ขนมปังแห้งในมือเด็กสองคนแข็งจนกัดแทบไม่เข้า ไม่รู้ว่าซ่อนไว้นานเท่าใดแล้ว ส่วนน้ำที่เด็กสองคนดื่มก็เป็น้ำอุ่นที่ใกล้เย็นชืด อีกไม่นานก็เย็นแล้ว ไม่มีไอร้อนแม้แต่น้อย
อากาศในเดือนสองลมหนาวยังเย็นะเืถึงกระดูก เด็กสองคนกินขนมปังแห้งและดื่มน้ำเย็นในตอนเช้าเซี่ยยวี่หลัวนี่สมควรตายนัก ก่อนหน้านี้เ้าทารุณเด็กสองคนนี้อย่างไรกัน
เซี่ยยวี่หลัวแค้นจนอยากตบหน้าตัวเองสักฉาดสองฉาดในที่สุดตอนนี้นางก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดเซียวยวี่ถึงแค้นนางเข้ากระดูกดำ ถ้าพวกเขาเป็น้องชายน้องสาวของนางเอง แล้วมีคนมาทารุณพวกเขาเช่นนี้ หากนางยอมให้อภัยสิถึงจะแปลก
เซี่ยยวี่หลัวรู้สึกปวดใจนักนางไม่ได้กล่าวอะไรแม้แต่คำเดียว เดินออกจากห้องของสองพี่น้องไป
เซียวจื่อเมิ่งส่งเสียง “โฮ” ร้องไห้ทันที “พี่รอง พี่รอง...”
เซียวจื่อเซวียนกอดเซียวจื่อเมิ่งไว้คอยปลอบโยนไม่หยุด “จื่อเมิ่งไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัว มีพี่ชายอยู่ พี่ชายจะปกป้องเ้าเอง!”
เด็กน้อยพยายามทำทีเป็ไม่หวาดกลัวแต่แววตายังคงฉายประกายหวาดเกรง ถึงอย่างไร เขาก็เป็เพียงเด็กอายุแปดขวบ
เซี่ยยวี่หลัวกับไปยังห้องของตัวเองชงน้ำผึ้งสองถ้วย นำขนมอีกหนึ่งกล่อง ห่อให้ดีแล้วจึงนำกลับไป
อาจเพราะได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากด้านนอกเด็กสองคนใจนกอดกัน ท่าทางน่าสงสารนั่นทำให้เซี่ยยวี่หลัวที่เข้ามาแทบใจสลาย
“สะใภ้ใหญ่ ท่านอย่าตีข้าต่อไปข้าไม่กล้าแอบซ่อนของแล้ว พี่รอง ข้ากลัว ข้ากลัว...” เซียวจื่อเมิ่งร้องไห้อย่างหนักเซี่ยยวี่หลัวเกือบทนไม่ไหวจนหลั่งน้ำตา
เซียวจื่อเซวียนกันเซียวจื่อเมิ่งไว้“หากจะตีก็ตีข้าข้าเป็คนซ่อนไว้เอง ไม่เกี่ยวกับน้องสาวข้า!”
เขากันน้องสาวไว้ด้านหลังประหนึ่งเป็ผู้ใหญ่คนหนึ่งก็มิปาน
เพียงแต่ ร่างกายอ่อนแอซูบผอมนั่นยังคงสั่นเทิ้มอยู่เล็กน้อยดูท่าน่าจะกลัวเซี่ยยวี่หลัวแทบตายเหมือนกัน
เซี่ยยวี่หลัวยืนส่งของในมือไปให้พยายามกล่าวด้วยวาจาอ่อนโยนนุ่มนวล “กินอาหารเย็นและแข็งแต่เช้าไม่ดีต่อร่างกาย มาเถิด นี่เป็น้ำผึ้งที่ข้าเพิ่งชง ยังมีขนมด้วย อ่อนนุ่มและรสหวาน อร่อยกว่าขนมปังแห้งมาสิ มากินเสีย!”
หลังจากวางของลง เซี่ยยวี่หลัวก็ออกจากห้องไป
นางเกรงว่าหากตัวเองอยู่ต่อจะทนไม่ไหวจนร่ำไห้ออกมา
นางร้ายนี่สมควรตายนัก!
สิ่งที่เด็กสองคนได้รับไม่ใช่คำดุด่าและทุบตีกลับเป็น้ำผึ้งอุ่นร้อนและขนมอ่อนนุ่มหอมหวาน เสียงร้องไห้หยุดไป พวกเขาจ้องมองน้ำผึ้งและขนมด้วยอาการตกตะลึง
นี่เป็ของที่เซี่ยยวี่หลัวชอบที่สุดปกตินางจะเก็บซ่อนไว้อย่างมิดชิด อย่าว่าแต่กินเลย แม้แต่เห็นยังไม่เคยได้เห็นสักครั้งวันนี้นางกลับนำของเหล่านี้มาให้พวกเขากิน?
เซียวจื่อเมิ่งได้กลิ่นหอมหวานก็กลืนน้ำลายอึกหนึ่ง แต่กลับไม่กล้าขยับ เพียงมองเซียวจื่อเซวียนที่อยู่ข้างๆ “พี่รอง...”
เซียวจื่อเซวียนก็กลืนน้ำลายอึกหนึ่งจากนั้นจึงหยิบน้ำผึ้งถ้วยหนึ่งขึ้นมา ดื่มอึกใหญ่น้ำผึ้งหอมหวานไหลจากปากผ่านลำคอ ไหลลงไปถึงกระเพาะ หลังจากดื่มลงไปหลายอึกก็รู้สึกอบอุ่นไปทั้งตัว
จากนั้นเซียวจื่อเซวียนจึงกินขนมหนึ่งชิ้นก่อนจะหันไปกล่าวกับเซียวจื่อเมิ่งด้วยท่าทางตื่นเต้นดีใจ “จื่อเมิ่ง กินกินเร็ว ไม่อันตราย!”
เซียวจื่อเมิ่งหยิบขนมขึ้นมากินอย่างเอร็ดอร่อยนางไม่เคยกินอาหารที่อร่อยถึงเพียงนี้มาก่อน บวกกับน้ำผึ้งหอมหวาน ต่อให้มีพิษนางก็ยอม
เซี่ยยวี่หลัวกลับถึงห้องของตัวเองแล้วไม่รู้เลยว่าสองพี่น้องกลัวว่าในอาหารจะมียาพิษ ทว่า ต่อให้รู้เื่นี้เซี่ยยวี่หลัวก็ไม่มีอะไรให้แก้ตัว ได้แต่เก็บความทุกข์ใจไว้คนเดียว
ใครจะรู้ว่านางร้ายที่สมควรตายนี่ทำอะไรไว้บ้างเด็กสองคนเห็นนางประหนึ่งเห็นภูตผีปีศาจก็มิปาน
น่าหงุดหงิดใจเสียจริง!
เซี่ยยวี่หลัวขังตัวเองไว้ในห้องดูของที่เก็บซ่อนไว้
มีแป้งครึ่งถุงเล็ก หากกินคนเดียวสามารถกินได้ห้าถึงหกวัน หากรวมเด็กสองคนด้วย เกรงว่าสองถึงสามวันก็คงหมดยังมีไข่ไก่อีกจำนวนหนึ่ง ข้าวสารครึ่งถุง ขนมเหลือหนึ่งกล่องล้วนเป็อาหารอย่างดี นางร้ายนี่พิถีพิถันเื่การกินเหมือนกัน
นอกจากนั้นภายในตู้ยังมีของที่เก็บไว้อย่างมิดชิด เงินห้าตำลึงกับเหรียญอิแปะอีกหลายสิบเหรียญ
เซี่ยยวี่หลัวดีใจเสียยิ่งกว่าอะไรเงินห้าตำลึงไม่น้อยเลย สามารถใช้ได้ระยะหนึ่งในเมื่อตอนนี้ยังไม่รู้ว่าอนาคตควรทำอย่างไร มิสู้อยู่บ้านคอยดูแลสองพี่น้องให้ดีทำเื่ที่สามารถทำได้ เปลี่ยนแปลงท่าทีที่สองพี่น้องมีต่อตนเอง
เพื่อไม่ให้ตัวเองในอนาคตต้องตายอย่างน่าเวทนาเกินไปเซี่ยยวี่หลัวที่ไม่เคยมีความรักและเป็ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของครอบครัวหมายมั่นจะสร้างชื่อเป็ภรรยาผู้รู้ความและพี่สะใภ้ที่แสนดีให้จงได้
เกวียนเทียมวัวเคลื่อนตัวดัง “ตึกตึก” ในที่สุดก็ถึงตัวเมือง เซียวยวี่ลงจากเกวียน หันไปคำนับท่านลุงสี่ด้วยความเคารพ“ขอบคุณท่านลุงสี่!”
ท่านลุงสี่จูงวัว หัวเราะอย่างมีความสุข“ไม่เห็นต้องขอบคุณอยู่หมู่บ้านเดียวกัน ข้าอยากให้เ้านั่งเกวียนของข้าด้วยซ้ำ ต่อไปข้าจะได้โอ้อวดกับผู้อื่นว่าเกวียนของข้าเคยรับส่งท่านซิ่วไฉมาก่อน!”
เซียวยวี่แย้มรอยยิ้มด้วยความเก้อเขินยังไม่ได้เข้าสอบเลย ใครบอกกันว่าปีนี้เขาจะสอบติด ทว่าเขาก็ยังรู้สึกขอบคุณคำพูดอวยพรของท่านลุงสี่ เขาคำนับท่านลุงสี่ก่อนจะหันหลังเดินจากไป
ท่านลุงสี่ก็จูงวัวเทียมเกวียนเดินมุ่งหน้าไปทางตลาดเพิ่งเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็ได้ยินเซียวยวี่กำลังเรียกตัวเอง “ท่านลุงสี่...”
“มีอะไรหรืออายวี่?” ท่านลุงสี่หันกลับมา เห็นเซียวยวี่ขมวดคิ้วมุ่น เหมือนกำลังงุ่นง่าน คล้ายกับว่าอยากบอกอะไรตนเอง
เซียวยวี่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งเมื่อเงยหน้าอีกครั้ง แม้ใบหน้าจะมีรอยยิ้ม แต่แววตากลับเย็นเยียบ “ไม่มีอะไร ท่านลุงสี่นี่ก็สายแล้ว ท่านรีบไปตลาดเถอะ”
“อืม ได้! เ้าอยู่ข้างนอกคนเดียวก็ต้องดูแลตัวเองให้มาก!อย่าให้คนที่บ้านเป็ห่วง!” ท่านลุงสี่กล่าวตอบ
เซียวยวี่พยักหน้า ขานรับทีหนึ่งยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน
ท่านลุงสี่เห็นเขายังไม่ไปจึงเอ่ยถาม “เป็อะไรไป? มีอะไรอีกงั้นหรือ?”
เซียวยวี่เหมือนจะรวบรวมความกล้าก่อนกล่าว “คือ ข้า… ข้าสอบเสร็จก็จะกลับบ้าน” กล่าวประโยคนี้จบ เซียวยวี่จึงหันขวับเดินเข้าไปในฝูงชน
วันนี้เป็วันจ่ายตลาด ฝูงชนคับคั่งเซียยวี่เดินหายไปท่ามกลางฝูงชนอย่างรวดเร็วไม่นานเงาร่างสูงโปร่งนั่นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ท่านลุงสี่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “เด็กคนนี้ เป็อะไรไป?ข้ารู้อยู่แล้วว่าหลังจากเขาสอบเสร็จก็จะกลับบ้าน! ทำไมอยู่ๆถึงพูดอีกรอบละ!”
เซียวยวี่เดินเร็วมากหลังจากเดินไปไกล เขาเองยังรู้สึกว่าเหลือเชื่อนัก
นี่เขาคงไม่ได้บ้าไปแล้วใช่ไหม
ถึงกับควบคุมตัวเองไม่ได้เพียงเพราะประโยคที่บอกว่า“ข้าจะรอเ้ากลับมา”
ทั้งที่เดินจากไปแล้วทำไมถึงต้องเรียกท่านลุงสี่ไว้ ทั้งยังกล่าวประโยคแบบนั้นกับท่านลุงสี่
ดวงหน้าอ่อนเยาว์ของชายหนุ่มแต่เพราะผ่านเหตุการณ์ต่างๆมามากมายดวงตากลับไร้ซึ่งความสดใสแบบที่คนในวัยนี้พึงมี ั์ตาของเขาลุ่มลึกและเย็นเยียบประหนึ่งบ่อน้ำเก่าแก่ที่มองไม่เห็นก้นบ่อ เมื่อมองลึกเข้าไปกลับเย็นะเืจนทำให้รู้สึกหนาวสะท้าน
เขาน่าจะโกรธแค้นหญิงผู้นั้นถึงขีดสุดจึงเอ่ยวาจาเ่าั้ออกมา
ไม่แน่ว่าไม่ต้องรอจนเขากลับไปนางก็อาจจากไปแล้ว
นางเป็คนบอกเองไม่ใช่หรือว่าให้ตายนางก็ไม่เชื่อว่าเขาจะสอบติดได้เป็ซิ่วไฉ กล่าวตามจริงแม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่เชื่อ
เพียงแต่เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดน้ำเสียงของหญิงผู้นั้นในวันนี้จึงแตกต่างจากเคย?
ปกติน้ำเสียงของนางทั้งเ็าและหยิ่งยโสราวกับแท่งน้ำแข็งในฤดูหนาวที่ทำร้ายร่างกายทิ่มแทงจิตใจแต่น้ำเสียงในวันนี้ กลับอ่อนโยนและนุ่มนวลประหนึ่งสายลมหยาดฝนในฤดูใบไม้ผลิอบอุ่นหัวใจนัก
ทั้งที่เขาตัดสินใจแล้วว่าจะหย่ากับสตรีสมควรตายนั่นเสียแต่ภายหลังได้ยินเสียงของนางในวันนี้กลับทำให้เขาเกือบควบคุมตัวเองไม่ได้จนเอ่ยวาจานั้นออกมา
ยังดีที่ท่านลุงสี่ไม่เข้าใจว่าเขาจะสื่ออะไร
คิดถึงตรงนี้เซียวยวี่กระชับสัมภาระของตัวเอง สาวเท้าก้าวใหญ่เดินจากไป
สตรีผู้นั้นหลังจากเขากลับไปต้องหย่าให้ขาด