โหยวเสี่ยวโม่เตรียมใจไว้แล้ว ดังนั้นจึงเตรียมตัวมาเต็มที่ เมื่อเล่าให้อาจารย์ฟังว่า อาจารย์อาเยี่ยจะขอทดสอบศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์พี่รองก่อน หากผ่านเกณฑ์จะรับไว้เป็ศิษย์
คราวเดียวถึงสองคน ทั้งยังเป็ศิษย์ที่ภูมิใจที่สุด ขงเหวินออกอาการดีใจถึงขั้นให้เขาขออะไรก็ได้หนึ่งอย่าง แต่ต้องรอฟางเฉินเล่อกับฝูจื่อหลินผ่านการทดสอบก่อน
โหยวเสี่ยวโม่บ่นในใจ แต่สีหน้ายังคงปลื้มปริ่มขอบคุณ
เขารู้ว่าอาจารย์ไม่ได้จะเอาเปรียบตัวเองนัก แต่การให้รางวัลปากเปล่าเป็จริงเป็จัง แล้วยังต้องให้เขาแสร้งว่าดีใจเหลือเกิน มันน่ากระอักกระอ่วนชะมัด
ทว่าเขาก็ได้รู้จักธาตุแท้ของอาจารย์ก็วันนี้ ในใจของเขา นอกจากศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์พี่รอง ศิษย์คนอื่นก็คงเป็เพียงตัวสำรอง ไม่เช่นนั้นที่ผ่านมาทำไมไม่เห็นเขาใส่ใจศิษย์คนอื่นบ้าง?
โหยวเสี่ยวโม่จำได้ว่า ั้แ่เขาเข้าร่วมสำนักจนถึงตอนนี้ อาจารย์ยังไม่เคยสอนเขาเองกับมือแม้แต่ครั้งเดียว เขารู้สึกว่าตัวเองก็ไม่ใช่คนเ้าคิดเ้าแค้นอะไร แต่ยอมรับว่ามีความน้อยใจบ้างเล็กน้อย หากคนที่ยอมให้ไม่ใช่ศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์พี่รอง เขาคงไม่ใจกว้างเท่านี้
แต่การที่เขายินยอมเช่นนี้ เขาเองได้ไตร่ตรองในส่วนตัวเองอยู่บ้าง
ชีวิตของเขาในตอนนี้ถือว่าสงบสุข อยากทำอะไรก็ทำ แต่ว่าเขานทีเมฆาคงไม่เหมือนกัน ที่นั่นมีผู้พิทักษ์ฝีมือสูงส่งสิบท่านคอยเฝ้าดูแล ภายใต้สายตาพวกเขา ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ต้องอยู่ในสายตาผู้าุโทั้งสิบตลอดเวลา ถึงตอนนั้นเขาหรือจะกล้าหลอมยาหรือกล้าเข้าห้วงมิติ?
สำหรับคนอื่นคงมีแต่ได้ไม่มีเสีย ถึงขั้นอนาคตสดใสก็ว่าได้ แต่สำหรับเขาแล้ว การไปเขานทีเมฆานั้นอาจทำให้เผยความลับก็ได้
เทียบกันแล้ว เขายอมที่จะปฏิเสธอาจารย์อาเยี่ยแล้วเสียโอกาสนี้ดีกว่า
นี่ต่างหากคือเหตุผลที่เขาปฏิเสธโดยแท้ ที่เหลือเป็เพียงการปล่อยให้ไหลตามน้ำเท่านั้น!
เมื่อคิดได้แจ่มแจ้งแล้ว โหยวเสี่ยวโม่ก็เลิกคิดเื่ความลำเอียงของขงเหวิน ตอนนี้เขาอยากรีบลองหลอมยาขั้นสองมากกว่าว่าจะทำได้หรือเปล่า หากว่าได้ ครั้งหน้าลงเขาก็เอายาเซียนตันขั้นสองไปขาย
กระนั้นแล้ว โหยวเสี่ยวโม่ที่พึ่งว่างได้เพียงสองวันก็ประกาศเก็บตัวอีกตามเคย
ในขณะที่เขาเก็บตัวได้ไม่นาน ฟางเฉินเล่อได้มาหาเขา เขาได้ยินเื่ข่าวนั่นแล้ว จึงอยากมาขอบคุณด้วยตัวเอง แต่ไม่คิดว่า ศิษย์ห้องข้างๆ บอกกับเขาว่าโหยวเสี่ยวโม่เก็บตัวอีกแล้ว คราวนี้เห็นบอกว่าไม่ถึงสิบวันหรือครึ่งเดือนคงไม่ออกมาง่ายๆ
ฟางเฉินเล่ออดเบ้ปากไม่ได้ด้วยความระอา เ้าจอมเก็บตัวนี่ ถึงขั้นบ้าบิ่นยิ่งกว่าจื่อหลินอีก เขาจึงได้แต่บอกกับศิษย์ห้องข้างๆ ว่าหากโหยวเสี่ยวโม่ออกจากเก็บตัวเมื่อไรให้มาหาเขาเอง
ขณะเดียวกัน โหยวเสี่ยวโม่ที่เก็บตัวก็ไม่ได้ลงมือหลอมยาทันที
หลังจากล็อกกลอนประตูแ่า เขาก็เข้าห้วงมิติ หลายวันผ่านไป หญ้าเซียนขั้นสองต่างสุกเต็มที่แล้ว หญ้าเซียนหลายสิบชนิดเรียงเป็ทิวทัศน์เจริญงอกงาม
เพื่อที่จะแยกหญ้าเซียนทุกชนิดออกจากกัน โหยวเสี่ยวโม่ตั้งใจแยกแปลงออกเป็สิบแปลง เหมือนที่ชาวนาปลูกข้าว ทุกแปลงจะปลูกหญ้าเซียนเพียงชนิดเดียว ราวแปลงละร้อยต้น หญ้าเซียนที่ใช้บ่อยก็ปลูกเยอะหน่อย สีสันสดใส วิวกว้างใหญ่สวยงาม
โหยวเสี่ยวโม่สำรวจก่อนรอบหนึ่ง พบว่าการเจริญเติบโตของทุกต้นนั้นเท่ากัน ความสมบูรณ์ของพลังปราณนั้นอยู่ในเกณฑ์ดี เห็นได้ว่าบำรุงเป็อย่างดี น่าจะไม่เกี่ยวกับวิธีเพาะปลูก ทว่าวันก่อนที่ไปดูแปลงหญ้าเซียนที่เขานทีเมฆาของอาจารย์อาเยี่ยนั้น พบว่าแปลงหญ้าเซียนของเขาล้วนเพาะปลูกในลักษณะวงกลม อีกอย่างขนาดวงเล็กใหญ่พอกัน
อย่างเช่น แปลงหญ้าเซียนแต่ละแปลงมีลักษณะเป็วงกลม คำนวณจุดศูนย์กลางราวแปดเมตรได้ ผลลัพธ์ของการวางแนวเช่นนี้ก็คือหญ้าเซียนที่ยิ่งอยู่ใกล้จุดศูนย์กลางยิ่งงอกงามดี
ส่วนใหญ่แปลงหญ้าเซียนล้วนแบ่งแนวปลูกประมาณนี้ แม้ไม่รู้ว่าการปลูกแบบนี้จะมีผลดีกับแปลงหญ้าเซียนเช่นไร แต่โหยวเสี่ยวโม่คิดว่าน่าจะเกี่ยวเนื่องกับความหนาแน่นของพลังปราณภายในม่านมิติของเขานทีเมฆา ดังนั้นจึงก่อให้เกิดภาพลักษณะเช่นนี้
เมื่อเทียบกันเสร็จแล้ว โหยวเสี่ยวโม่ก็เริ่มขุดต้นหญ้าเซียน
หญ้าเซียนแปลงใหญ่เช่นนี้ปกติคงต้องใช้เวลาราวสามถึงสี่ชั่วยามในการขุดให้เสร็จ ทว่าั้แ่วิชาิญญา์ของเขาบรรลุขั้นหนึ่ง การใช้พลังปราณิญญาก็ก้าวหน้าขึ้น แต่คราวนี้เขาใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วยามครึ่ง ก็จัดการขุดหญ้าเซียนขั้นสองมาตากไว้บนชั้นเก็บเรียบร้อย
ชั้นวางเต็มไปด้วยหญ้าเซียนขั้นสอง คราวก่อนที่ตั้งใจซื้อมาก็ถูกเขาใช้จนของเต็มทั้งชั้น
จากนั้นเลือกหญ้าเซียนขั้นสองที่ต้องใช้มาสามชนิด โหยวเสี่ยวโม่ก็ออกจากห้วงมิติอย่างเชื่องช้า
บนโต๊ะวางเตาหลอมที่พึ่งได้จากอาจารย์ลุงจ้าว คุณภาพดีแต่ก็รับได้แค่การหลอมยาขั้นสองเท่านั้น หากอยากหลอมยาขั้นสาม คงต้องซื้อเตาหลอมเกรดดีกว่าเท่านั้น
โหยวเสี่ยวโม่วางหญ้าเซียนบนโต๊ะ จากนั้นเลือกออกมาสามต้น ยาเซียนตันขั้นสองที่วันนี้เขาจะหลอมวันนี้เรียกว่า ยาขม
ยาขมนั้นใช้โสมขม หญ้าหอมก้านเรียวและหญ้าไหมนุ่ม ทั้งสามชนิดเป็ส่วนผสม
โสมขมนั้นลักษณะภายนอกคล้ายกับโสมทั่วไป แต่ออกรสขมมาก ดังนั้นคนส่วนน้อยที่จะรับความขมนี้ได้ แม้จะหลอมเป็เม็ดยา แต่ความขมก็ไม่ได้ลดลงเลย ดังนั้นต้องผสมหญ้าหอมก้านเรียว
หญ้าหอมก้านเรียวนั้นสมชื่อ เกสรส่งกลิ่นหอมเข้มข้น ส่วนลำต้นยังมีรสชาติหวาน ตัดกับรสขมของโสมขมได้ และไม่ส่งผลต่อสรรพคุณของตัวยาอีกด้วย
สรรพคุณของยาขมคือช่วยเื่การรวบรวมพลังหลังจากบรรลุขั้นของนักฝึกตน ทว่าจะมีผลเฉพาะนักฝึกตนที่มีพลังต่ำเท่านั้น หากพลังสูงต้องพึ่งยาเซียนตันขั้นสูงชนิดอื่น
เขาโยนหญ้าเซียนทั้งสามชนิดลงไปในเตาหลอม จากนั้นเริ่มส่งพลังปราณิญญาเข้าสู่เตาหลอมเพื่อหลอมร้อน
การห่อหุ้มตัวของหญ้าเซียนขั้นสองนั้นสูงกว่าขั้นหนึ่ง ลำพังจะละลายมันนั้นโหยวเสี่ยวโม่ต้องใช้เวลาสองเท่าของหญ้าเซียนขั้นหนึ่ง ด้วยความที่ขั้นสูงขึ้นมาหนึ่งขั้น ระดับความยากในการหลอมร้อนจึงยากกว่าหญ้าเซียนขั้นหนึ่ง รวมกับหญ้าเซียนขั้นสองคุณภาพสูงพวกนี้เขาปลูกในห้วงมิติ การหลอมร้อนจึงยากกว่ามาก
รวบรวมสมาธิหลอมร้อนได้หนึ่งรอบ โหยวเสี่ยวโม่ก็ดูดสิ่งแปลกปลอมไม่ออกมาอีกเลย
แน่นอนว่าการดูดสิ่งแปลกปลอมไม่ออกไม่ได้แปลว่า ไม่มี คงพูดได้แค่ว่าความสามารถเขายังไม่พอ ไม่อาจเจาะลึกเข้าไปได้อีกชั้นได้
โหยวเสี่ยวโม่หาได้บั่นทอนจิตใจตัวเอง สถานการณ์เช่นนี้เหมือนครั้งที่เขาพึ่งฝึกหลอมยาเซียนตันครั้งแรก ต้องค่อยเป็ค่อยไป ให้เวลาเขาหน่อย ต้องมีสักวันที่ทำได้ดีกว่านี้ จากนั้นเขาจึงเข้าสู่ขั้นตอนท้ายในกระบวนท่าการนวดยา
การนวดผสมยานั้นเป็ไปด้วยดี ไม่นานนักก็ได้ยาเซียนตันขั้นสองสดใหม่ออกมาจากเตาหลอม ทั้งยังเป็แบบคุณภาพชั้นสูง
โหยวเสี่ยวโม่จ้องผลลัพธ์ของตัวเองพลางยิ้ม จากนั้นหยอดใส่ขวด แล้วเริ่มหลอมเม็ดที่สองต่อ…
…………
หลังจากโหยวเสี่ยวโม่เก็บตัว ก็ตัดขาดจากโลกภายนอก และไม่รู้ว่า่ที่ตัวเองเก็บตัวอยู่นั้น ทัพพิภพเกิดเื่ใหญ่โตขึ้น ฟางเฉินเล่อกับฝูจื่อหลินได้รับเลือกเป็ศิษย์ของเยี่ยหาน ที่สำคัญคือพร้อมกันทั้งสองคนด้วย
เื่ราวนี้กระทบทั้งสำนักเทียนซิน ทังฝานทนไม่ไหวจนต้องออกโรงไปหาเยี่ยหานด้วยตัวเอง
ความหมายของทังฝานคือ หากว่าเยี่ยหาน้ารับศิษย์ ลูกสาวเขาเองก็เป็นักหลอมโอสถ จึงอยากให้เขารับเป็ศิษย์ด้วย ทว่าเยี่ยหานกลับตอบเพียงว่าจำนวนคนที่เขารับนั้นเพียงพอแล้ว และปฏิเสธทังอวิ๋นฉีไป
ฟางเฉินเล่อกับฝูจื่อหลินต่างจากโหยวเสี่ยวโม่ พวกเขาเข้าร่วมสำนักมานานหลายปี ในแขนงโอสถก็พอมีเครือข่ายอยู่บ้าง ที่สำคัญคือ ทั้งสองต่างฝึกฝนวิชายุทธ์ การได้รับการฝึกฝนวิชายุทธ์ก็เท่ากับว่าทั้งสองคือศิษย์หัวแก้วหัวแหวน ทังฝานมิอาจใช้ข้ออ้างที่ใช้กับโหยวเสี่ยวโม่มาหยุดยั้งเยี่ยหานเื่ปฏิเสธพวกเขาเป็ศิษย์ไว้ได้ แต่เขาก็มิอาจยอมให้ทัพพิภพนั้นออกนอกหน้าเกินไป
ท้ายสุดเยี่ยหานถูกรังควานจนทนไม่ไหว จึงกล่าวว่าหากทังอวิ๋นฉีผ่านการทดสอบก็จะรับเป็ศิษย์
แต่ที่น่าขำก็คือ ท้ายสุดทังอวิ๋นฉีไม่ผ่านการทดสอบไม่พอ ยังจะโวยวายอีก
ทังอวิ๋นฉีเป็คนที่ทำตัวสูงเหนือฟ้า ที่ผ่านมาไม่เคยเห็นหัวคนที่อยู่ต่ำระดับกว่านาง แต่ศิษย์ที่เยี่ยหาน้าคือคนที่ละเอียดอ่อนและมีความอดทน แต่นางขาดคุณสมบัติทั้งสองข้อ ด่านแรกไม่ทันผ่านก็ถูกหิ้วออกไปแล้ว
นิสัยของฟางเฉินเล่อกับฝูจื่อหลินแม้จะต่างกันมาก แต่ทั้งสองมีจุดที่เหมือนกันคือ ละเอียดอ่อนและมีความอดทน โดยเฉพาะในการใส่ใจดูแลหญ้าเซียน ทั้งสองล้วนตั้งใจอย่างมาก
ฝูจื่อหลินที่ผ่านมาถึงแม้จะมีท่าทีไม่ชอบอาชีพนักหลอมโอสถเท่าไรนัก แต่น่าแปลกการกระทำของเขาช่างตรงกันข้ามกับความคิด ให้ความรู้สึกปากอย่างใจอย่างเหมือนที่โหยวเสี่ยวโม่บอก ฝูจื่อหลินเป็คนเอาใจยาก คนแบบนี้เยี่ยหานไม่นึกรังเกียจ
เมื่อเป็เช่นนี้ ทังฝานก็หมดคำจะพูด ลูกสาวไม่ได้ความเอง ก็โทษใครไม่ได้ คนอื่นเขาให้โอกาสแล้ว เ้าไม่คว้าโอกาสนั้นไว้ก็เป็ความผิดของตัวเอง ไม่อาจโทษใครอื่น
แต่ว่า…
ทังอวิ๋นฉีไม่พอใจ เขาหาว่าเยี่ยหานจงใจตั้งแง่กับนาง จึงโวยวายขึ้น แต่ละวันเอาแต่พาพรรคพวกไปด้านหน้าเขานทีเมฆาแล้วะโว่าเยี่ยหานลำเอียง ไม่ยุติธรรมอะไรเทือกนี้
แต่เขานทีเมฆามีม่านกำบังกั้นอยู่ ถึงทังอวิ๋นฉีจะะโให้ดังแค่ไหน เยี่ยหานก็ไม่มีทางได้ยิน
แต่ที่บังเอิญคือ ท่านผู้เฒ่าที่ลงมารับโหยวเสี่ยวโม่กับหลิงเซียวทั้งสองครั้งที่แล้วนั้นบังเอิญปรากฏอยู่ด้านนอกม่านกำบัง พอดีกับทังอวิ๋นฉีเห็นเข้า นึกว่าเป็ผู้ช่วยใกล้ชิดของเยี่ยหาน จึงให้เขานำทาง แต่เขาไม่สนใจ ทังอวิ๋นฉีโมโห จึงพูดบางอย่างออกมาเพื่อขู่เขา
ท้ายที่สุด สิ่งที่คนได้เห็นในเหตุการณ์ตอนนั้นก็คือ เด็กหนุ่มคนนั้นสวนกลับทันทีด้วยการตบดังฉาด ใบหน้าสวยงามของทังอวิ๋นฉีทันใดก็บวมเป่งเหมือนหัวหมู จากนั้นก็ไม่กล้าออกจากห้องอีกเลย และสำนักเทียนซินก็สงบเงียบอีกครั้ง
เมื่อทังฝานรู้เื่นี้ เขาโกรธเป็ฟืนเป็ไฟแล้วขังทังอวิ๋นฉีไว้หนึ่งเดือนเต็ม หลังจากนั้นก็รีบไปขออภัยท่านผู้เฒ่าด้วยตัวเอง ทุกคนจึงรู้ว่าเด็กหนุ่มคนนั้นแท้จริงแล้วเป็หนึ่งในผู้าุโเบื้องสูงทั้งสิบของสำนักเทียนซิน
ไม่รู้ว่าทังอวิ๋นฉีมีอาการใหรือใบหน้าจึงมิอาจพบเจอผู้คนได้ จากนั้นหลายเดือนก็ไม่ได้เห็นนางออกมาอีกเลย
คนที่รู้สึกสงบสุดคงเป็หลิงเซียว ในที่สุดเขาก็ไม่ต้องทนรับมือคุณหนูใหญ่ที่คอยมาเกาะแกะทุกวันแล้ว ไม่เช่นนั้นเขาเป็ห่วงจริงๆ ว่าวันไหนเกิดทนไม่ไหวหักคอนางขึ้นมา
