เมื่อได้รับคำยืนยันจากปากของหลัวเลี่ย หลายคนที่ได้ยินก็รู้สึกโล่งใจอย่างไม่มีเหตุผล
ทุกคนล้วนมีความคิดเหมือนกันว่า
“ที่แท้เื่ก็เป็เช่นนี้”
จากนั้นสายตาของทุกคนที่มองไปยังหลัวเลี่ยก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง บางคนมองหลัวเลี่ยอย่างอิจฉาริษยา แต่บางคนก็มองด้วยความตื่นเต้น
และท่าทางทั้งหมดก็แสดงให้เห็นแล้วว่า
เคล็ดวิชาั์ที่แม้แต่มหาเทพยังเคยเอ่ยว่าเสียใจที่ไม่ได้ฝึกฝน และยังเป็เคล็ดวิชาที่ไม่เคยมีใครฝึกสำเร็จนี้ เป็เคล็ดวิชาที่มีผลต่อจิตใจของผู้คนมากเพียงใด ทุกคนรู้ดีว่าหากมีคนสามารถฝึกฝนเคล็ดวิชาั์ได้สำเร็จ ก็หมายความว่าในอนาคตคนคนนั้นต้องได้เป็เทพอย่างแน่นอน
เทพ!
แค่คิดมาถึงตรงนี้ก็ทำให้ทุกคนเกิดอารมณ์ที่หลากหลายแล้ว
เมื่อหลัวเลี่ยรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงในสายตาของทุกคน เขาก็ถอนหายใจออกมา บางทีตัวตนของ ‘ผู้มีัอยู่ในเป้า’ อาจถูกกำหนดให้กลายเป็หนึ่งในตำนานของดินแดนเหยียนหวง
ในใจของหลัวเลี่ยก็เกิดความรู้สึกภาคภูมิใจและหยิ่งในศักดิ์ศรีเช่นกัน
“ฟู่ว...”
กลิ่นหอมที่เข้มข้นของบุปผางามอาบพิษทำให้หลัวเลี่ยต้องหยุดความคิดทั้งหมดของเขาลง และมองไปยังบุปผางามอาบพิษทั้งสามดอก
ก่อนอื่นเขาต้องจัดการกับบุปผางามอาบพิษทั้งหมดนี้
“เดี๋ยวก่อน”
เมื่อหลัวเลี่ยเริ่มออกแรงดึงคันธนูซวนิ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นขัดเขาอีกครั้ง
“เ้าอยากถามอะไรอีก” หลัวเลี่ยกล่าว
เย่เิหลงยิ้มหวาน และชี้นิ้วเรียวยาวของนางไปที่ด้านข้างของบุปผางามอาบพิษ “เก็บสมบัติก่อน แล้วค่อยจัดการบุปผางามอาบพิษ”
“พูดได้ถูกต้อง”
หลัวเลี่ยยิ้ม เขาลืมไปเสียสนิทว่าบนแท่นบูชานี้มีแต่สมบัติล้ำค่า
จริงอยู่ที่สมบัติมีจำนวนไม่มาก แต่ทุกชิ้นล้วนเป็ของที่ใช้งานได้
เช่นเดียวกับกระดูกอสูรัและหินปราบั ที่เพียงปรากฏขึ้นมาให้เห็น ทุกคนก็สามารถรับรู้ได้ในทันทีว่าสมบัติชนิดนี้เกี่ยวข้องกับการถือกำเนิดของขุนพลเทพอสูร ดังนั้นพวกเขาจึง้าเก็บสมบัติพวกนี้
หลัวเลี่ยก้าวไปข้างหน้า เขาเริ่มเก็บสมบัติเ่าั้ก่อน หลังจากเก็บแล้วเขาก็มองไปรอบๆ เพื่อสำรวจให้แน่ใจว่าไม่มีสมบัติใดหลงเหลืออยู่แล้ว จากนั้นเขาก็เดินไปหยุดอยู่ในบริเวณที่ห่างไปจากบุปผางามอาบพิษประมาณสิบจั้ง
ทุกคนเงียบและมองไปที่หลัวเลี่ย
พวกเขาจะชนะหรือแพ้ล้วนขึ้นอยู่กับหลัวเลี่ย
หากหลัวเลี่ยสามารถกำจัดบุปผางามอาบพิษได้ เขาก็จะกลายเป็วีรบุรุษ ชื่อของเขาจะถูกเล่าขานต่อไปว่า เป็บุคคลในตำนานที่ได้สร้างคุณความดีไว้ในดินแดนเหยียนหวง
คันธนูถูกดึงอย่างช้าๆ
และพลังภายในของหลัวเลี่ยก็ถูกระดมอย่างเต็มที่เช่นกัน
กระแสพลังที่ปั่นป่วนอยู่รอบๆ บุปผางามอาบพิษทั้งสามดอกสามารถป้องกันลูกธนูของหลัวเลี่ยได้ ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าประมาท
่เวลาเหมือนจะหยุดนิ่ง ทุกคนกลั้นหายใจและจ้องมองด้วยดวงตาที่เบิกกว้างอย่างตื่นเต้น
หลัวเลี่ยขยับนิ้วเล็กน้อย เขากำลังยิงลูกธนูออกไป
ทันใดนั้นกระแสพลังที่ปั่นป่วนอยู่รอบๆ บุปผางามอาบพิษพวกนั้นก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น
จู่ๆ บริเวณที่ห่างจากหลัวเลี่ยไปทางด้านขวาประมาณห้าจั้งก็เกิดกระแสพลังผันผวนขึ้น
เนื่องจากทุกคนต่างจับจ้องการกระทำของหลัวเลี่ย ดังนั้นพวกเขาจึงมุ่งความสนใจไปที่การทำลายบุปผางามอาบพิษ เพราะผู้พิทักษ์ยอดเขาแห่งคุกอนธการทั้งสิบตนถูกหลัวเลี่ยกำจัดไปแล้ว นอกจากนี้พวกคนที่อยู่บนแท่นบูชายังคงถูกพลังที่มองไม่เห็นตรึงไว้จนไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้ ดังนั้นจึงไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น
ร่างหนึ่งปรากฏกายขึ้นท่ามกลางกระแสอากาศที่กำลังเกิดการผันผวนนั้น
ทันทีที่ร่างนี้ปรากฏขึ้น มันก็หายตัวมาที่ด้านหลังของหลัวเลี่ยอย่างรวดเร็ว
ในโลกเื้ันี้ ทุกคนต่างถูกจำกัดพลังให้อยู่เพียงระดับสิบของระดับผู้ฝึกตนเท่านั้น มันเป็ไปไม่ได้ที่จะมีผู้ที่มีพลังอยู่ในระดับหยินหยางปรากฏกายขึ้น
แต่ความรวดเร็วในการเคลื่อนไหวของร่างนี้ กลับเร็วจนผู้ฝึกวรยุทธ์ที่มีพลังอยู่ในระดับหยินหยางบางคนยังรู้สึกละอายใจในพลังของตนเองด้วยซ้ำ ร่างนี้เคลื่อนที่เร็วมาก จนหลัวเลี่ยไม่ทันได้เตรียมตัวตั้งรับ และเขาคิดว่าต่อให้เป็ผีเสื้อแห่งรักหรือเย่เิหลงก็คงไม่อาจตั้งรับได้เช่นเดียวกัน ร่างนั้นยกมือขวาของตัวเองขึ้นแล้วฟาดลงมาที่ต้นคอของหลัวเลี่ย
รวดเร็ว! รุนแรง! แม่นยำ!
พลังนั้นรุนแรงถึงขั้นปลิดชีวิตได้
ตอนนั้นผีเสื้อแห่งรัก เย่เิหลง ซ่านเหวินห้าว และคนอื่นๆ ต่างตกตะลึงจนไม่มีแม้แต่เสียงกรีดร้องออกมา
ตอนนี้หลัวเลี่ยได้ฝึกฝนเคล็ดวิชาั์ไปถึงผู้ฝึกตนระดับสิบแล้ว ซึ่งหมายความว่าพลังของเขาอยู่ในจุดสูงสุดของระดับผู้ฝึกตนแล้ว นอกจากนี้หลัวเลี่ยยังมีกระดูกวิถียุทธ์อีก พลังของเขานับว่าไม่มีข้อบกพร่องใดๆ
แต่เขาก็ยังช้ากว่าร่างนั้น
เพราะคนคนนี้เร็วเกินไป เขาเคลื่อนไหวตัวอย่างแ่เบาและเงียบสนิทเกินไป จึงทำให้หลัวเลี่ยไม่อาจรับรู้ถึงไอสังหารของเขาได้
ในตอนที่สันมือของคนคนนี้กำลังจะแตะเข้าที่ต้นคอของหลัวเลี่ย เขาก็เริ่มรู้สึกถึงตัวตนของคนคนนี้ หลัวเลี่ยพยายามก้าวเท้าทั้งสองข้างไปข้างหน้าเพื่อหลีกหนีออกจากสถานการณ์นี้
แต่อีกฝ่ายก็เร็วเกินไป เร็วมาก จนแม้แต่หลัวเลี่ยก็ยังเคลื่อนไหวได้ช้ากว่าเล็กน้อย ทำให้หลัวเลี่ยถูกปลายนิ้วของเขาแตะเข้าที่ด้านหลังเล็กน้อย
ฉิ้ง!
เืกระเซ็นไปทั่ว และยังคงไหลออกมาจากาแที่ยาวประมาณหนึ่งฉื่อบนแผ่นหลังของหลัวเลี่ย
หลัวเลี่ยรอดพ้นความตายมาได้อย่างหวุดหวิด เขายังคงเคลื่อนตัวโดยไม่สนใจความเ็ปบริเวณแผ่นหลัง หลัวเลี่ยดีดตัวลอยขึ้นไปในอากาศ เขายกคันธนูขึ้นมาเตรียมจะยิงไปที่คนคนนั้น
เขาต้องเก็บพลังไว้จัดการบุปผางามอาบพิษด้วย ดังนั้นเขาจึงไม่ปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปมากกว่านี้
“ชิ!”
คนที่โจมตีหลัวเลี่ยสบถออกมาอย่างแ่เบา และเมื่อเขาเห็นว่าหลัวเลี่ยกำลังจะตอบโต้ เขาก็เคลื่อนตัวอีกครั้ง ร่างของเขาหายวับไปต่อหน้าต่อตาหลัวเลี่ย
“เร็วมาก!”
เดิมทีหลัวเลี่ยก็เชี่ยวชาญวิชายุทธ์ที่เกี่ยวข้องกับความเร็วถึงสองวิชา วิชาแรกคือวิชาก้าวั และวิชาที่สองคือวิชาปีก์เลี่ยหยาง
ซึ่งหากนำวิชายุทธ์ทั้งสองวิชามาเปรียบเทียบกันแล้ว แน่นอนว่าวิชาก้าวัย่อมด้อยกว่าวิชาปีก์เลี่ยหยาง และตอนนี้หากหลัวเลี่ยใช้วิชาปี์เลี่ยหยาง เขาก็อาจตามคนคนนั้นทัน แต่หากเขาใช้วิชาปีก์เลี่ยหยางจริงๆ เช่นนั้นคนในตระกูลข่งก็จะรู้ว่าเขาคือ ‘ผู้มีัอยู่ในเป้า’ ดังนั้นเขาจึงไม่อาจใช้วิชายุทธ์นี้ได้
ส่วนวิชาก้าวัก็ถูกคิดค้นขึ้นโดยฉินจื่อและเหยาเฟิง หากเขาใช้วิชานี้เท่ากับว่าเขาเปิดเผยตัวตนของตนเองเช่นกัน
ทั้งหมดนี้หมายความว่า ตอนนี้หลัวเลี่ยเสียเปรียบในด้านความเร็วในการเคลื่อนที่อย่างมาก
แม้ว่าเขาจะเสียเปรียบในด้านความเร็ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเสียเปรียบในด้านอื่นๆ
เมื่อหลัวเลี่ยเห็นการเคลื่อนไหวที่ไม่ธรรมดานั้น เขาก็เลิกยิงธนูทันที
เพราะการใช้ธนูนั้นมีจุดอ่อนในการต่อสู้ระยะประชิด
แม้ว่าหลัวเลี่ยจะไม่ได้ยิงธนู แต่เขาก็จับคันธนูซวนิเหวี่ยงไปรอบๆ กายของเขาแทน
“ข้าจะคอยดูว่าเ้าจะแข็งแกร่งแค่ไหน”
เสียงดูถูกดังขึ้นอีกครั้ง ชายคนนั้นปรากฏตัวขึ้นข้างหลังทางด้านซ้ายของหลัวเลี่ย เขาหลบคันธนูซวนิได้อย่างง่ายดาย จากนั้นก็เตรียมต่อยเข้าที่ใบหน้าของหลัวเลี่ย
ตอนที่เขาเบี่ยงตัวหลบคันธนูทำให้หลัวเลี่ยมีเวลาโจมตีอีกครั้ง หลัวเลี่ยยกมือซ้ายกำหมัดแน่นและพุ่งไปหาคนคนนั้น
หมัดพญาัประจัญบาน!
ขุมพลังทั้งสองพลังต่างพุ่งเข้าหากัน
ตูม!
เหมือนูเาสองลูกมาชนกัน
เมื่อทุกคนรู้ว่าหลัวเลี่ยปลอดภัย ทุกคนทั้งในและนอกแท่นบูชามีความสุขมาก
ไม่ว่าจะเป็การหลบเลี่ยงและลอบโจมตี หรือการเผชิญหน้ากันแบบตัวต่อตัว พวกเขาก็ไม่คิดว่าหลัวเลี่ยผู้ฝึกฝนเคล็ดวิชาั์จะพ่ายแพ้
เพียงแต่ว่าความสุขยังไม่ทันได้เกิดขึ้นก็ดับลงเสียแล้ว
ภาพที่ทุกคนเห็นหลังจากทั้งสองพุ่งเขาหากัน คือหลัวเลี่ยถอยหลังกลับออกมาถึงสิบก้าว เขาใช้เวลาทรงตัวสักพัก ก่อนจะกระอักเืออกมา
ในทางกลับกัน ผู้ที่ลอบโจมตีหลัวเลี่ยนั้นกลับถอยหลังออกไปเพียงห้าถึงหกก้าว และเขายังสามารถทรงตัวได้โดยไม่กระอักเืออกมาอีกด้วย
“เ้าก็ฝึกฝนเคล็ดวิชาั์!” หลัวเลี่ยเอ่ยแ่เบา
“ฮ่าๆ…”
ผู้ลอบโจมตีหัวเราะเสียงเยียบเย็น “ข้ารอมาเป็หนึ่งพันปีแล้ว และในที่สุดก็มีคนขึ้นมาถึงยอดเขาเสียที คิดไม่ถึงว่าเ้าก็เป็คนที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาั์เช่นกัน เพียงแต่ตอนนี้ข้าฝึกฝนมาจนถึงจุดสูงสุดของระดับสิบในระดับผู้ฝึกตนแล้ว แต่เ้ากลับเพิ่งเข้าสู่ระดับสิบ พลังของข้าแข็งแกร่งมาก และเ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าเลยสักนิด”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้