ทว่าหลินชิงเวยกลับไม่ได้มีท่าทางเดือดเนื้อร้อนใจยังคงมองเซียวเยี่ยนด้วยใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม กลับเป็องครักษ์ที่มีสีหน้าเผือดขาวอยู่บ้างนางกล่าวว่า “เซ่อเจิ้งอ๋องก็คือเซ่อเจิ้งอ๋อง เมื่อต้องเผชิญหน้ากับอันตรายกลับมิเกรงกลัวทำให้ข้าเลื่อมใสยิ่งนัก”
เซียวเยี่ยนหันไปกล่าวกับองครักษ์ “ถอยไปก่อน”
องครักษ์เก็บกระบี่ของตนกลับเข้าไปในฝักถอยหลังออกไปหนึ่งก้าวด้วยความระมัดระวังเมื่องูเขียวเ่าั้เห็นว่าไม่มีอันตรายแล้วจึงพากันเลื้อยไปที่อื่นเสียงส่งสารดังฟ่อๆ ของงูจึงค่อยๆ เลือนหายไป
ดวงตาแน่วนิ่งไม่ไหวติงของเซียวเยี่ยนเลื่อนไปหยุดอยู่บนร่างของหลินชิงเวย“เวลานี้เ้า้าจะเจรจาเื่นกพิราบกับเปิ่นหวางใช่หรือไม่เ้าคิดจะเจรจาอย่างไร?”
หลินชิงเวยพยายามคิดถึงรสชาติอยู่อึดใจหนึ่ง เมื่อคิดสะระตะแล้วจึงกล่าวว่า“รสชาติไม่เลวเลยทีเดียว” เซียวเยี่ยนหางตากระตุกขึ้นครั้งหนึ่ง นางกล่าวอีกว่า“แต่ต้องยิงนกพิราบวันละหนึ่งตัวไหนเลยจะพอกินเล่า” ใบหน้าราวเ็ากับน้ำแข็งนั้นไม่เคยปรากฏความรู้สึกอื่นใดหรือเป็เพราะมีความลับมากมายเกินไปจึงหวั่นเกรงว่าผู้อื่นจะจับพิรุธได้? หากอยู่ในยุคสมัยปัจจุบันก็คือใบหน้าที่เป็อัมพาตเท่านั้น
เซียวเยี่ยนกล่าว “นั่นเป็พิราบสื่อสารที่เปิ่นหวางทุ่มเทจิตใจฝึกฝนออกมามีทั้งหมดสามสิบหกตัว เวลานี้ถูกเ้ากินเหลือเพียงหกตัว นี่ก็คือคุณธรรมในใจของเ้า?”
หลินชิงเวยมีท่าทีตื่นตะลึง ราวกับเป็ผู้ไม่ได้รับความเป็ธรรม“มิน่าเล่า แม้นกพิราบเ่าั้จะผอม แต่เนื้อของมันกลับมีรสชาติอันโอชะที่แท้เป็พิราบสื่อสาร พวกมันบินผ่านหลังคาเรือนของข้าในเวลาพลบค่ำทุกวันช่างทำให้ผู้คนเกิดความละโมบ”
“เช่นนั้นเ้าคิดจะชดใช้อย่างไร?”
หลินชิงเวยกล่าว “ท่านอ๋องปรารถนาให้ข้าชดเชยอย่างไรเล่า?”นางพูดแล้วก็ยื่นปลายนิ้วออกไปหมายจะแตะไหล่ของเซียวเยี่ยนแต่จนใจที่เขาสูงเหลือเกิน นางจำเป็ต้องเขย่งปลายเท้าจึงจะแตะไหล่ของเขาได้ร่างของนางค่อยๆ เข้าใกล้เขา ทำทีเหมือนจะแตะต้องเขาและพูดว่า“ไม่สู้ท่านอ๋องอนุญาตให้ข้าออกจากตำหนักเย็นก่อน แล้วข้าค่อยชดเชยให้ท่านอ๋องอย่างดี?”
เซียวเยี่ยนเห็นรอยยิ้มบนใบหน้านาง เห็นท่าทีเป็ธรรมชาติของนางดูอย่างไรก็ไม่เหมือนคุณหนูสูงศักดิ์ในวัยสิบหกปีที่ถูกเลี้ยงอยู่ในกรอบของกุลสตรีที่ดี
องครักษ์คุ้มกันเ้านายอย่างจงรักภักดี จึงกล่าวขึ้นทันทีว่า“หลินซื่อบังอาจนัก ห้ามเสียมารยาทต่อหน้าเซ่อเจิ้งอ๋อง!”
สตรีชื่อเสียงด่างพร้อยคนหนึ่ง ถึงกับกล้าเกี้ยวเซ่อเจิ้งอ๋องจะไม่สมควรตายได้อย่างไร
สายตาของหลินชิงเวยเยียบเย็นขณะกล่าวว่า “หากสายตาของเ้ายังพอจะมีแววอยู่บ้างก็สมควรจะหัดเรียนรู้เช่นซินหรูของข้ารู้จักถอยออกไปด้วยตนเอง” นางก้าวถอยหลังไปสองก้าว พลางละมือออกจากไหล่ของเซียวเยี่ยน“หาก้าให้ชดใช้จริงๆ ข้าก็ยินดีชดใช้ แต่...” นางหันข้างกลับมามองเซียวเยี่ยน“ท่านอ๋องต้องพิสูจน์ให้เห็นเสียก่อนว่านกพิราบเหล่านี้เป็ของท่านอ๋องจริงๆ”
“เ้า...” องครักษ์โมโหจนพูดไม่ออก
นางกินสิ่งของของผู้อื่นแล้ว ยังกล้าที่จะให้ผู้อื่นพิสูจน์ความจริงอย่างมีเหตุผลอีก
หลินชิงเวยเอียงคอหรี่ตามองเซียวเยี่ยนและถามอีกว่า“บนตัวของนกพิราบเ่าั้ ได้ประทับตราชื่อของท่านอ๋องไว้หรือไม่?”
เซียวเยี่ยนมีใบหน้าเ็ายิ่งยวด “นี่เ้ากำลังจะสร้างความวุ่นวาย”
หลินชิงเวยยอบกายลง “ท่านอ๋องอย่าได้เห็นเป็อื่นนี่เป็เพียงการร้องขอความจริงเท่านั้น”
ต่อมาเซียวเยี่ยนยื่นปลายนิ้วเข้าไปในปากแล้วบีบเพื่อผิวปากครั้งหนึ่งเพียงไม่นาน นกพิราบที่เหลืออยู่เพียงหกตัวนั้นก็บินกลับมาอย่างเป็ระเบียบมาหยุดอยู่ในเรือนของหลินชิงเวย ได้ยินองครักษ์เอ่ยขึ้นว่า “พวกมันเชื่อฟังเพียงคำสั่งของท่านอ๋องเท่านั้นครานี้เ้าคงจะเชื่อได้เสียทีกระมัง”
รอยยิ้มในดวงตาของหลินชิงเวยกดลึกขึ้นอีก นางหันไปกล่าวกับเซียวเยี่ยน“ข้าคิดว่าท่านน่ารักขึ้นกว่าเดิมอีก”
เซียวเยี่ยนรู้สึกตัวเนิ่นนานแล้วว่าเขากำลังถูกหลินชิงเวยจูงจมูกแต่เขาอยากจะดูว่า นาง้าทำอะไรกันแน่
เซียวเยี่ยนถาม “เวลานี้เ้าเชื่อแล้วใช่หรือไม่?”
หลินชิงเวยกล่าว “ข้ารู้แต่ว่ามีอาชีพอย่างหนึ่งเรียกว่าครูฝึกสัตว์บรรดาสัตว์ต่างๆ จะมีปฏิกิริยาตอบโต้กับสัญญาณที่ครูฝึกสั่งการ”นางหลุบตาลงมองพิราบสื่อสารที่อยู่ในเรือนตนอย่างมิเกรงกลัวอันตราย“เหมือนเช่นนี้” จากนั้นนางเองยกมือขึ้นบีบปากเพื่อผิวปากขึ้นครั้งหนึ่ง