หั่วอี้คอยเอื้อมมือไปลูบไล้ลำคอขาวนวลนุ่มของหลิ่วจิ้งครั้งแล้วครั้งเล่ากำลังจะรุกไล่ในขั้นต่อไปจึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าพวกเขายังอยู่ตรงหน้าหน้าต่างที่เปิดอยู่เขากำลังจะปิดหน้าต่างด้วยความหงุดหงิด แต่หางตากลับมองเห็นหลินโสงองครักษ์ลับของเขาอยู่บนต้นไม้ต้นหนึ่งห่างออกไปสองสามฉื่อและกำลังมองมาทางนี้ด้วยสีหน้าร้อนรน
มือของหั่วอี้กำลังลัดเลาะไปทั่ว แต่ยามนี้กลับจำต้องหยุดลง
“ฮูหยิน สามีไปสักพักก็จะกลับมา” หั่วอี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงขออภัย
หัวใจที่หวิวไหวเต้นรัวของหลิ่วจิ้งมีอันต้องชะงักไปเล็กน้อย“เมื่อท่านมีกิจธุระก็ไปจัดการก่อนเถิดเ้าค่ะ” หลิ่วจิ้งดึงสติกลับมาได้แทบรอไม่ไหวให้กิจธุระของหั่วอี้แยกตัวเขาออกไปเสีย หาไม่แล้วนางเองก็คงไม่สามารถควบคุมใจตนเองได้
พอหั่วอี้ออกไปก็คล้ายว่าในห้องมิได้ร้อนเหมือนก่อนหน้านี้แล้วหัวใจของหลิ่วจิ้งจึงเต้นช้าลงมา แต่นางก็ยังไม่กล้าปล่อยวางไม่ระวังตัวพลางก้มมองเสื้อผ้าตนเองที่ถูกหั่วอี้ทำจนยุ่งเหยิงไปหมดไม่รู้ว่าครานี้หั่วอี้จะไปนานเท่าใด
ทว่าหลิ่วจิ้งก็นึกไม่ถึงว่าจนนางหลับไปแล้ว หั่วอี้ก็ยังไม่กลับมา
หั่วอี้ออกไปอย่างรีบร้อน เมื่อหลินโสงเห็นหั่วอี้ออกมา เขาจึงะโลงมาจากบนต้นไม้และเดินเข้าไปในห้องลับกับหั่วอี้
หลังจากประตูห้องลับปิดลง หลินโสงคำนับหั่วอี้ตามระเบียบของทหารกล่าวว่า “ท่านแม่ทัพเมื่อครู่ได้รับข่าวจากแหล่งข่าวว่าผู้สำเร็จราชการมีการติดต่อกับคนระดับสูงของแคว้นต้าเว่ยขอรับ”
“บอกมาให้ละเอียด เป็เื่ใดกัน” หั่วอี้ใจเต้นขึ้นมาข่าวนี้แม้คล้ายว่าไร้พิษภัยใดเพราะหลังจากแคว้นต้าเว่ยส่งตัวองค์หญิงมาแล้วก็ไม่ได้ส่งใครมาอีก เนื่องจากองค์หญิงมาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์จึงนับว่าทั้งสองแคว้นเป็แคว้นที่มีสัมพันธ์กันด้วยการแต่งงานแล้วจึงไม่มีข่าวการรุกรานใดจากชายแดนฝั่งแคว้นต้าเว่ยอีก แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดหั่วอี้ก็ยังคงได้กลิ่นว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล
“รายละเอียดที่ชัดเจนยังสืบมาไม่ได้ขอรับ หลังจากได้รับข่าวนายกองเฉินก็ให้จ้าวฉวนกับจ้าวเฉิงสองพี่น้องคอยจับตาเื่นี้เอาไว้และส่งข้าน้อยมารายงานท่านแม่ทัพ เพื่อให้ท่านแม่ทัพทราบเื่นี้เอาไว้ก่อนขอรับ”
หลินโสงพูดจบก็ยืนนิ่งเงียบอยู่ข้างๆ รอคำสั่งไม่ไปรบกวนหั่วอี้ที่กำลังใช้ความคิด
“ไปแจ้งต่อพวกของจ้าวฉวนว่าอย่าแหวกหญ้าให้งูตื่นเป็อันขาดต่อให้ยังไม่สามารถสืบข่าวใดๆ ได้ในระยะนี้ก็ตาม”หั่วอี้ใคร่ครวญอยู่นานก่อนสั่งความเขาไปอย่างเรียบง่าย
หากแหวกหญ้าให้งูตื่นแล้ว แม้อยากรู้ว่างูปรากฏตัวที่ใดก็จะกลายเป็เื่ยากเสียยิ่งกว่ายากด้วยเหตุนี้หั่วอี้จึงยอมไม่รู้ว่าทั่วป๋าฉางมีการเคลื่อนไหวผิดปกติใดแต่ไม่ยอมโจมตีอย่างเร่งร้อนจนพลาดเป้าหมายไป
หั่วอี้กับหลินโสงจึงจัดสรรการวางกำลังทหารใน่เวลานี้เสียใหม่หลังจากหลินโสงรับคำสั่งและจากไป พอหั่วอี้มองดูเวลาก็เป็ยามโฉ่ว [1] แล้วเขานึกขึ้นมาได้ว่าหลิ่วจิ้งยังรอเขาอยู่ จึงรีบกลับไปทันที
แต่เมื่อหั่วอี้ไปถึงห้องนอนกลับเห็นหลิ่วจิ้งที่กำลังหลับสนิทเขาต้องข่มใจหนแล้วหนเล่าเพื่อไม่ไปปลุกให้นางตื่น ทำได้เพียงยืนมองอย่างจนปัญญาก่อนจะกลับไปนอน
คืนนี้หั่วอี้ต้องนอนกระสับกระส่ายพลิกไปมาจนเกือบถึงยามเหม่า [2] จึงจะหลับลงได้ส่วนหลิ่วจิ้งกลับหลับไปโดยไม่รู้ตัว ไม่ได้ฝันจึงนอนหลับสนิทดีทั้งคืน
แม้หั่วอี้จะหลับไปตอนเกือบสว่าง แต่หลังจากหลิ่วจิ้งตื่นแล้วเขาก็รู้สึกได้ในทันทีและตื่นตามนางขึ้นมาด้วย
เมื่อหลิ่วจิ้งล้างหน้าล้างตาเรียบร้อยและอวี้จิ่นจัดอาหารเช้าเสร็จสรรพหั่วอี้ก็แต่งตัวอย่างรวดเร็วและเข้ามาหานาง
“อรุณสวัสดิ์เ้าค่ะท่านแม่ทัพ ทานอาหารด้วยกันหรือไม่เ้าคะทานเสร็จแล้วยังต้องรีบไปส่งเทียบเชิญอีกไม่ทราบว่าท่านแม่ทัพจะมีเวลาไปกับข้าหรือไม่” พอหลิ่วจิ้งคิดถึงเื่เมื่อวานใบหน้านางก็แดงขึ้นมาน้อยๆแม้แต่ตัวนางเองก็ยังััได้ถึงใบหน้าที่ร้อนผ่าวจึงรีบเอ่ยปากเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของหั่วอี้มิเช่นนั้นนางก็กลัวว่าไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ใด
หั่วอี้ยิ้มครึ่งไม่ยิ้มครึ่งมองหลิ่วจิ้ง เขาเคยผ่านผู้หญิงมามากใบหน้าแดงก่ำเช่นนี้ของสตรีเขาย่อมรู้ว่าเป็เพราะเหตุใด
อย่างไรก็ดี หั่วอี้ไม่ได้ทำให้หลิ่วจิ้งผิดหวัง เขาพยักหน้าน้อยๆตอบว่า “ตกลง เมื่อทานอาหารเช้าเสร็จแล้วสามีจะไปกับท่านด้วย”
หลิ่วจิ้งโล่งอกยกใหญ่เมื่อได้ยินคำของหั่วอี้ ส่วนอวี้จิ่นก็เข้ามาจัดเตรียมอาหารให้พวกเขาทั้งสองคนหั่วอี้ทานอาหารพลางมองหลิ่วจิ้งอย่างออกรสออกชาติมองจนหลิ่วจิ้งต้องหาคำพูดมาเบี่ยงเบนความสนใจของหั่วอี้
“ท่านแม่ทัพเ้าคะ วานนี้ข้านับเทียบเชิญดูทั้งหมดมีตั้งห้าร้อยกว่าใบ หากนำไปส่งทีละเทียบคาดว่าลำพังแค่ข้าคนเดียวไปส่งเทียบจนถึงงานวันเกิดฮูหยินผู้เฒ่าก็ยังส่งไม่หมดเลยเ้าค่ะ”
เดิมทีหลิ่วจิ้งยังคิดอาศัยโอกาสนี้ไปรู้จักขุนนางน้อยใหญ่ในแคว้นชางอี้แต่เมื่อไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนแล้วจึงพบว่านางไม่อาจจัดการตามนั้นได้
หั่วอี้ได้ยินก็หัวเราะลั่น เขาเอื้อมมือไปแตะหน้าผากของหลิ่วจิ้ง“ฮูหยินปราดเปรื่องเป็หนึ่งในหล้าแต่กลับเลอะเลือนไปชั่วขณะเสียแล้วเทียบเชิญเหล่านี้มีเพียงสิบคนแปดคนที่คู่ควรให้ฮูหยินนำไปส่งด้วยตนเองนอกนั้นก็ให้ส่งไปที่โรงพักม้าให้พวกของเหมิ่งเจ๋อหัวหน้าองครักษ์ที่โรงพักม้าเป็ผู้รับผิดชอบเป็พอแล้ว”
หลิ่วจิ้งได้ยินก็มีสีหน้าไม่เข้าใจ“ต้องขอให้ท่านแม่ทัพชี้แนะด้วยเ้าค่ะ”
หั่วอี้เก็บรอยยิ้มกลับไป เอ่ยอย่างขึงขังว่า“ฮูหยินก็ช่างดูแคลนบารมีของสามีในกองทัพเสียแล้วการให้ฮูหยินไปส่งเทียบเชิญก็เท่ากับสามีไปด้วยตนเองยิ่งไปกว่านั้นสามีก็จะไปส่งเทียบกับฮูหยินด้วยฮูหยินก็ลองคิดดูว่าเหล่าทหารตำแหน่งเล็กน้อยยังต้องให้สามีไปส่งเทียบเชิญด้วยหรือต่อให้เป็ดังว่าพวกเขาก็คงไม่กล้ารับ และยังต้องมารับเองที่จวนเสียด้วยซ้ำ”
หั่วอี้พูดจบก็ลุกขึ้นมาพลิกดูกองเทียบเชิญเห็นได้ว่าพ่อบ้านหวังจัดแบ่งหมวดหมู่เอาไว้แล้วหั่วอี้จึงเลือกรายชื่อของคนสิบคนออกมาได้อย่างง่ายดายเหลือใจและนำมามอบให้หลิ่วจิ้ง
ที่แท้ก็เป็เช่นนี้เอง หลิ่วจิ้งเข้าใจคำอธิบายของหั่วอี้ในทันที อันที่จริงคนนอกนั้นล้วนไม่คู่ควรให้หั่วอี้เป็คนไปเชิญด้วยตนเอง
มีเพียงสิบคนเท่านั้นที่ต้องไปเชิญด้วยตนเองหลิ่วจิ้งแอบจดจำรายชื่อที่หั่วอี้หยิบออกมาเอาไว้ในใจ ในเมื่อคนเหล่านี้หั่วอี้ต้องไปส่งเทียบเชิญด้วยตนเองนั่นก็แสดงให้เห็นว่าหากพวกเขาไม่ใช่ผู้คนที่ใกล้ชิดกับหั่วอี้ ก็จะต้องเป็ขุนนางระดับสูงที่มีตำแหน่งเท่าเทียมหั่วอี้
หลิ่วจิ้งใคร่รู้นักว่าผู้คนเหล่านี้จะเป็ผู้ใดบ้างเพราะลำพังแค่ดูจากยศและตำแหน่งหลิ่วจิ้งก็ยังไม่อาจรู้ถึงฐานะที่เป็รูปธรรมของพวกเขา นางจะต้องได้เห็นตัวคนเสียก่อนจึงจะสรุปได้แต่ก็มีคำกล่าวไว้ว่าหน้าตาบอกจิตใจมองจากภายนอกจึงยังพอจะประเมินและเข้าใจคนผู้หนึ่งในเบื้องต้นได้บ้าง
เดิมทีหลิ่วจิ้งอยากออกไปให้เร็วสักหน่อยแต่จนใจนักที่พออิ๋งเหอเห็นว่าหลิ่วจิ้งยอมเปลี่ยนทรงผมใหม่จึงรู้สึกว่าหากไม่แสดงฝีมือของนางออกมานางก็จะรู้สึกผิดต่อตนเองนางจึงช่วยหลิ่วจิ้งทำทรงผมที่ค่อนข้างซับซ้อนอยู่ไม่น้อยกว่าจะได้ออกมาก็เกือบถึงยามซื่อ [3] แล้ว
ยามเดินอยู่บนท้องถนนที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนมีเสียงร้องขายของดังเข้ามาในหูไม่หยุด หลิ่วจิ้งสังเกตสิ่งรอบตัวด้วยความสนอกสนใจเหลือล้นคอยแวะแผงขายของตรงนั้นตรงนี้ จับโน่นดูนี่ เพราะนาง้าสร้างความเข้าใจปลอมๆให้กับหั่วอี้ว่านางเป็สตรีที่ชอบเดินซื้อของแต่ความจริงแล้วในสมองของหลิ่วจิ้งกลับกำลังพิจารณาและศึกษาวิธีการทำการค้าของเมืองต้าอี้อยู่
นางกำลังคิดว่าในเมื่อยามนี้มีเงินในมือแล้ว เช่นนั้นควรสร้างเครือข่ายข่าวสารของนางอย่างไรดีนางคิดไปคิดมาก็ยังรู้สึกว่าวิธีของหยวนเซิ่งชิงน่าจะได้ผลดีที่สุด นั่นคือการปลอมตัวเพื่อไปหาข่าวในหอคณิกา
สถานที่ชนิดนี้เป็ที่ลับตาทั้งยังเป็แหล่งข่าวที่สะดวกที่สุดแต่นางกลับไม่สะดวกที่จะเสนอความคิดกับหั่วอี้ว่านางอยากจะไปดูหอคณิกาที่เลื่องชื่อที่สุดสักหน่อยนางอยากรู้วิธีทำกิจการหอคณิกาในเมืองต้าอี้ ว่ากันว่าความเสน่หาของบุรุษเป็แหล่งข่าวชั้นดีและสะดวกที่สุดของสตรี
หลิ่วจิ้งเกิดความคิดดีๆแต่กลับยังไม่มีความสามารถลงมือทำให้เป็จริงได้สาเหตุก็ยังคงมาจากปัญหาที่นางเป็ทุกข์ที่สุด นั่นคือนางไร้ผู้คนไว้ใช้สอยนั่นเอง
_____________________________
เชิงอรรถ
[1] ยามโฉ่ว คือ ่เวลา 1.00น. - 3.00 น.
[2] ยามเหม่า คือ ่เวลา 5.00 น. - 7.00 น.
[3] ยามซื่อ คือ่เวลา 9.00 น. -11.00 น.
