อวิ๋นโส่วจงแค่นเสียงเ็า “ชื่อเสียงหรือ? อวิ๋นเหมยเอ๋อร์นางยังมีชื่อเสียงอันใดหลงเหลืออยู่ในหมู่บ้านไหวซู่อีกเล่า? นางไม่ได้ตั้งใจอย่างนั้นหรือ ไปแย่งเอาจี้คล้องิญญาของคนบ้าก็ไม่ได้ตั้งใจอีกหรือ?”
ได้ยินดังนั้น แววตาผู้เฒ่าอวิ๋นก็ริบหรี่ “เ้ารอง เ้าพูดอะไร ข้าฟังไม่เข้าใจ เหมยเอ๋อร์จะไปแย่งของผู้อื่นได้อย่างไร จี้คล้องอะไรกัน?”
อวิ๋นโส่วจงกล่าว “เื่นี้ลูกเขยของท่านเป็คนพูดเอง ตอนนั้นก็ยังมีชาวบ้านได้ยินกันมากมาย ทำไมเล่า ท่านพ่อจะให้ข้าไปตามตัวพวกเขามาซักถามต่อหน้าลูกเขยของท่านหรือ?”
เถาซื่อได้ยินดังนั้นก็โวยวายลั่นทันที “เป็ไปไม่ได้ เจียงต้าไห่ไม่พูดเื่นี้ออกมาแน่! อีกอย่างที่เ้าว่าเหมยเอ๋อร์แย่งของของคนบ้า มีใครเห็นหรือ? ห๊ะ มีใครหน้าไหนมันเห็นหรือไง? หากไม่เห็นก็อย่าพูดจาเหลวไหล ระวังให้ดีจะคลอดลูกชายไม่มีรูก้น ตาเป็หนอง เท้าเป็แผล หัวเป็ฝี!”
คนบ้านใหญ่กับบ้านสามแอบฟังมาบอกพวกบ้านรองชัดๆ เ้ารองก็เ้าเล่ห์นัก กล้าพูดต่อหน้าทุกคนว่าเป็เจียงต้าไห่เป็คนบอก
สีหน้าเจียงต้าไห่เปลี่ยนไปมา ประเดี๋ยวหน้าเขียวประเดี๋ยวหน้าแดง คิดในใจว่าจะกลบเกลื่อนเื่นี้อย่างไรดี ทว่าอวิ๋นโส่วจงไม่คิดจะให้โอกาสเขา
อวิ๋นโส่วจงกล่าวตรงๆ “พวกท่านไม่ยอมรับก็ตามใจ ข้าจะไปแจ้งความที่ศาลาว่าการเอง ข้าก็ดูออกแล้ว วันนี้แม้จะเชิญผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านมาเป็พยาน ทุกคนต่างก็รู้เื่นี้ดีอยู่แก่ใจ แต่ท่านพ่อยังคงไม่เห็นข้าเป็ลูก ไม่เห็นฉี่ซานเป็หลานจะไม่ยอมรับเื่นี้ เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรจะพูดกันแล้ว!”
พอได้ยินอวิ๋นโส่วจงยืนกรานจะไปแจ้งทางการ เจียงต้าไห่ก็ร้อนรนขึ้นมาทันที เขารีบกล่าว “พี่รอง ข้าเป็พยานได้ คนที่ผิดจริงๆ คืออวิ๋นเหมยเอ๋อร์ นางเป็คนแย่งเอาจี้คล้องิญญาที่ทำจากทองของต้าเป่าไป ต้าเป่าถึงได้คลุ้มคลั่ง เื่นี้จริงแท้ทุกประการ พี่รองไปสืบดูก็ได้ วันนั้นต้องมีแขกที่มาร่วมงานเลี้ยงเห็นเหตุการณ์แน่”
เถาซื่อไม่คิดว่าเจียงต้าไห่จะหักหลังอวิ๋นเหมยเอ๋อร์เร็วขนาดนี้ นางโกรธจนแทบสิ้นสติ กำลังจะเอ่ยปากพูดบางอย่าง ทว่าอวิ๋นเจวียนเอ๋อร์เป็คนที่กลัวสามี ยิ่งเจียงต้าไห่ส่งสายตาปราม อวิ๋นเจวียนเอ๋อร์จึงรีบปิดปากเถาซื่อแล้วพยุงนางเข้าไปในห้อง
ผู้เฒ่าอวิ๋นมองอวิ๋นโส่วจงที่ดูเ็า รู้ดีว่าเ้ารองคงไม่ยอมจบเื่นี้ลงง่ายๆ เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงกัดฟันลุกขึ้นยืน เดินไปหาอวิ๋นโส่วจง “โส่วจง เ้ารอง พ่อคุกเข่าขอร้องเ้าแล้ว เื่นี้ไปถึงศาลาว่าการไม่ได้ เ้าห้าน้องชายของเ้ายังต้องสอบรับราชการ เหมยเอ๋อร์ยังไม่ได้แต่งงาน...”
พูดจบเขาก็กำลังจะคุกเข่าลง อวิ๋นโส่วกวงและอวิ๋นโส่วเย่ารีบเข้ามาประคองไว้ ไม่ให้เขาคุกเข่าแตะพื้น “พวกเ้าสองคนมันอกตัญญู ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้ ข้าจะขอร้องเ้ารอง ขอร้องให้เขาไว้ชีวิตครอบครัวพวกเรา! ขอร้องอย่าให้ข้าต้องตรอมใจตายเลย!”
“ฮือๆ... พี่ใหญ่ ข้ากลัว” อวิ๋นเจียวเห็นดังนั้นก็ร้องไห้ขึ้นมาทันที อวิ๋นฉี่เยว่รีบปลอบนาง “เจียวเอ๋อร์อย่ากลัว มีท่านพ่อท่านแม่และพี่ใหญ่อยู่ทั้งคน”
“แต่ท่านปู่จะคุกเข่าขอร้องท่านพ่อ แล้วยังบอกว่าลุงใหญ่กับอาสามห้ามไม่ให้เขาคุกเข่าก็เท่ากับเป็ลูกอกตัญญู แต่ข้าเคยได้ยินมาว่า บิดามารดาคุกเข่าให้บุตรธิดา บุตรธิดาจะต้องถูกฟ้าผ่า ท่านปู่้าให้ท่านพ่อถูกฟ้าผ่าตายอย่างนั้นหรือ? ข้ากลัว!”
ฮึ! ใครใช้ให้เ้ามาบังคับท่านพ่อข้าเล่า! อวิ๋นเจียวคร่ำครวญจนผู้เฒ่าอวิ๋นต้องกลืนคำพูดที่เหลือลงท้องไป
อวิ๋นฉี่เยว่พูดต่ออย่างเฉียบคม “เจียวเอ๋อร์อย่ากลัว ท่านปู่จะอยากให้ท่านพ่อตายได้อย่างไร ท่านพ่อก็เป็ลูกชายแท้ๆ ของท่านปู่ คงไม่ใช่ว่าท่านปู่จะสนใจแค่ลูกสาวกับลูกเขย ไม่สนใจชีวิตความเป็อยู่ของหลานๆ หรอกกระมัง!”
“ยิ่งไปกว่านั้น ลุงใหญ่ อาสามรวมถึงบ้านของเรายังต้องมอบเงินเลี้ยงดูให้ท่านปู่ปีละสามสิบตำลึงเงิน คงไม่ใช่ว่าลูกที่ไม่ให้เงินบิดามารดาจะเป็ลูกกตัญญู ส่วนลูกที่ให้เงินบิดามารดากลับกลายเป็ลูกอกตัญญู ต้องถูกฟ้าผ่าจาก์กระมัง?”
สีหน้าของหัวหน้าตระกูลอวิ๋นบึ้งตึง เขาตำหนิผู้เฒ่าอวิ๋น “เ้าสามพอได้แล้ว ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างพ่อลูกจะถูกเ้าทำลายจนหมดสิ้นแล้ว! คนเราต้องรู้จักรักษาบุญวาสนาให้ดี เ้าต้องรู้ว่าใครเป็คนดูแลเ้า!”
“ยัง้าอะไรจากเ้ารองของเ้าอีก เงินค่าเลี้ยงดูเขาก็ฝากไว้ที่หมอให้อีกต่างหาก เผื่อเ้าเจ็บป่วยจะได้มีเงินรักษา ลูกชายเช่นนี้ ลองมองรอบหมู่บ้านเรา หรือแม้แต่ทั่วตำบลไป๋อวิ๋นดูสิว่าหาได้อีกสักคนหรือไม่?”
เฮ้อ... ผู้เฒ่าอวิ๋นถอนหายใจยาว ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ด้วยท่าทางสิ้นหวัง
จากนั้นหัวหน้าตระกูลอวิ๋นจึงปรึกษากับผู้าุโท่านอื่นๆ “อวิ๋นเหมยเอ๋อร์ประพฤติตนไม่ดี ไม่เพียงแต่ขโมยของผู้อื่นหลายครั้งหลายครายังไม่สำนึกผิด ตอนนี้ยังถึงขั้นแย่งเอาจี้คล้องิญญาที่ทำจากทองของคนบ้า”
“ก่อเื่วุ่นวายแล้วยังผลักคนบริสุทธิ์ไปรับมีดแทนอีก ตระกูลอวิ๋นของเรามิอาจมีบุตรสาวเช่นนี้ได้! นับั้แ่วันนี้เป็ต้นไป ขับไล่อวิ๋นเหมยเอ๋อร์ออกจากตระกูลอวิ๋น! มิให้ทำลายชื่อเสียงของสตรีตระกูลอวิ๋นทำให้การแต่งงานของหญิงสาวตระกูลอวิ๋นต้องมัวหมอง!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าผู้เฒ่าอวิ๋นพลันซีดเผือด ดวงตาขุ่นมัวฉายแววไม่อยากเชื่อ “อะไรนะ... พี่ใหญ่ ท่านพูดอะไรนะ? จะขับไล่เหมยเอ๋อร์ออกจากตระกูลหรือ พี่ใหญ่ ท่านช่างใจร้ายนัก...”
“เื่นี้พวกเราผู้าุโปรึกษากันแล้ว ไม่ใช่ความคิดของข้าเพียงคนเดียว สิ่งที่อวิ๋นเหมยเอ๋อร์ทำลงไป จะให้นางไปคุกเข่าจนตายหน้าโถงบรรพชน [1] ก็ยังได้! ตอนนี้แค่ขับไล่ออกจากตระกูลก็ถือว่าเมตตาเ้าแล้ว กลัวว่าเ้าจะต้องมาเสียใจที่ต้องเสียลูกสาวตอนแก่!” ผู้าุโอีกท่านเอ่ยด้วยน้ำเสียงดุดัน
ผู้เฒ่าอวิ๋นไม่คิดว่าเื่ราวจะบานปลายถึงเพียงนี้ ตอนแรกที่เขายอมให้อวิ๋นโส่วจงไปตามหัวหน้าตระกูลและผู้าุโในหมู่บ้านมาเป็พยาน ก็เพราะตั้งใจจะคุกเข่าต่อหน้าทุกคน เด็กน้อยอย่างอวิ๋นเจียวพูดไม่ผิด บิดาคุกเข่าให้บุตรบุตรย่อมต้องอกตัญญู!
เขาแค่อยากใช้แผนนี้บังคับให้อวิ๋นโส่วจงยอมจบเื่นี้ลง บิดาคุกเข่าให้แล้ว หากลูกยังก่อเื่ไม่เลิกรา ก็ยากจะมีใครเห็นด้วย
ทว่ากลับถูกเด็กน้อยอย่างอวิ๋นเจียวขัดขวาง เหตุใดคำพูดเดียวกันนี้ออกจากปากนางถึงไม่ใช่อวิ๋นโส่วจงอกตัญญู แต่กลับกลายเป็เขาที่อยากให้ลูกชายตายเสียได้? แววตาที่ผู้เฒ่าอวิ๋นมองอวิ๋นเจียว มีความหวาดระแวงแฝงอยู่ลึกๆ
หัวหน้าตระกูลอวิ๋นหันไปพูดกับผู้ใหญ่บ้าน “เื่ของตระกูลอวิ๋นข้าจัดการเรียบร้อยแล้ว ส่วนเื่ที่เหลือก็รบกวนท่านผู้ใหญ่บ้านช่วยจัดการด้วย”
ผู้ใหญ่บ้านพยักหน้า ก่อนจะหันไปมองอวิ๋นโส่วจง “ถึงอย่างไรผู้ที่ทำร้ายคนก็คือเจียงต้าเป่า ฉะนั้นค่ารักษาพยาบาลของอวิ๋นฉี่ซาน เจียงต้าไห่ผู้เป็บิดาย่อมต้องเป็คนรับผิดชอบ เพียงแต่จำนวนเงิน...”
พวกเขาก็ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วอวิ๋นฉี่ซานต้องใช้เงินค่ารักษาเท่าใดกันแน่
อวิ๋นโส่วจงประสานมือคารวะผู้ใหญ่บ้าน “ข้าไม่้ามาก แค่สามร้อยตำลึงก็พอขอรับ”
เนื่องจากก่อนหน้านี้อวิ๋นเจียวกับอวิ๋นฉี่เยว่พูดเอาไว้ว่า ยาเม็ดรักษาชีวิตหนึ่งเม็ดราคายี่สิบห้าตำลึงเงิน ดังนั้นตอนนี้ที่อวิ๋นโส่วจงบอกว่าเพียงสามร้อยตำลึง ทุกคนจึงรู้สึกว่าเขามีน้ำใจ ยังคงคำนึงถึงความสัมพันธ์ฉันญาติมิตร
เจียงต้าไห่ถึงกับเข่าอ่อน สามร้อยตำลึง! มากเกินไปแล้ว! เดิมทีเขาตั้งใจว่าจะจ่ายแค่ยี่สิบถึงสามสิบตำลึง นั่นก็เพราะอยากได้ตัวอวิ๋นเหลียนเอ๋อร์ จึงคิดว่าไม่ควรทำให้อวิ๋นโส่วจงขุ่นเคืองมากเกินไป
“แต่ข้า... แต่ข้าไม่มีเงินมากขนาดนั้น!” เจียงต้าไห่ทรุดตัวลงกับพื้นแล้วร้องไห้ออกมา
ผู้ใหญ่บ้านกล่าว “งั้นก็เขียนสัญญาหนี้ เอาบ้านกับร้านค้าของเ้าในตำบลมาค้ำประกัน”
เหล่าผู้าุโต่างก็เห็นด้วย “ท่านผู้ใหญ่บ้านพูดถูก เขียนสัญญาหนี้มา แต่ต้องเอาทรัพย์สินมาค้ำประกันด้วย”
“ใช่ ถูกต้องแล้ว”
ผู้ใหญ่บ้านหันไปถามอวิ๋นโส่วจง “โส่วจง เื่เขียนสัญญาหนี้เป็เพียงข้อเสนอเท่านั้น สุดท้ายแล้วจะทำอย่างไร เ้าเป็คนตัดสินใจ”
เชิงอรรถ
[1] โถงบรรพชน (祠堂) สถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับบูชาบรรพบุรุษของตระกูล