปยังฝ่ามือของหลินฟู่อิน นั่นหมายถึงนิ้วทั้งห้านิ้ว
หลินฟู่อินพยักหน้า “ห้าพันตำลึงเงินเช่นนั้นหรือ?”
เงินห้าพันตำลึงคงเป็เพียงเศษเงินสำหรับภัตตาคารหลิวจี้ตอนนี้ แต่ยังเป็เงินจำนวนมหาศาลสำหรับหลินฟู่อิน
ยิ่งไปกว่านั้น ได้ยินมาว่าราคาข้าวของและที่ดินในชิงเหลียนมีมูลค่าสูงกว่าในชิงหยางเป็เท่าตัว?
“ฟู่อิน เราอาจต้องซื้อภัตตาคารที่ใหญ่กว่าภัตตาคารของข้า ข้าจะยกตัวอย่างให้ฟัง อย่างภัตตารคารเยว่เค่อที่ทั้งใหญ่ทั้งหรูหรา เงินจำนวนเท่านี้ไม่มีทางพอใช้” หลิวฉินชี้ไปที่หลินฟู่อินอีกครั้ง
หลินฟู่อินพยักหน้าเข้าใจ หลิวฉินคิดว่าอาจต้องใช้เงินมากถึงสองหมื่นตำลึงเงิน หากจะซื้อภัตตาคารที่ใหญ่เทียบเท่าภัตตาคารเยว่เค่อ
เห็นได้ชัดว่าหลิวฉินยังไม่อยากลงทุนมากเช่นนั้น
ความจริงแล้วหากหลิวฉินมีเงินติดตัวมากขนาดนั้นเขาก็อาจจะเต็มใจ แม้เขาจะซื้อขายถั่วปากอ้าสดและถั่วงอกมาสักพักใหญ่ แต่กำไรกว่าครึ่งนั้นเขายกให้กับเถ้าแก่หลิว เขาจึงยังมีเงินไม่มากพอ
แล้วหากตัดสินใจซื้อกันมาแล้ว ก็ต้องใช้เงินอีกจำนวนมากเพื่อซ่อมแซ่มและตกแต่งให้เอี่ยมอ่อง
หลังจากเข้าใจอย่างถ่องแท้ ทุกคนก็นั่งเงียบกริบ
“เช่นนั้น ข้าจะยังไม่ซื้ออะไรที่ชิงเหลียน ข้าต้องใช้เวลาคิดเื่นี้อีกนาน และข้าจะยังไม่ไปที่นั่นจนกว่าจะถึงปีใหม่” หลินฟู่อินพูดให้ทุกคนสบายใจ “ระหว่างนั้นเราก็จัดการกิจการที่มีของเรา เดินหน้าเก็บเงินกันต่อไป กังวลอะไรกันเล่า”
“ข้าจะเขียนจดหมายถึงฉางหนิงให้ช่วยจัดการหาที่ทางแล้วตระเตรียมทุกอย่างให้พร้อม” หลิวฉินตอบรับ
หลินฟู่อินหยักหน้า
ชายหนุ่มแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าข้างนอกพลางพูดต่อว่า “เริ่มค่ำแล้ว ข้าข้อตัวกลับก่อน คงเป็เื่ดีหากอีกครึ่งวันที่เหลือนี้พวกเ้าจะพักผ่อนกันอย่างสบายใจ”
หลิวฉินกล่าวก่อนเดินจากไป
“ข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลย ข้าเพียงคิดว่าคงดีหากเราเปิดภัตตาคารกันจริงๆ แต่พอคิดจะทำทุกอย่างให้เป็รูปเป็ร่าง เหตุใดจึงดูยากลำบากเช่นนี้กัน?” หลังจากส่งหลิวฉินกลับ หลินฟางก็หันมามองหลินฟู่อินอย่างสิ้นหวัง
หลินฟู่อินมองขึ้นไปบนท้องฟ้าสีคราม นางเห็นก้อนเมฆขาวเคลื่อนที่กันไปอย่างเชื่องช้า จิตใจของเด็กสาวจึงเริ่มสงบลง
นางหันหลังกลับไปยิ้มกว้างให้หลินฟาง “อย่ากังวลไป ชีวิตอาจมีอุปสรรคแต่ก็มักจะมีทางออกเสมอ มีคำโบราณกล่าวไว้ว่าเรือจะมุ่งหน้าตรงไปยังสะพาน เราเพียงต้องทำทุกอย่างให้เต็มที่ที่สุด”
“ฟังมีเหตุผลยิ่งนัก” หลินเฟินพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะยื่นมือไปจับหลินฟาง “อาฟาง อย่ากังวลนักเลย ค่อยเป็ค่อยไปกันเถิด”
สามพี่น้องยิ้มให้กันอย่างจริงใจ โดยไม่รู้เลยว่าหลินฟู่อินยังคงคิดไม่ตกเื่เงินที่ต้องใช้
หลิวฉินบอกว่าราคาของถั่วปากอ้าสดเริ่มตกลงแล้ว ไม่ต่างอะไรจากถั่วงอกที่ราคาในตลาดเริ่มต่ำลงเรื่อยๆ อีกไม่นานก็จะถึงตรุษจีน และเดือนนี้นางเองก็ทำรายได้ได้ไม่มากเท่าที่ควร แน่นอนว่าเงินกว่าสองหมื่นตำลึงยังคงห่างไกลมากนัก
ได้เวลาหาเงินแล้ว
หลินฟู่อินคิดถึงเครื่องสำอางของนางอีกครั้ง
หากมีเวลาว่าง่นี้ หลินฟู่อินมักคิดถึงหยูกยาและเครื่องสำอาง
คิดให้ดีแล้ว หากอยากเริ่มทำเวชสำอาง นางแค่นำกรรมวิธีการผลิตชาดมาผสมผสานกับการสกัดสมุนไพรโบราณด้วยกรรมวิธีสมัยใหม่ได้
แต่นางยังไม่เคยลองลงมือ เพราะฉะนั้นนางจึงยังไม่อาจรู้ได้ว่าจะออกมาสำเร็จหรือไม่
หลินฟู่อินยังจำกลิ่นของดอกหอมหมื่นลี้ที่นางเก็บกับหลินเฟินเมื่อฤดูใบไม้ร่วงที่ผ่านมาได้ แน่นอนว่านางอยากลองนำดอกไม้วิเศษนี้มาใช้ดูสักครั้ง
คงถึงเวลาลงมืออย่างจริงจังเสียที
วันถัดมา หลินฟู่อินเริ่มตระเตรียมข้าวของที่ต้องใช้ สิ่งแรกก็คือดอกหอมหมื่นลี้แห้งหนึ่งถุง ซื้อหม้อเหล็กใบใหม่หนึ่งใบ เหล้าขาวหนึ่งเหยือก หม้อดินอีกสองสามหม้อ และสุดท้ายคือเชือกยาวอีกเส้น
ขั้นตอนแรก ชั่งดอกหอมหมื่นลี้แห้งหนึ่งจิน นำมาล้างให้สะอาดแล้วใส่ลงไปในหม้อดินเพื่อให้น้ำระเหยหายไปด้วยไฟต่ำ จากนั้นนำดอกหอมหมื่นลี้ที่แห้งแล้วย้ายไปใส่ในหม้อใบใหญ่อีกใบหนึ่ง
ขั้นตอนที่สอง ชั่งน้ำสิบถ้วยใส่ลงในหม้อใหญ่ ปิดฝาตั้งไฟต้มให้เดือดจนได้ที่ ทิ้งไว้อย่างนั้นเป็เวลาครึ่งชั่วยาม ชั้นของสารสกัดจะแยกตัวกองกันอยู่ที่ก้นหม้อ แยกสารสกัดเ่าั้ออกมาใส่ไว้ในขวดโหลขนาดใหญ่
สารสกัดเหล่านี้คล้ายสารสกัดในน้ำหอมที่สกัดมากจากพืชเป็ส่วนใหญ่ ทั้งดอกไม้ ใบไม้ กิ่งไม้ เปลือกไม้ ลำต้น ราก และผลไม้
ขั้นตอนที่สาม ใส่น้ำลงไปในหม้อใหญ่อีกสิบถ้วย ตั้งไฟต้มให้เดือดอีกครั้งเป็เวลาครึ่งชั่วยาม การต้มซ้ำในครั้งที่สอง สารสกัดจะแยกตัวออกมาน้อยกว่าครั้งแรก ตักแยกสารสกัดครั้งที่สองใส่ขวดโหลขนาดใหญ่อีกหนึ่งใบ
ขั้นตอนที่สี่ ต้มน้ำสิบถ้วยให้เดือดเป็ครั้งสุดท้ายอีกครึ่งชั่วยาม ครั้งที่สามนี้สารสกัดจะแยกตัวออกมาน้อยที่สุด เสร็จแล้วให้ตักแยกออกมาใส่ขวดโหลใบใหญ่อีกหนึ่งใบ
เมื่อได้สารสกัดรวมกันทั้งหมดสามขวดโหลใหญ่ หลินฟู่อินก็นำขวดโหลเ่าั้วางทิ้งไว้ให้อุณหภูมิเย็นลง
หลินฟางกลับไปที่ร้านค้าแล้วง่วนอยู่กับถั่วปากอ้าสดและถั่วงอก หลินเฟินได้แต่นั่งเฝ้าหลินฟู่อินที่หมกตัวอยู่ในห้องทั้งบ่ายด้วยความเป็ห่วง แต่กลับช่วยอะไรไม่ได้เลย
เมื่อหลินเฟินก้าวเข้าไปในห้อง กลิ่นหอมฟุ้งของดอกหอมหมื่นลี้ก็เตะจมูกทันทีทำเอานางอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ “ฟู่อิน เ้าทำอะไร?”
“ผงแป้งหอม” หลินฟู่อินยิ้มกริ่ม “ข้ากำลังทำผงแป้งหอมไว้ใช้ทาผิว หากเสร็จพร้อมใช้แล้ว ท่านก็เอาไปลองใช้ได้เลย”
หลินเฟินมองไปที่หม้อและกองฟืนบนพื้นก่อนถามว่า “เสร็จหมดแล้วหรือยัง? เ้าทำผงหอมที่มาจากดอกหอมหมื่นลี้อย่างนั้นหรือ?”
“ใช่เ้าค่ะ” หลินฟู่อินพยักหน้า “เสร็จกว่าครึ่งแล้ว หมดวันก็น่าจะเรียบร้อยแล้ว หลังมื้อกลางวัน พี่เฟินมาช่วยข้าหน่อยได้หรือไม่”
แม้ในใจจะสงสัย แต่หลินเฟินก็ยินดีช่วยเหลือโดยไม่คิดถามอะไรต่อ
หลังจากจัดการมื้ออาหารเสร็จเรียบร้อย หลินฟู่อินก็พาตัวหลินเฟินไปยัง ‘ห้องทดลอง’ ของนาง
“พี่เฟิน ท่านช่วยข้าบดเมล็ดดอกมะลิเหล่านี้ให้เป็ผงได้หรือไม่” หลินฟู่อินยกเมล็ดดอกมะลิที่ซื้อมาวันนี้ให้หลินเฟิน “ท่านค่อยๆ บดทีละหนึ่งจินก็ได้”
“เข้าใจแล้ว ง่ายนิดเดียว!” หลินเฟินรับมาด้วยความเต็มใจ ก่อนเดินออกไปหาที่โม่หิน
หลินฟู่อินเทเหล้าขาวใส่ลงไปในสารสกัดดอกหอมหมื่นลี้ที่วางทิ้งไว้ให้เย็นแล้วคนให้เข้ากัน ก่อนจะปล่อยทิ้งไว้อีกครั้ง
ไม่นานหลินเฟินก็กลับเข้ามาพร้อมกับผงเมล็ดดอกมะลิบดละเอียดชามใหญ่
หลินฟู่อินใช้นิ้วััผงดอกมะลิบดสีขาวสะอาด ก่อนนำมาทาวนที่หลังมือ พลันปรากฏความผ่องใสและชุ่มชื้นขึ้นทันตา
“ผงแป้งนี้ดูดีจัง เ้าใช้แตะบนหลังมือเพียงเล็กน้อยแต่ทาได้ทั่วเลย” หลินเฟินกล่าวขณะขมวดคิ้วสงสัย หลินฟู่อินทำสิ่งนี้จากดอกหอมหมื่นลี้จริงหรือ?
“พี่เฟิน ข้าเคยเห็นท่านกับพี่ฟางบีบน้ำผึ้งลงในหม้อดิน ตอนนี้ท่านช่วยบีบน้ำมันดอกหอมหมื่นลี้ที่ข้าทำลงในหม้อด้วยได้หรือไม่” หลินฟู่อินถาม
“มาสิ ข้าช่วยเ้าเอง” หลินเฟินยินดีช่วยหลินฟู่อินจากใจจริง
นางเทน้ำมันสกัดดอกหอมหมื่นลี้ลงในหม้อดินที่เตรียมไว้แล้วส่งให้อีกฝ่าย หลินเฟินจับเชือกพันรอบหม้อพร้อมขึงปลายเชือกทั้งสองให้แน่นแล้วเริ่มหมุนหม้อดินอย่างรวดเร็ว
นี่คือภูมิปัญญาของคนสมัยก่อนซึ่งเป็การใช้แรงเหวี่ยงให้เกิดประโยชน์
ในที่สุดการทำสารสกัดเข้มข้มจากดอกหอมหมื่นลี้ของหลินฟู่อินก็เสร็จสิ้น
แน่นอนว่าขั้นตอนการทำค่อนข้างยุ่งยากแต่ผลลัพธ์ที่ได้ช่างคุ้มค่า การสกัดสารจากดอกหอมหมื่นลี้ในครั้งนี้ หลินฟู่อินสามารถนำไปดัดแปลงใช้กับการสกัดเครื่องเทศเพื่อทำเป็ยาแผนจีนต่อไป
แม้ว่าอาจต้องใช้กำลังคนมากมาย แต่เมื่อทำเสร็จหนึ่งครั้งแล้ว ปริมาณที่ได้ออกมาก็สามารถใช้ได้นาน
กล่าวให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือหากหลินฟู่อิน้าทำแป้งหอม นางแค่ต้องใช้สารสกัดดอกหอมหมื่นลี้เพียงไม่กี่หยดเท่านั้น
“ฟู่อิน นี่ใช้ได้หรือไม่?” หลินเฟินถามอย่างตื่นเต้น
หลินฟู่อินเทผงเมล็ดดอกมะลิบดลงในขวดโหลขนาดใหญ่ จากนั้นนางหยดสารสกัดจากดอกหอมหมื่นลี้ลงไปสองสามหยด เสร็จแล้วนำน้ำต้มเหล้าขาวที่จิ่วจิง [1] ระเหยแล้วเทลงไปเพิ่มเติม สุดท้ายนางแบ่งส่วนผสมที่คนเข้ากันได้ที่ออกเป็ครึ่งหนึ่งในขวดโหลอีกใบ แล้วนำขวดใบนั้นไปกวนต่อในถ้วยน้ำเย็น
เมื่อเสร็จแล้วหลินฟู่อินก็วางพักส่วนผสมทั้งหมดไว้ตามเดิม
“ฟู่อิน การทำผงเครื่องหอมเหล่านี้ยุ่งยากยิ่งนัก ไม่แปลกใจเลยที่ประปุกเล็กๆ เช่นนี้ต้องใช้เงินหลายสิบอีแปะ” หลินเฟิงพูดพลางถอนหายใจ
หลินฟู่อินหัวเราะ “กล่องเล็กๆ ที่ใส่ผงหอมราคาหลายสิบอีแปะเช่นนั้นหรือ? นั่นเทียบไม่ได้เลยกับแป้งหอมตลับเล็กๆ ที่สกัดมาจากวัตถุดิบคุณภาพดี ค้าขายได้ตลับละหลายสิบตำลึงเงิน”
หลินเฟินพยักหน้าขณะรู้สึกทึ่งไปด้วยว่าหลินฟู่อินคิดเื่เช่นนี้ได้อย่างไร? เด็กสาวขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนหันไปถามหลินฟู่อินว่า “นี่ ฟู่อิน เหตุใดเ้าจึงคิดจะทำผงแป้งพวกนี้เพิ่ม? ยังมีตลับแป้งหอมอีกหลายตลับที่เ้าให้ข้าและอาฟางมาเก็บไว้ เ้าอยากให้ข้านำมาให้หรือไม่?”
นั่นคือแป้งหอมที่แม่นางฉินมอบให้หลินฟู่อินเมื่อไม่นานมานี้ แต่หลินฟู่อินรู้สึกว่ากลิ่นของแป้งหอมเ่าั้เหมาะกับสาววัยแรกแย้ม นางจึงมอบทั้งหมดให้หลินเฟินและหลินฟาง
“ข้าไม่้าแป้งหอม ข้า้าเงิน” หลินฟู่อินขยิบตาให้หลินเฟินหนึ่งที “ข้าทำแป้งหอมพวกนี้โดยที่ไม่คิดใส่ของไม่ดีลงไปเลย ตรงกันข้าม สิ่งที่ข้าใส่ลงไปนั้นมีแต่ของดี เพราะฉะนั้นแป้งหอมกระปุกเล็กๆ เพียงเท่านี้ ข้าอยากขายในราคาสิบตำลึงเงินเป็อย่างต่ำ”
“ฟู่อิน…” หลินเฟินหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ขณะมองไปยังใบหน้าของหลินฟู่อินสลับกับขวดโหลที่วางเรียงรายอยู่ด้านข้าง เด็กสาวเอ่ยปากพูดตะกุกตะกัก “ฟู่อิน… ถ้าเราทำแป้งหอมเสร็จกันวันนี้ เ้าจะขายได้สิบกว่าตำลึงเงินเช่นนั้นหรือ?”
หลินฟู่อินพยักหน้ามั่นใจ “ข้าคิดว่าข้าทำได้”
“แต่… เราจะขายกันอย่างไร?” ใบหน้าของหลินเฟินสลดลงเล็กน้อย “เราไม่มีลูกค้าสักคนเลย”
ได้ยินดังนั้นรอยยิ้มเล็กๆ ก็ปรากฏบนใบหน้าของหลินฟู่อิน “ไม่ต้องกังวลไป ข้าพบคนที่สามารถช่วยเราขายแป้งหอมเหล่านี้ได้แล้ว”
“ใครหรือ?”
“แม่นางฉิน” ั์ตาของหลินฟู่อินเป็ประกาย
หลินเฟินกะพริบตาสองสามครั้งก่อนนึกบางอย่างได้ “เ้าหมายถึงแม่นางฉินเ้าของร้านไฉ่จือไจเช่นนั้นหรือ?”
“ใช่ แต่นางเลิกขายไปแล้วตอนนี้” แววตาของหลินฟู่อินเป็ประกายอีกครั้ง “ข้าบอกนางเอาไว้แล้ว หากข้าทำแป้งหอมเสร็จเมื่อไรข้าจะนำไปขายที่ร้านของนาง นางให้คำมั่นว่าจะไม่รับขายแป้งหอมของผู้ใดยกเว้นของข้าเท่านั้น”
หลินเฟินหายสงสัยหลังได้ยินคำพูดของหลินฟู่อิน
“หมายความว่าเ้าคิดและเตรียมทุกอย่างเอาไว้หมดแล้ว” หลินเฟินพูดอย่างตื่นเต้น ในที่สุดก็มีวิธีหาเงินอีกทาง
ยิ่งไปกว่านั้นหากการค้าขายแป้งหอมไปได้ดี ไม่ใช่ว่าจะได้กำไรมากกว่าถั่วปากอ้าสดและถั่วงอกอย่างนั้นหรือ?
“ฟู่อิน ข้าเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเ้าจึงไม่กังวลเื่เงินซื้อภัตตาคารที่ใหม่เลย…” เด็กสาวกล่าวน้ำตาคลอด้วยความดีใจ
หลินฟู่อินเดินมาคว้าตัวอีกฝ่ายไว้ในอ้อมกอด “ร้องไห้ทำไมเล่า ข้าบอกแล้วว่าเรือย่อมมุ่งตรงไปข้างหน้าเสมอ ข้าวางแผนเดินทางไปชิงเหลียนมาสักพักใหญ่ และเราต้องใช้เงินกันอย่างเร่งด่วน ข้าจึงทำแป้งหอมนี้ออกมา”
หลินเฟินพยักหน้าอย่างดีใจพร้อมกอดตอบคนตรงหน้าแน่น
หลินฟู่อินกำหมัดอย่างมุ่งมั่น ตราบใดที่นางยังมีปัญญาและความพยายาม ก็ไม่มีสิ่งใดยากเกินเอื้อม
ใบหน้าสวยหันไปยิ้มให้กับขวดโหลที่วางเรียงรายบนโต๊ะ พร้อมบรรจุใส่ตลับวันรุ่งขึ้น
--------------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] จิ่วจิง (酒精) หมายถึง แอลกอฮอล์
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้