หลิวฉีซื่อรู้สึกว่าหัวใจถูกไฟโมโหแผดเผา เมื่อคิดว่าในมือของหลิวซานกุ้ยกำเงินไว้มากมายแต่ตัวเองกำลังขาดแคลนเงินแล้ว ไฟแห่งความโกรธจึงยิ่งทวีออกมา
“นี่ ข้าว่านางแก่ไม่ตายดี เ้าคงไม่ได้คิดจะไปเอาเงินบ้านเ้าสามอีกแล้วหรอกนะ!”
ไม่รู้ว่าหลิวซุนซื่อปรากฏตัวที่ประตูห้องตะวันออกั้แ่เมื่อใด และไม่รู้ว่าแอบฟังอยู่นานแค่ไหนแล้ว
เห็นแต่นางกำลังกำมือไว้ ริมฝีปากเล็กๆ นั้นพ่นเปลือกเมล็ดทานตะวันออกมาไม่หยุด
หลิวฉีซื่อเห็นแล้วรำคาญหงุดหงิด จึงชักสีหน้าใส่หลิวซุนซื่อที่ชอบออกมาก่อกวน
“นางผู้หญิงหน้าไม่อาย ออกมาสร้างปัญหาอะไร ยังไม่รีบไสหัวกลับไปอีก ผ้าในบ้านซักแล้วหรือ ทำความสะอาดลานบ้านแล้วหรือ อาหารหมูให้หรือยัง?”
ใบหน้าของหลิวซุนซื่อหมดความอดทน “ถุย นางแก่ไม่ตายดี เ้าคิดว่าตัวเองเป็ใครกัน ตอนนั้นรังแกจางกุ้ยฮัว แล้วยังเล่นงานนางจนเกือบตาย จิกหัวคนอื่นราวกับทาส เ้าคิดว่าพวกข้าตาบอดหรือ แล้วก็ เ้าเอาเงินไปแบ่งให้ลูกชายคนอื่นหมดแล้วสินะ เหตุใดของเหรินกุ้ยถึงมีส่วนแบ่งน้อยนิด?”
คนเราเมื่อมีเวลาว่างมากเกินไป ก็มักจะเก็บทุกอย่างมาคิด
หลิวซุนซื่อมีบุตรชายที่มีความสามารถ หลิวจื้อไฉอายุยังน้อยก็สอบผ่านซิ่วไฉ จึงมีชื่อเสียงดีงามในละแวกนี้ แม้แต่หลิวเหรินกุ้ยเองก็ยอมไว้หน้านางขึ้นมาบ้าง
ยิ่งไปกว่านั้น หลิวซุนซื่อก็ให้กำเนิดบุตรชายแก่เขา จึงถือว่าอยู่ในเจ็ดกฎที่มิอาจปลดภรรยา
ดังนั้นหลิวซุนซื่อจึงไม่กลัวหลิวฉีซื่อแม้แต่น้อย
นางเองก็มีที่นาดีอยู่ในมือสิบกว่าไร่ เงินที่ใช้ส่วนตัวจึงไม่จำเป็ต้องดูสีหน้าของหลิวเหรินกุ้ยก่อน ด้วยเหตุนี้นางจึงกล้าจองหองถึงเพียงนี้
“นางผู้หญิงบ้าคลั่ง ไม่ควรให้เหรินกุ้ยปล่อยเ้าออกมา”
หลิวฉีซื่อดุหลิวซุนซื่อว่าเป็สุนัขบ้าทางอ้อม เห็นใครก็กัดไปทั่ว
“ถุย ข้าว่าเ้าคงร้อนตัวสินะ เดาว่าเงินของเ้าคงถูกลูกชายคนอื่นแบ่งไปหมดแล้ว ฮึ อย่าคิดว่าข้าไม่รู้เื่อะไร”
สายตาเคลือบแคลงของนางเลื่อนไปที่ชุ่ยหลิว จากนั้นมองกลับมาที่หลิวฉีซื่อแล้วเอ่ยต่อ
“ก่อนที่เ้าจะแยกครอบครัว เ้ากำเงินไว้แน่น มีที่นาดีสามสิบไร่ รวมกับเงินค่าเย็บปักที่เ้าไปสอนมาทุกปี คนโง่ยังคำนวณออกมาได้เลยว่าเ้ามีเงินอยู่ในมือเท่าไร ข้าว่าไม่หนึ่งพัน ก็ต้องมีแปดร้อย”
ในความเป็จริง สมองของหลิวซุนซื่อนั้นคำนวณอะไรแบบนี้ไม่เป็
ทว่านางมีความสามารถพิเศษอย่างหนึ่ง คือการมีปากที่พูดปดโดยไม่ต้องมีคำร่างก่อน
หลิวฉีซื่อใที่ได้ยิน จึงสงสัยว่ามีหนอนบ่อนไส้หรือไม่
แต่ชุ่ยหลิวก็เ้าเล่ห์ จึงรีบตวาด “ท่านพี่ ใครไม่รู้บ้างว่าเ้าชอบโกหก!”
“ถุย มารดาอย่างข้าพูดจริง เ้าคิดว่าคนในบ้านเป็คนโง่หรือ? แต่พวกเ้าคิดว่าตนเองฉลาดสินะ ข้าว่าคนอย่างครอบครัวเ้าสามต่างหากที่เรียกว่าฉลาด พวกเ้าคงถูกพวกเขาปั่นหัวแล้ว”
เื่นี้ไม่ใช่สิ่งที่นางคิดได้เอง กลับกันคือก่อนหน้านี้หลิวจื้อไฉเอ่ยขึ้นมา บอกว่าอย่าให้มารดาของตนเองมีเื่ขัดแย้งกับครอบครัวสาม ระวังจะกลายเป็ว่าถูกท่านย่าหลอกใช้
“พอได้แล้ว นางผู้หญิงนี่หากว่างมากนัก ก็รีบเอาเสื้อไปซัก”
ความน่าเกรงขามของหลิวฉีซื่อไม่มีผลอะไรกับหลิวซุนซื่อแม้แต่นิดเดียว หรือจะพูดว่า ั้แ่วันแรกที่นางแต่งงานเข้ามา หลิวซุนซื่อกับหลิวฉีซื่อก็มีจุดยืนอยู่ในระดับเดียวกันมาโดยตลอด
ใครใช้ให้นางมีสินเ้าสาวเป็ที่นาดีสี่ไร่เล่า!
“ถุย ใครใคร่ซักก็ซักไป อย่ามาคาดหวังกับข้า ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ก็แยกบ้านแล้ว!”
อารมณ์เดือดดาลเข้าจู่โจมหัวใจของหลิวฉีซื่อทันที ก่อนจะตะคอก “ในเมื่อแยกบ้าน ก็ไสหัวไป”
“แต่งกับไก่ก็ไปตามไก่ แต่งกับสุนัขก็ตามสุนัข ข้าแต่งกับลูกชายเ้าไม่ใช่เ้า แน่จริงนางแก่ไม่ตายดีอย่างเ้า ก็ไล่พวกลูกชายออกไปด้วยสิ ฮ่าๆ ข้าจะดูว่าต่อไปใครจะมาเลี้ยงเ้ายามแก่เฒ่า”
หลิวซุนซื่อจนตรอกแล้ว จึงไม่คิดจะทำให้ตนเองอดสูแม้แต่นิดเดียว
“เ้า...ไสหัวออกไป!”
หลิวฉีซื่อไล่หลิวซุนซื่อออกไป ก่อนจะเดินดุ่มๆ ไปยังบ้านหลิวซานกุ้ยด้วยความโมโห เดิมทีนางอยากพาชุ่ยหลิวมาด้วย
เพียงแต่ชุ่ยหลิวเป็คนเ้าเล่ห์ จึงผลักไสว่า “เหล่าฮูหยิน ท่านอย่าโกรธไป หมอบอกว่าหากมีอารมณ์โมโหมากเกินไป คนเราจะป่วยง่าย นี่ทำให้บ่าวเ็ปใจ หรือไม่ เหล่าฮูหยินพาจินไชไป บ่าวจะอยู่ที่บ้านแล้วต้มน้ำแกงให้เหล่าฮูหยิน เพราะจากที่ดู อีกหนึ่งชั่วยามก็จะถึงเวลาอาหารค่ำแล้ว”
นางพูดอย่างมีเหตุมีผล ซึ่งเป็การคิดเพื่อหลิวฉีซื่อทุกอย่าง จึงไม่อาจพานางไปด้วยได้ จากนั้นจึงเรียกเด็กรับใช้คนใหม่ชื่อว่าจินไชไปพร้อมกัน
เนื่องจากความล่าช้าก่อนหน้านี้ เมื่อหลิวฉีซื่อรีบไปถึงที่ ครอบครัวหลิวซานกุ้ยก็ทานอาหารกันได้ครึ่งทาง เมื่อได้ยินเสียงะโเรียกของหลิวฉีซื่อ ทั้งครอบครัวก็อารมณ์ไม่ดี
เพียงแต่เห็นว่านางคือญาติาุโ คงไม่ดีหากทะเลาะกันด้านนอกให้ผู้อื่นเห็น
หลิวซานกุ้ยวางชามและตะเกียบลง เพื่อเตรียมตัวลุกไป
“ซานกุ้ย เ้าอย่าโมโห” จางกุ้ยฮัวรีบลุกขึ้นยืน
หลิวซานกุ้ยหันกลับมาและสบตากับดวงตาดำขลับที่เป็ห่วง ไฟโกรธาในใจลดทอนลงไปและมีสติมากขึ้น จากนั้นเริ่มพินิจด้วยสติสัมปชัญญะว่าจะรับมืออย่างไร
“พวกเ้ากินกันต่อเถิด ข้าจะออกไปดู”
ในบ้านมีต้าเฮยช่วยเฝ้าประตู จึงไม่ต้องห่วงว่าหลิวฉีซื่อจะพุ่งเข้ามาในบ้าน
ถูกต้อง หลิวเต้าเซียงจงใจเลี้ยงสุนัขบ้านไว้เพื่อกันหลิวฉีซื่อและคนอื่นๆ
ตอนนี้มันเติบโตและรู้เื่ จึงรู้จักเฝ้าประตู หลิวเต้าเซียงยิ้มจนตาโค้ง!
ทันทีที่หลิวซานกุ้ยปรากฏตัว หลิวฉีซื่อก็ะเิความโกรธทั้งหมดใส่เขา
“ท่านแม่ ตกลงท่าน้าอย่างไรกันแน่?”
หลิวฉีซื่อมองไปที่ใบหน้าของเขา พลันรู้สึกว่าหัวใจตนเองหล่นลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม บุตรชายคนที่สามคนนี้เกรงว่าคงไม่เห็นแก่สัมพันธ์ฉันแม่ลูกอีกแล้ว
ดังนั้นจึงสะบัดผ้าเช็ดหน้าแล้วลงไปดิ้นทุรนทุรายบนพื้น ก่อนจะร้องโอดครวญกับฟ้าดิน “์ เหตุใดไม่มีตา ข้าหลิวฉีซื่อเป็คนจิตใจดีมาชั่วชีวิต เหตุใดถึงได้คลอดคนเนรคุณแบบนี้ออกมา ฮือๆ ว่ากันว่ามีเมียแล้วลืมพ่อแม่ ข้าเลี้ยงเ้ามาั้แ่ตัวยาวเท่าไม้บรรทัด ตอนเด็กก็รักใคร่เ้าไม่น้อย แต่ตอนนี้กลับไม่สนใจความเป็ตายของพ่อแม่ ์ เหตุใดเ้าไม่เก็บชีวิตคนเนรคุณไป แล้วยังปล่อยให้คนเนรคุณแตกกิ่งก้านสาขา มันช่างทิ่มแทงใจข้าเหลือเกิน ์ เหตุใดคนดีจึงมีชีวิตไม่ยืนยาว! หญิงเฒ่าอย่างข้าจะตรอมใจตายเพราะลูกเนรคุณแบบนี้อยู่แล้ว ฮือๆ!”
หลิวฉีซื่อเห็นว่าชาวบ้านเริ่มล้อมวงกันมาดู จึงคร่ำครวญอีก “ข้าช่างโชคร้ายเสียจริง ถึงได้เลี้ยงลูกชายแบบนี้ออกมา ข้าไม่อยากอยู่แล้ว พวกเ้าปล่อยให้ข้าช้ำใจตายดีกว่า”
หลิวซานกุ้ยได้ยินถึงกับปวดหัวตุบๆ และพยายามสะกดกลั้นอารมณ์โมโห ก่อนจะเอื้อมมือไปพยุงหลิวฉีซื่อให้ลุกขึ้น
เขาพึมพำกับตนเองในใจ เพื่อไขว่คว้าเกียรติให้ภรรยา เขาต้องอดทนไว้ ต้องอดทน...
ใช่แล้ว เขา้าไขว่คว้ายศตำแหน่งให้แก่จางกุ้ยฮัว เมื่อคิดว่าบุตรสาวสามารถแต่งงานกับคนดีๆ จึงอยากให้พวกนางได้ใช้ชีวิตอยู่ดีมีสุขในบ้านสามี
บุตรสาวของเขาไม่ได้มีพี่ชายคอยเกื้อหนุน เช่นนั้นเขาต้องช่วยเป็ที่กำบังลมฝนให้แก่พวกนางทั้งหลาย
เมื่อนึกถึงบุตรสาวที่ชาญฉลาดและอ่อนน้อม ไฟโมโหที่แผดเผาสมองจนสับสนก็เหมือนมีน้ำเย็นสาดเข้ามาหนึ่งกะละมัง
ขณะเดียวกันก็ใเพราะเกือบติดกับมารดาตนเองแล้ว
เขาค่อยๆ หลุบตาลง แววตาเผยเพียงความเยือกเย็นออกมา
หลิวฉีซื่อร้องไห้และดุด่าในขณะที่แอบมองไปที่หลิวซานกุ้ย ตราบใดที่เขาโกรธ คำว่า ‘อกตัญญู’ ก็จะกลายเป็ตราบาปติดตัวเขาไปชั่วชีวิต ไม่ต้องคาดหวังหนทางไปสู่ขุนนางได้อีก
เมื่อนึกถึงท่าทีสลดของบุตรชาย นางก็ยิ่งด่าอย่างเกรี้ยวกราด
หลิวซานกุ้ยระงับความโกรธ ได้ยินเพียงเสียงตุบดังขึ้น เขาคุกเข่าตรงหน้าหลิวฉีซื่อ
“ท่านแม่ ตกลงท่าน้าให้ลูกทำอะไร? อยากบีบให้ลูกไปตายหรือ?”
เมื่อเห็นท่าทีโศกเศร้าของเขา จิตใจของชาวบ้านก็เอนเอียงไปทางเขาทั้งหมด
หลิวฉีซื่อวางแผนไว้ว่าไม่อยากให้เขาได้ไปต่อในหนทางขุนนาง หรือไม่ก็เอาเงินมาจากเขาให้ได้มากที่สุด ใครจะรู้ว่าหลิวซานกุ้ยกลับแสดงออกไม่เป็ไปตามที่คาดไว้ ไฟโมโหของนางก็ยิ่งทวีความลุกโชน แล้วเอ่ยอย่างโมโห “ได้ เ้าจะเชื่อฟังข้าหรือ เช่นนั้นข้าบอกว่าห้ามเ้าสร้างบ้านใหม่ ทุกปีต้องให้เงินเลี้ยงดูยามแก่เฒ่ากับพวกข้า อย่างน้อยหนึ่งร้อยตำลึง”
คำพูดนี้อุกอาจยิ่งนัก เป็ใครก็ทนฟังไม่ได้
ณ ตอนนี้ คนที่มีสัมพันธ์อันดีกับครอบครัวหลิวซานกุ้ยมาตลอดก็ยืนออกหน้ามาทีละคน
“ข้าไม่อาจทนดูได้จริงๆ ซานกุ้ยเ้าลุกขึ้นมาเถิด หมู่บ้านเราใครบ้างที่ไม่รู้ว่าเ้าเป็คนอย่างไร ไม่ใช่คนอกตัญญูเนรคุณอะไรทั้งนั้น ต่อไปหากใครกล้าพูดกับเ้าลับหลังเช่นนี้ ข้าจะเป็คนแรกที่เอาจอบตีกลับไปเอง”
“ใช่แล้ว สองปีมานี้ที่หมู่บ้านเราอยู่ได้อย่างสงบสุข ก็เพราะได้รับการเกื้อหนุนจากซานกุ้ย ชีวิตของคนในหมู่บ้านเราจึงดีกว่าหมู่บ้านข้างๆ”
ภาษีที่หนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ กดดันจนทุกคนแทบตั้งตัวไม่ได้ สภาพจิตใจก็ยิ่งย่ำแย่!
โชคดีที่หลิวซานกุ้ยยื่นมือออกมาช่วย คนในหมู่บ้านสามสิบลี้จึงมีชีวิตที่ยังดีหน่อย เมื่อเทียบกับหมู่บ้านอื่น นับว่าดีไม่น้อยทีเดียว
ทุกคนเห็นแก่ความดีที่ครอบครัวของเขาทำ จึงช่วยกันออกเสียง
“ข้าว่าท่านป้าหลิว นี่คือลูกชายแท้ๆ ของเ้าทั้งคน มีอย่างที่ไหนถึงขั้นมาด่าลูกชายจนถึงขั้นตัดขาดความสัมพันธ์กัน?”
“คนเป็แม่ มีใครบ้างไม่วาดหวังให้ลูกชายตนเองมั่งคั่งร่ำรวย?”
“นั่นน่ะสิ บ้านลูกชายได้ดี จะสร้างบ้านก็เป็เื่ธรรมดาไม่ใช่หรือ?”
“เฮอะ น่าขำจะตายชัก ทีตัวเองมีเงินสร้างบ้านใหม่ แล้วยังเลี้ยงดูครอบครัวใหญ่ได้ แต่กลับวิ่งมาโอดครวญกับลูกที่ตนเองไม่ชอบที่สุดว่ายากจน แล้วยังสั่งห้ามสร้างบ้าน คงไม่ใช่ว่าอยากยกบ้านเอ้อร์จิ้นย่วนของตนเองให้ครอบครัวซานกุ้ยหรอกนะ หรือว่าลูกคนอื่นๆ ไม่ใช่ลูกแท้ๆ”
“ฮ่า ข้าว่าเ้าตาถั่วแล้ว ข้าว่าหลิวซานกุ้ยต่างหากที่ไม่เหมือนลูกในไส้ของนาง มีลูกชายคนไหนบ้างที่ชีวิตไม่ดี? คนโตทำงานเป็เหรัญญิกในจังหวัด ได้ยินว่าบ้านสะใภ้ใหญ่ก็เปิดสถาบันเอกชน ส่วนคนรองก็เป็เถ้าแก่ดูแลร้านมาหลายปี จะไม่มีเงินเก็บอย่างอื่นเลยได้อย่างไร ส่วนคนเล็กก็สอบผ่านซิ่วไฉ ได้ยินว่ายังได้รับยกเว้นภาษีสามสิบไร่ด้วย”
“จะว่าไป ไม่รู้ว่าสุสานตระกูลหลิวมีฮวงจุ้ยดีหรืออย่างไร ลูกชายแต่ละคนก็ไม่เลว”
“ใช่ ในเมื่อลูกชายก็อยู่ดีมีสุขทุกคน แล้วเหตุใดนางมักจะมาหาเื่ไม่เว้นวัน บอกว่าเงินไม่พอใช้?”
“คงเอาไปอุ้มชูลูกชายคนอื่นสินะ!”
“ข้าสงสัยจริงว่าหลิวซานกุ้ยไม่ใช่ลูกของนางเอง”
“จะว่าไปก็ใช่ มีเพียงลูกชายคนที่สามที่เกิดในจังหวัด ตอนอุ้มกลับมาก็อายุสองสามเดือนแล้ว”
......
หลังกำแพงบ้าน สามพี่น้องได้ยินเสียงตวาดกรีดร้องแหลมของหลิวฉีซื่อ แล้วยังมีเสียงพึมพำความไม่ยุติธรรมของชาวบ้าน ทั้งหมดต่างมองหน้ากันไปมา ไม่รู้ควรทำอย่างไรดี
หลิวฉีซื่อไม่ชอบครอบครัวของหลิวซานกุ้ยจริงๆ นอกจากเื่ที่ไม่ได้ปล่อยให้พวกเขาอดตายในอดีตที่ผ่านมา นางอยากจะกดขี่ข่มเหงอย่างไรก็ได้ทำตามใจมาตลอด
เป็เวลากว่าสิบปีแล้วที่หลิวฉีซื่อวางมาดข่มจางกุ้ยฮัวกับหลิวซานกุ้ยจนเคยตัว เวลาด่าทอทั้งสองก็ไม่เคยยั้งปากแม้แต่นิดเดียว
เพียงแต่หลิวฉีซื่อรักหน้าตาตนเอง อีกทั้งเงินในมือก็มีมากจึงไม่เคยอาละวาดข้างนอก ครั้งนี้นางเองก็ถูกบีบจนหมดปัญญา เงินในมือก็เหลือเพียงน้อยนิด แล้วยังต้องเลี้ยงดูครอบครัวใหญ่ ส่วนหลิวต้าฟู่ก็ไม่สนใจใดๆ ทั้งสิ้น
-----