คำว่ายอมแพ้นั้นไม่ใช่สิ่งที่หลัวเลี่ยคุ้นเคยเลย
เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าวันหนึ่งเขาจะต้องมายอมแพ้ก่อนที่จะเริ่มเผชิญหน้ากับความท้าทายอย่างเต็มที่ หรือแม้กระทั่งก่อนที่การต่อสู้อย่างแท้จริงจะเริ่มขึ้นด้วยซ้ำ เื่การยอมแพ้นี้เป็เพราะเขาได้สมบัติวิเศษจากสังเวียนับรรพชนหรือ?
ต้องรอเป็เวลาสามเดือนครึ่งกว่าที่จะได้ต่อสู้กับยอดฝีมือจากทั่วดินแดนในสังเวียนับรรพชน เื่ทั้งหมดนี้ดูเป็ไปได้ยากมาก
หลัวเลี่ยไม่สามารถยอมรับความพ่ายแพ้ที่เกิดขึ้นในใจของเขาได้
“ข้าไม่โล่งใจเลย”
“เช่นนั้นก็ไปสู้กัน”
“ข้าไม่เชื่อว่าหลังจากที่เอาชนะพวกยอดฝีมือได้แล้วจะยังมีใครกล้ายั่วโมโหข้าได้อีก”
"เวลาในหนึ่งปีก็เสียไปเพียงสี่เดือนเท่านั้น"
เมื่อตอนที่เขาก้าวเข้าสู่หุบเขาสุสานั เวลาผ่านไปกว่ายี่สิบวันแล้ว
หลัวเลี่ยผู้ซึ่งมีความเชื่อที่ไม่หวั่นไหวมาโดยตลอด แววตาของเขากลับมาแน่วแน่อีกครั้ง เขาจ้องมองไปในระยะไกล และเฝ้าดูการจลาจลของัที่รุนแรงราวกับกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยว
ดวงตาของเขาเฉียบคมมาก เขาจับจ้องไปที่ัปิงเหยียนอย่างไม่ละสายตา
การจลาจลในหุบเขาสุสานันั้นมีัจำนวนมากจนน่าประหลาดใจ แม้ว่าจำนวนัปิงเหยียนที่ร่วงหล่นจะมีไม่มากนัก แต่ก็ยังนับว่ามีหลายร้อยตัว
ทันทีที่หลัวเลี่ยเห็น เขาก็รู้สึกคล้ายถูกกระตุ้นให้เคลื่อนไหว
หลัวเลี่ยไม่รู้ว่าเวลาสามเดือนครึ่งจะเป็เวลาที่เสียไปโดยเปล่าประโยชน์หรือไม่ ดังนั้นหากเขา่ชิงเกล็ดัปิงเหยียนใน่เวลานี้ได้ เมื่อการจลาจลจบลง เขาก็จะสามารถออกไปก่อนได้ และถ้าเป็ไปได้เขาก็จะฝ่าการจลาจลนี้ออกไปด้วยตนเอง
“สหายหลัว ไม่ได้!”
หยางเสี้ยวเสียที่ยืนอยู่ข้างๆ หลัวเลี่ยสามารถคาดเดาความคิดที่เปลี่ยนแปลงไปของหลัวเลี่ยได้ทันที เขาคว้าแขนของหลัวเลี่ยแล้วส่ายหัว
"ข้าต้องลอง" หลัวเลี่ยกล่าว
“มันอันตรายเกินไป” หยางเสี้ยวเสียเอ่ย “ไม่ใช่ว่าข้าจะคิดร้ายเหมือนคนอื่น ความมุทะลุของสหายหลัวอาจจะเป็ภัยต่อตัวเองได้ การจลาจลของัเป็สถานการณ์ที่พิเศษมาก ไม่เพียงแต่เป็การต่อสู้ที่รุนแรง แต่สภาพแวดล้อมของหุบเขาสุสานัก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย หากใครก้าวเข้าไปมีแต่จะถูกแรงกดดันกดทับไว้ หากเ้าบุกเข้าไปจริง ผลที่ตามมาคือหายนะที่เ้าคาดเดาไม่ถึงอย่างแน่นอน”
ัที่ถูกปลุกสายเืปีศาจขึ้นมาแล้วย่อมคลั่ง และมีพลังที่รุนแรงจนไม่มีผู้ใดสามารถต้านทานได้
จิตปีศาจมักจะกัดกร่อนจิตสำนึก
หลัวเลี่ยค่อนข้างกลัวสิ่งนี้
นอกจากนี้เขายังไม่รู้ว่าสิ่งที่เรียกว่าจิตปีศาจของเผ่าัคืออะไร แม้ว่าจะมีทฤษฎีต่างๆ แต่เขาก็ยังไม่สามารถอธิบายได้หากไม่ได้ััมันเป็การส่วนตัว
ดังนั้นเพื่อระงับแรงกระตุ้นในใจของเขา เขาเฝ้าดูัปิงเหยียนที่อยู่ตามกลุ่มัข้างหน้าเขา
อย่างไรก็ตามหลัวเลี่ยยังคงไม่สามารถหยุดคิดเื่การเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ที่อยู่ในใจของเขาได้
หากไม่ใช่ระยะเวลาหนึ่งปี อย่างน้อยเขาก็ไม่สามารถเสียเวลาและละเลยการฝึกฝนของตัวเองได้
หลัวเลี่ยยืนอยู่บนก้อนหิน เอามือแตะคางแล้วนิ่งเงียบ
บางครั้งเขาก็เหม่อมองท้องฟ้า
หลายครั้งที่เขาคิดเกี่ยวกับการใช้ความเร็วของอาชาเดือนดารัญเพื่อพุ่งขึ้นไปในอากาศ แต่เขาก็ยอมแพ้
นั่นหมายถึงการละทิ้งเกล็ดัปิงเหยียน และละทิ้งเื่สังเวียนับรรพชนด้วย
เขามาถึงที่นี่แล้ว และทุกคนก็รู้ว่าเขามีแก่นพลังับรรพชนจากการทำลายกลองจู่หลง หากเขายอมแพ้เพราะปัญหาเล็กๆ เช่นนี้ ไม่เพียงคนอื่นจะหัวเราะเยาะเขา เขาก็จะหัวเราะเยาะตัวเองเช่นกัน
ดังนั้นแม้ว่าเสี่ยงที่จะออกไป แต่เขาก็อยากลอง
เขาจะฝ่าออกไปโดยไม่สนใจัพวกนั้นที่กำลังก่อจลาจล
ห้าวันผ่านไป
การจลาจลของัไม่มีวี่แววว่าจะยุติ
ในเวลานี้ทุกคนที่อยู่บนเขาัทมิฬรู้แล้วว่าหลัวเลี่ยคือผู้ที่สังหารไก้อู๋ซวงถึงสองครั้ง และเื่นี้ก็ดึงดูดผู้คนมากมายให้มาสนใจหลัวเลี่ย ทำให้เขาอารมณ์เสียเล็กน้อย
หยางเสี้ยวเสียรู้ว่าหลัวเลี่ยคิดที่จะเสี่ยงออกไป ดังนั้นเขาจึงส่งสัญญาณให้ผู้มีประสบการณ์บางคนบอกเล่าถึงความน่ากลัวของการจลาจลของั
การจลาจลหมายถึงการแพร่จิตปีศาจ เมื่อพวกมันมีการแพร่พลังถึงจุดสูงสุดแล้ว การก้าวออกจากเขาัทมิฬก็มีความเป็ไปได้ที่จะถูกจิตปีศาจเข้าครอบงำ และกลายเป็คนบ้าที่กระหายเื
ซึ่งความน่ากลัวของัจำนวนนับไม่ถ้วนเ่าั้ แค่มองภาพเหล่าัที่ต่อสู้กันอย่างไม่รู้จบ ก็สามารถทำให้ผู้คนหวาดกลัวจนตายได้
"คุณชายหลัว ข้าคาดว่าแม้แต่ผู้ที่มีวรยุทธ์ในระดับแก่น์หากออกไปแล้วก็ยากที่จะกลับมาได้"
“อ๋องเซี่ย ครั้งหนึ่งข้าเคยเห็นสัตว์ประหลาดถูกจิตปีศาจเข้าครอบงำ และกลายเป็สัตว์ประหลาดที่กระหายเื”
“สหายหลัว ในบรรดาัเหล่านี้ มีัที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากมาย เมื่อถูกปลุกจิตปีศาจจนอาละวาด พลังการต่อสู้ของพวกมันจะเพิ่มขึ้นหลายเท่า แค่จำนวนและความแข็งแกร่งก็เพียงพอที่จะกวาดล้างพวกเราจนหมดแล้ว เว้นแต่จะมีผู้ที่แข็งแกร่งมีวรยุทธ์ในระดับวังชะตา เช่นนั้นก็คงพอจะมีทางเป็ไปได้บ้าง"
ผู้มีประสบการณ์เ่าั้พยายามเกลี้ยกล่อมเขา
จริงๆ แล้วหลัวเลี่ยยังคงคิดอยู่ในใจอย่างไม่รู้จบ
ผลก็คือเมื่อคนเหล่านี้พูดเช่นนั้น เขาก็รู้สึกถูกกระตุ้นทันที และมีความอยากที่จะลองอีกครั้ง
ท้ายที่สุดแล้วหลัวเลี่ยยังคงเป็เด็ก ไม่ว่าเขาจะโตแค่ไหน เขาก็ไม่อาจนิ่งสงบได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีคนกล่าวว่า ไม่สำคัญว่าเขาจะยอมแพ้ภายในหนึ่งปี แต่การรักษาชีวิตไว้ได้เป็สิ่งที่สำคัญที่สุด เื่นี้ทำให้หลัวเลี่ยเกือบจะะเิอารมณ์ออกมา
"สหายหลัว" หยางเสี้ยวเสียยังกล่าวอีกว่า "ยังมีเวลาอีกมาก เ้ามีอาชาเดือนดารัญอยู่ ไม่จำเป็ต้องกังวล ต่อให้เป็สี่เดือนหรือแปดเดือน พวกเรารอต่อไปก็ไม่เป็ไร"
พรึ่บ!
โดยไม่รอให้หยางเสี้ยวเสียเอ่ยจนจบ หลัวเลี่ยซึ่งในที่สุดก็ทนไม่ได้พาตัวเองลอยขึ้นไปในอากาศมุ่งตรงไปที่ความสูงราวสิบจั้ง
เขาลงมือแล้ว
“ไม่นะ!” หยางเสี้ยวเสียอุทานด้วยความใ
ผู้คนที่อยู่ในูเาัทมิฬต่างตกอยู่ในความแตกตื่นเช่นกัน
ด้วยการออกแรงในครั้งนี้ทำให้หลัวเลี่ยออกจากระยะของูเาัทมิฬได้แล้ว ผ้าคลุมวีรชนของเขาปลิวไสวไปตามลมที่กระโชกแรง ซึ่งเกิดจากการจลาจลราวกับกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวกราก เขาบินขึ้นไปบนท้องฟ้า เส้นผมของเขาปลิวไสวอย่างรุนแรง
พรึ่บ!
เมื่อเหล่าัโจมตีอย่างรุนแรง หลัวเลี่ยก็กางปีก์เลี่ยหยางที่อยู่ด้านหลังของเขาขึ้น
แน่นอนว่าวิชายุทธ์ที่บรรพชนลำดับหนึ่งสร้างขึ้นย่อมไม่ได้มีดีเพียงความรวดเร็ว แต่ยังสามารถสังหารได้อีกด้วย
เปลวเพลิงบนปีก์เลี่ยหยางยาวเกือบสามจั้ง
ฟู่! ฟู่!
ปีก์เลี่ยหยางเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง และลมก็กระโชกแรงตามการพัดพาของเปลวเพลิง มันพัดัที่กำลังจะเข้ามาโจมตีเขาออกไปอย่างแรง
พรึ่บ!
หลัวเลี่ยปล่อยความเร็วของเขาอย่างเต็มรูปแบบผ่านปีก์เลี่ยหยาง เมื่อเขาพุ่งตรงไปที่ใด ัก็จะกลายเป็เถ้าถ่านที่นั่น
ในขณะนี้ัที่ก่อการจลาจลดูเหมือนจะพบทางระบายพลังของพวกมันได้แล้ว พวกมันหันกลับ และพุ่งเข้าหาหลัวเลี่ยทันที
ในขณะเดียวกันสิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็เกิดขึ้น
เมฆหมอกสีดำพวยพุ่งออกมาจากทุกทิศทุกทาง มันรวมตัวกันกลายเป็รูปหัวกะโหลกปีศาจที่ดุร้าย และพุ่งเข้าหาหลัวเลี่ย
จิตปีศาจ!
นี่คือจิตปีศาจที่สามารถครอบงำจิตสำนึกของคนคนหนึ่ง ทำให้คนคนนั้นกลายเป็คนบ้ากระหายเื และสูญเสียความเป็ตัวเองไปโดยสิ้นเชิงได้ นอกจากนี้ยังเป็สิ่งที่ทุกคนกลัวอีกด้วย
ปีก์เลี่ยหยางโบกสะบัดอย่างรุนแรง เปลวไฟและลมก็พัดขึ้นอย่างรุนแรงเช่นกัน ปีก์เลี่ยหยางยังคงออกแรงเพื่อพัดจิตปีศาจนี้ออกไป
แต่หลัวเลี่ยไม่เคยคิดเลยว่าจิตปีศาจนี้จะเพิกเฉยต่อการโจมตีของพลังทางกายภาพนี้อย่างสมบูรณ์ มันทะลุผ่านหน้าหลัวเลี่ยมาอย่างง่ายดายและพุ่งตรงไปที่หัวของเขา พร้อมกับเสียงที่เยือกเย็นและแปลกประหลาดดังขึ้น
“ข้าไม่เชื่อว่าความสมดุลทางหยินหยางที่ทำให้ข้าสร้างเคล็ดวิชาเต๋านับอนันต์ขึ้นมาจะเอาชนะไม่ได้”
"ความสมดุลของหยินหยางที่สมบูรณ์แบบจะพ่ายแพ้ต่อเื่เล็กน้อยเช่นนี้ได้อย่างไร"
“ข้าจะคอยดูว่าจิตปีศาจจะเข้ามาได้หรือไม่”
หลัวเลี่ยดูโเี้มาก เขาปลดปล่อยพลังจากเคล็ดวิชาเต๋านับอนันต์ออกมา เื้ัของเขามีถนนสายหนึ่งปรากฏขึ้น มันคือความลึกลับในจิตใจ เขาไม่มีทางยอมให้จิตปีศาจเข้ามากัดกินจิตใจของเขาได้แน่ "มาเลย เรามาดูว่าใครแข็งแกร่งกว่ากัน!"