ศิษย์พี่รองเถี่ยหลิวหยุนยืนเป็ร่มโพธิ์ร่มไทรอยู่ข้างตัวหวังเค่อ ต่อให้มู่หรงลวี่กวงคิดเอาเื่หวังเค่อ เถี่ยหลิวหยุนก็ไม่ยอมปล่อยให้เกิดขึ้นแน่ หวังเค่อยังพบอีกว่าอำนาจชื่อเสียงของเถี่ยหลิวหยุนไม่ได้น้อยหน้ามู่หรงลวี่กวงเลยด้วยซ้ำ!
“มู่หรงลวี่กวง เ้าใจคอคับแคบเกินไปแล้วกระมัง เ้ายังหึงหวงริษยาหวังเค่อไม่จบไม่สิ้น? องค์หญิงโยวเยว่ถูกบิดานางพาตัวไปแล้ว ครึ่งเดือนมานี้หวังเค่อได้แต่นั่งหน้าม่อยอกตรมมาโดยตลอด เ้าไม่เห็นเลยรึไง?” จางเจิ้งเต้าเองก็พูดขึ้นบ้าง
“ฮึ่ม ข้ามู่หรงลวี่กวงคือคนจำพวกอ้างงานหลวงบังหน้ามาหาเื่ส่วนตัวหรือยังไง?” มู่หรงลวี่กวงทำตาเขียวปั๊ด
“แล้วไม่ใช่รึ?” หวังเค่อกับจางเจิ้งเต้าเผยสีหน้าไม่ยอมเชื่อออกมาดุจเดียวกัน
สีหน้ามู่หรงลวี่กวงเปลี่ยนเป็เ็า “หวังเค่อ อย่ามาตีหน้าซื่อตบตาข้าจะดีกว่า ที่ข้ามาวันนี้เพราะ้าให้เ้ามอบคำอธิบายถึงสายสัมพันธ์ระหว่างเ้ากับลัทธิมาร!”
“ตัวข้ากับลัทธิมาร?” หัวคิ้วของหวังเค่อเริ่มมุ่นเข้าหากัน
“ถูกแล้ว ท่านอาจารย์ลากมารฝูงนั้นตายตกตามกันไปตอนอยู่ที่วังหลวงต้าชิง แต่ทำไมเ้ากลับช่วยมารพวกนั้น ปลิดชีพท่านอาจารย์ข้า?” มู่หรงลวี่กวงถามเสียงเย็น
หวังเค่อยังไม่ทันเปิดปากเถี่ยหลิวหยุนทางด้านข้างก็ถลึงตามาก่อนแล้ว “มู่หรงลวี่กวง เ้าอย่ามาให้ร้ายกันส่งเดชแบบนี้นะ เ้าตำหนักเนี่ย ไม่สิ เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยยังมีชีวิตอยู่! ข้าเห็นมากับตา!”
“ถูกแล้ว!” สานุศิษย์ที่รอดกลับมาพร้อมศิษย์พี่รองเองก็เริ่มตาขุ่นตาเขียว
“ไหนจะมีเื่ที่เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยผันตัวไปเป็คนของลัทธิมารนั่นอีก แทนที่เ้าจะไปซักไซ้ไล่เลียงเอากับเนี่ยเมี่ยเจวี๋ย แต่เ้ากลับมาจี้ถามหวังเค่อทำอะไร?” เถี่ยหลิวหยุนตวาด
“อะไรนะ?” ศิษย์พรรคเทพหมาป่า์รอบๆ จับกลุ่มกระซิบกระซาบกันทันที ทั้งหมดต่างเผยสีหน้าไม่อยากเชื่อ
“เ้าผายลมสิไม่ว่า!” มู่หรงลวี่กวงจ้องอีกฝ่ายเขม็ง
“พวกเราเองก็เห็นมากับตา ไม่อาจเป็เื่ลวงโลกไปได้! ยิ่งไปกว่านั้น ระหว่างนี้คงมีข่าวแพร่ไปทั่วทุกสำนักเซียนแล้ว พวกเ้าหูหนวกตาบอดกันหมดหรือไง? เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยคือเ้าตำหนักห้าของลัทธิมาร! ซ้ำร้ายยังเป็ผู้จัดงานชุมนุมมารปรโลกอีกด้วย!” เถี่ยหลิวหยุนตะเบ็งเสียง
“นั่นเป็ท่านอาจารย์ใช้ร่างเพาะเลี้ยงมาร ร่วมตายตกไปพร้อมกับพลพรรคมารที่แสนชั่วร้าย เถี่ยหลิวหยุน เ้ากล้าให้ร้ายอาจารย์ข้าแบบนี้ก็อย่าหาว่ากระบี่ข้าไร้ปรานีเลย!” มู่หรงลวี่กวงฉวยกระบี่ยาวไว้ในมือพร้อมเอ่ยเสียงเยียบเย็นบาดจิต
“ก็มาซี่! ผันตัวเป็มารก็คือผันตัวเป็มาร พวกเราเห็นมากับตาตัวเองแล้วยังจะเป็เื่แหกตาไปได้ยังไง?” เถี่ยหลิวหยุนตะคอกกลับเสียงเย็นไม่แพ้กัน
จู่ๆ ศิษย์พี่ใหญ่กับศิษย์พี่รองแห่งพรรคเทพหมาป่า์ก็หันคมอาวุธเข้าหากัน ทำท่าเหมือนจะเปิดศึกอยู่รอมร่อ
“ท่านทั้งสอง ท่านทั้งสอง! สงบสติอารมณ์กันก่อนเถิด อย่างน้อยก็เห็นแก่หน้าข้า ว่าอย่างไร?” หวังเค่อเข้ามาไกล่เกลี่ย
จางเจิ้งเต้าด้านข้างทำหน้าพิลึก เ้าหวังเค่อยังมีหน้ามาไกล่เกลี่ยอีก? พวกมันดูเหมือนจะมาหาเื่เ้าไม่ใช่รึ แล้วเ้าจะมาไกล่เกลี่ยผายลมอันใด?
“น้องหวัง ใช่ว่าข้าเป็คนชอบพูดจาขวานผ่าซากไม่ไว้ไมตรีเสียที่ไหน ศิษย์พรรคเทพหมาป่า์ล้วนทราบกันดีทุกคนว่าข้าเป็คนยังไง ข้าเคยเดือดเป็ฟืนเป็ไฟเมื่อไหร่บ้าง? แต่ครั้งนี้มู่หรงลวี่กวงทำเกินไปจริงๆ มันถึงกับให้ร้ายเ้าต่อหน้าทุกคน!” เถี่ยหลิวหยุนดาลเดือดสุดขีด
“ข้าไปให้ร้ายมันตอนไหน? เป็คนของตำหนักหมาป่าประจิมต่างหากที่สืบพบเลยให้ข้ามาสืบดูให้แน่ชัด!” มู่หรงลวี่กวงเอ่ยเสียงเข้ม
“อ้อ หรือพูดอีกอย่างก็คือคนของตำหนักหมาป่าประจิมสงสัยข้าก็เลยใช้ศิษย์พี่ใหญ่เป็หอกหน้า ยืมมีดเอาชีวิตคน! ผลก็คือศิษย์พี่ใหญ่ยังไม่ทันจะได้เริ่ม ศิษย์พี่รองก็ช่วยข้าห้ามทัพไว้อย่างหวุดหวิด ที่แท้ เื่ราวทั้งหมดล้วนสืบเนื่องมาจากการยุแยงตะแคงรั่วของพวกตำหนักหมาป่าประจิมนี่เอง?” หวังเค่อวิเคราะห์ออกมาเป็ฉากๆ
“หะ?” สีหน้าของศิษย์พรรคเทพหมาป่า์รอบด้านเปลี่ยนไป
ครั้นแล้วสายตาของทุกคนก็เลื่อนไปรวมอยู่ทางศิษย์ชุดขาวที่อยู่หลังมู่หรงลวี่กวง
“อ๋า? ไม่เกี่ยวกับข้า ข้าแค่เชิญตัวศิษย์พี่ใหญ่มายืนยันอะไรบางอย่างเท่านั้น ข้านึกไม่ถึงว่า...!” ศิษย์ชุดขาวผู้นั้นเผยท่าทีลนลานออกมาทันที
“ไป๋จิน[1] เ้าไม่ต้องไปกลัว พูดความในใจออกมาได้เลย! พูดออกมาให้หมด!” มู่หรงลวี่กวงสั่งเสียงดุ
“ไป๋จิน? เ้าคือคนเก่าคนแก่ของตำหนักหมาป่าประจิม จะพูดอะไรก็ต้องรับผลที่ตามมาให้ได้ด้วย!” เถี่ยหลิวหยุนเองก็เอ่ยเสียงเย็น
“ข้า? นี่เป็หน้าที่ข้า ข้ามีเหตุผลรองรับข้อสงสัยนี้!” ไป๋จินกลับกลายเป็ใจถึงขึ้นมากะทันหัน
“อ้อ?” ทุกสายตารวมอยู่ทางไป๋จิน
“ตำหนักหมาป่าประจิม? ศิษย์พี่รอง หน้าที่ของตำหนักหมาป่าประจิมคืออะไร?” หวังเค่อถามอย่างใคร่รู้
“พรรคเทพหมาป่า์ของเรามีสี่ตำหนักใหญ่ แบ่งหน้าที่กันรับผิดชอบ ตำหนักหมาป่าบูรพาหลักๆ แล้วรับหน้าที่พิฆาตอสูรปะามาร พิทักษ์พรรคเทพหมาป่า์! ปกป้องภายในรับศึกภายนอกเป็สำคัญ!” เถี่ยหลิวหยุนเปิดปากอธิบาย
“โฮ่?”
“ข้าคือหัวหน้าตำหนักหมาป่าทักษิณ หน้าที่หลักของตำหนักหมาป่าทักษิณคือการเกณฑ์ศิษย์เข้าพรรค! ศิษย์ส่วนใหญ่ของพรรคเทพหมาป่า์แทบทั้งหมดล้วนมาจากการทาบทามของตำหนักหมาป่าทักษิณเรา!” เถี่ยหลิวหยุนอธิบายสืบต่อ
“ถึงว่าสิ!” หวังเค่อพยักหน้า
บารมีของมู่หรงลวี่กวงมาจากการศึก! สืบเนื่องจากว่าการทำศึกล้างบางหมู่มารดุดันเหี้ยมหาญเป็ที่สุด ดังนั้นจึงชนะใจศิษย์ส่วนใหญ่ของพรรคเทพหมาป่า์
บารมีของเถี่ยหลิวหยุนคือบุญคุณ! คนส่วนใหญ่ผ่านเข้าสู่สำนักเซียนภายใต้การทาบทามจากเถี่ยหลิวหยุน ฉะนั้นแล้วจะไม่ให้ทุกคนบังเกิดความซาบซึ้งตันใจต่อตำหนักหมาป่าทักษิณได้หรือ? บุญคุณจากการถูกชักชวนเข้าสำนักเซียนนี้เป็ตัวกำหนดที่ทำให้หัวหน้าตำหนักหมาป่าทักษิณอย่างเถี่ยหลิวหยุนได้รับคะแนนสนับสนุนจากฝูงชน!
“ส่วนตำหนักหมาป่าประจิมรับผิดชอบเื่กฎเกณฑ์! มีหน้าที่ทำการไต่สวน! ล้วงข้อมูลข่าวสาร! ภายนอกสืบเสาะจับตาดูโลกหล้า ภายในสอดส่องดูแลพรรคสำนัก! และไป๋จินผู้นี้ก็คือผู้ที่รับผิดชอบด้านการไต่สวน!” เถี่ยหลิวหยุนว่า
หวังเค่อรับฟังจนแจ่มกระจ่าง ตำหนักหมาป่าประจิมเน้นทำเื่สกปรกสินะ? ไม่อาจให้ใครรู้เห็น!
“ไป๋จิน เ้ารีบพูดได้แล้ว! ตำหนักหมาป่าบูรพาข้ามีหน้าที่เฝ้าดูแลพรรคเทพหมาป่า์ให้ดี หากมีคนจากลัทธิมารแทรกซึมเข้ามาข้าจะช่วยเ้าตัดหนามร้ายนั้นเอง!” มู่หรงลวี่กวงให้วาจาอย่างขึงขัง
“ไป๋จิน เ้าต้องพูดให้ชัดเจน! หากเ้ากล้าให้ร้ายหวังเค่อก็อย่าหาว่าข้าไม่ไว้หน้าตำหนักหมาป่าประจิมเ้า!” เถี่ยหลิวหยุนเอ่ยเสียงเย็น
ทุกคนมองมาทางไป๋จินเป็ตาเดียว
ไป๋จินเผยสีหน้าขื่นขมระทมใจ “ทราบ เมื่อครึ่งเดือนก่อน ท่านประมุขนำนักโทษฝ่ายอธรรมกลับมาคนหนึ่งนามว่าถงอันอัน และพวกเราก็ทำการไต่สวนถงอันอันผู้นี้แล้ว! มารร้ายถงอันอันรับสารภาพว่าหวังเค่อเป็ใจกับพวกมาร เรียกกันเป็พี่น้อง กระทั่งว่าครั้งหนึ่งเคยช่วยชีวิตราชบุตรศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิมารไว้! ดังนั้นพวกเราก็เลยแคลงใจว่าหวังเค่อกลับกลายเป็มารไปแล้วหรือไม่! จากนั้นก็ลอบแฝงตัวอยู่ในพรรคเทพหมาป่า์เรา!”
“เฮือก?” ศิษย์พรรคเทพหมาป่า์ทุกคนผงะไป ทุกสายตามุ่งตรงมาทางหวังเค่อ
“ฮ่าฮ่าฮ่า เหลวไหลทั้งเพ หวังเค่อน่ะหรือไส้ศึกจากลัทธิมาร? แค่คำพูดของมารตัวเดียวเ้าก็เชื่อซะแล้ว? หวังเค่อไปที่นั่นเพื่อช่วยชีวิตพวกเราต่างหาก!” เถี่ยหลิวหยุนเถียงกลับเสียงแข็ง
“เื่นี้ มารร้ายถงอันอันไม่เคยเอ่ยถึง!” ไป๋จินส่ายหน้า
“ข้าพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้น้องหวังได้! เพราะตลอด่เวลานั้นข้าพบเห็นน้องหวังทุกวี่วัน! อย่าบอกนะว่าตำหนักหมาป่าประจิมพลอยสงสัยข้าไปด้วย?” เถี่ยหลิวหยุนเอ่ยเสียงเย็น
“ตอนที่ศิษย์พี่รองเพิ่งกลับมาได้ไม่นานตำหนักหมาป่าประจิมเราได้สืบสอบมาเป็ที่เรียบร้อย ศิษย์พี่รองไม่ใช่ผู้ต้องสงสัย!” ไป๋จินส่ายหน้า
“งั้นเ้าอาศัยอะไรถึงได้ไปสงสัยน้องหวัง?” เถี่ยหลิวหยุนถามเสียงเย็น
“พวกเราสงสัยว่าการที่พวกศิษย์พี่รองกลับมาได้ในครั้งนี้เป็เพราะกลอุบายของลัทธิมารที่้าจะปิดซ่อนฐานะหวังเค่อไว้!” ไป๋จินเอ่ยเสียงขรึม
“ผายลม!” เถี่ยหลิวหยุนถลึงตาใส่ “เ้าสงสัยสายตาข้า?”
“ไม่ มันไม่เพียงแต่สงสัยสายตาของเถี่ยหลิวหยุน แต่ยังสงสัยสายตาของท่านประมุขด้วย หวังเค่อคือคนที่ท่านประมุขช่วยชีวิตกลับมาด้วยตัวเอง ท่านประมุขไม่อาจแยกแยะธรรมะอธรรม แต่เ้ากลับมองออก?” จางเจิ้งเต้าทางด้านข้างยิ้มเย็นกล่าวคำ
จริงดังคาด ทันทีที่จางเจิ้งเต้าเอ่ยวาจานี้ แววตาของทุกคนก็เปลี่ยนไป ท่านประมุขไม่อาจแยกแยะว่าหวังเค่อคือมารร้ายหรือไม่? ล้อกันเล่นหรือเปล่า?
“ถงอันอันคงจะเคยบอกเ้าด้วยสินะว่าที่จริงแล้วข้าคือนายท้ายของลัทธิมารน่ะ?” หวังเค่อยิ้มกล่าว
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!” ศิษย์พรรคเทพหมาป่า์พากันหัวร่องอหาย
เื่ราวค่อยๆ กระจ่างชัดขึ้นมา เดิมทีตำหนักหมาป่าประจิมก็ไม่ได้รับความนิยมอยู่แล้ว ตอนนี้จึงไม่มีใครเชื่อว่าหวังเค่อเป็มารร้าย เพียงนึกว่าหวังเค่อแค่กำลังอำเล่นเท่านั้น
แต่ไป๋จินยังพยายามอย่างไม่ยอมรามือง่ายๆ “ขออภัย หน้าที่ของตำหนักหมาป่าประจิมเราคือการลบล้างทุกข้อสงสัยให้หมดจด เพราะงั้นคงต้องขอล่วงเกินศิษย์น้องหวังเค่อแล้ว! ข้าไม่สนว่าท่านประมุขจะว่ายังไง แต่เื่ที่ท่านไปคลุกคลีตีโมงกับพวกมารตลอด่เวลานี้ไม่อาจหาคำอธิบายมาหักล้างได้จริงๆ หากไม่ใช่ศิษย์ลัทธิมารแล้วจะคลุกคลีอยู่กับพวกมารได้อย่างไร? พวกมารปะปนเข้าสำนักฝ่ายธรรมะอยู่บ่อยครั้ง แต่ศิษย์ฝ่ายธรรมะปะปนเข้าฝ่ายอธรรม? ข้าไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน ดังนั้นจึงต้องรบกวนท่านช่วยพิสูจน์ตัวเองด้วย!”
“ตำหนักหมาป่าประจิมของพวกเ้าเสียสติกันไปแล้วรึ แม้แต่คำของท่านประมุขก็ยังกล้าสงสัย?” เถี่ยหลิวหยุนจ้องอีกฝ่ายตาเขม็ง
“เถี่ยหลิวหยุน ตำหนักหมาป่าประจิมยังมีหน้าที่ต้องปฏิบัติ! พวกมันสงสัยหวังเค่อแล้วผิดตรงไหน? เป็เ้ามากกว่ามั้งที่ตั้งใจจะตีรวนกฎระเบียบของพรรค?” มู่หรงลวี่กวงจ้องตอบ
ในขณะที่เถี่ยหลิวหยุนกับมู่หรงลวี่กวงคอยแต่จะเอาชนะคะคานกัน หวังเค่อทางด้านข้างกลับมุ่นคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย
เื่นี้เป็เพราะว่าตำหนักหมาป่าประจิมอุทิศตนในหน้าที่การงานหรือว่ามีคนตั้งใจจะวางอุบายขัดขาตนอีกแล้ว?
“ศิษย์พี่รองสงบจิตสงบใจก่อน!” หวังเค่อรีบเข้ามาปรามเถี่ยหลิวหยุน
“ศิษย์น้องเ้าไม่ต้องห่วง เ้าเพิ่งจะเข้าร่วมพรรคได้ไม่นานก็เลยไม่รู้ว่าตลอดหลายปีมานี้ตำหนักหมาป่าประจิมสร้างความยุ่งยากให้ศิษย์น้องทั้งหลายมามากน้อยเพียงไร มาตอนนี้พวกมันยังริอ่านเอาไม้ฟาดหัวเ้าอีก? มีข้าอยู่ที่นี่ ใครก็ไม่อาจรังแกเ้าได้!” เถี่ยหลิวหยุนเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ
“ขอบคุณศิษย์พี่รอง!” หวังเค่อผงกศีรษะอย่างซาบซึ้ง
จากนั้นก็หันหน้าไปทางไป๋จิน “ท่านนี้คือศิษย์พี่จากตำหนักหมาป่าประจิมสินะ? ฮี่ฮี่ ไม่ทราบว่าท่านตั้งใจจะให้ข้าพิสูจน์ตัวเองอย่างไรดี? ให้ข้าขับดันสัจปราณออกมาให้พวกท่านดูว่ามีไอมารอยู่หรือไม่ดีไหม?”
ไป๋จินส่ายหน้า “การแฝงตัวของพวกซุนซงเมื่อไม่นานมานี้เป็เหมือนระฆังเตือนใจพวกเราว่ามารพวกนี้มากด้วยกลเม็ด หากพวกมันมีของวิเศษอำพรางหรือได้รับการลงอาคมจากตัวมารอริยะเองย่อมต้องปกปิดไอมารเอาไว้ได้!”
“งั้นจะให้ข้าทำยังไง?” หวังเค่อถามเสียงขรึม
“พรรคเทพหมาป่า์เรามีของวิเศษประจำตำหนักที่สามารถตรวจจับไอมารที่ซ่อนเร้นอยู่ได้! ของวิเศษประจำสี่ตำหนักต่างก็อยู่กับตัวเ้าตำหนักทั้งสี่ ลำพังข้าไม่อาจได้มา แต่ของวิเศษตำหนักหมาป่าบูรพายังอยู่ที่ตำหนักหมาป่าบูรพา ดังนั้นข้าก็เลยเชิญศิษย์พี่ใหญ่มา ให้เขานำ ‘กระบี่ไอธรรมะ’ จากตำหนักหมาป่าบูรพามาด้วย เพราะฉะนั้นแล้วขอศิษย์น้องหวังช่วยพิสูจน์ความบริสุทธิ์ด้วยเถิด!” ไป๋จินเอ่ยด้วยท่าทีขึงขังจริงจัง
“กระบี่ไอธรรมะ?” หวังเค่อถามอย่างสงสัยใคร่รู้
“สี่เ้าตำหนักใหญ่ต่างมีของวิเศษอันเป็สัญลักษณ์แทนตัว และของตำหนักหมาป่าบูรพาก็คือกระบี่ไอธรรมะที่อยู่ในการของเ้าตำหนักหมาป่าบูรพา บางทีเนี่ยเมี่ยเจวี๋ยอาจตระหนักว่านางได้เข้าสู่วิถีมารแต่ด้วยใจใฝ่ธรรมก็เลยทิ้งกระบี่ไอธรรมะไว้ที่ตำหนักหมาป่าบูรพาก่อนจากไป!” เถี่ยหลิวหยุนอธิบายอย่างเป็การเป็งาน
ตอนนั้นเองมู่หรงลวี่กวงนำหีบหยกออกมาใบหนึ่ง ในหีบวางไว้ด้วยกระบี่ยาวสีขาวเงินที่มีไอสีขาวดุจน้ำนมแผ่ซ่านอยู่!
“นี่ก็คือกระบี่ไอธรรมะ หวังเค่อ จงถือกระบี่ไอธรรมะเล่มนี้ไว้ หากเ้าซุกงำไอมารกระบี่เล่มนี้จะเป็เครื่องพิสูจน์เบื้องลึกเื้ัทั้งหมดเอง! เชิญ!” มู่หรงลวี่กวงเอ่ยเสียงต่ำ
แม้จะมีหลายคนที่เชื่อในความบริสุทธิ์ของหวังเค่อ แต่ตำหนักหมาป่าประจิมล้วนปฏิบัติการอย่างจริงจังมาโดยตลอด จึงไม่มีใครชี้นิ้ววิพากษ์วิจารณ์
“กระบี่ไอธรรมะ?” หวังเค่อหรี่ตา
“มิผิด กระบี่ไอธรรมะ! ตรวจจับสัจปราณของเ้า! เมื่อตรวจแล้วผลลัพธ์ย่อมเป็ที่กระจ่างชัด!” มู่หรงลวี่กวงเอ่ยด้วยน้ำเสียงดุดันบีบคั้นคน
“หากเมื่อกี้ข้าฟังไม่ผิด กระบี่ไอธรรมะเป็เครื่องพิสูจน์ฐานะของเ้าตำหนักหมาป่าบูรพา และก็มีแต่เ้าตำหนักหมาป่าบูรพาเท่านั้นที่ใช้ได้? ถ้าอย่างนั้นมู่หรงลวี่กวงเ้านำกระบี่ไอธรรมะเล่มนี้มาได้อย่างไร?” หวังเค่อถามอย่างอยากรู้อยากเห็น
“หืม?” ทุกคนหน้าเปลี่ยนสี
มู่หรงลวี่กวงเปลี่ยนสีหน้าเป็ไม่น่าดู อย่างไรเสียสิ่งที่หวังเค่อพูดมาเป็ความจริง แต่ตำหนักหมาป่าบูรพาในยามนี้เป็เหมือนัไร้เศียร เพราะงั้นมู่หรงลวี่กวงจึงกลายเป็ม้าตัวนำ[2] ตัวมู่หรงลวี่กวงเองก็เคยหยิบจับกระบี่ไอธรรมะมาก่อน ดังนั้นจึงไม่ได้คิดหน้าคิดหลังให้ถี่ถ้วน แต่ถ้าว่ากันตามหลักเหตุผลแล้วนี่ก็เป็เื่ไม่เหมาะสม! เพราะมันไม่ใช่เ้าตำหนักหมาป่าบูรพา มันไม่มีคุณสมบัติ!
“หวังเค่อ เ้าอย่ามาเลี่ยงประเด็น หากเ้าไม่มีชนักติดหลังเพียงแค่ทดสอบดูก็จะรู้เอง แต่นี่เ้ากลับหาข้ออ้างสารพัดสารพันมาบ่ายเบี่ยง ใช่กำลังกินปูนร้อนท้องอยู่หรือไม่?” ไป๋จินถามเสียงต่ำลึก
“มิผิด หวังเค่อ จงใช้กระบี่ไอธรรมะพิสูจน์ตัวเองซะ!” มู่หรงลวี่กวงออกปากมาดขรึม
“ทั้งที่พวกเ้าเป็คนแหกกฎ แต่กลับจะให้ข้าปฏิบัติตามกฎเนี่ยนะ? นี่มันตรรกะแบบไหนกัน? ข้าไม่เอาด้วย!” หวังเค่อตอบเสียงขรึมไม่แพ้กัน
“หวังเค่อ ถ้าเ้าไม่ยอมทดสอบงั้นก็แปลว่าเ้าคือไส้ศึกที่ลัทธิมารส่งตัวมา!” มู่หรงลวี่กวงถลึงตาขู่
“สาเหตุที่ข้าไม่เอาด้วยเป็เพราะว่าเ้าได้กระบี่ไอธรรมะมาแบบผิดๆ นี่มีอันใดเกี่ยวกับไส้ศึกลัทธิมาร? มู่หรงลวี่กวง หากเ้าเป็เ้าตำหนักหมาป่าบูรพาจริงเ้าย่อมมีสิทธิ์ใช้กระบี่ไอธรรมะมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของข้า! แต่เ้าไม่ใช่นี่ เ้ามีคุณสมบัติอะไร?” หวังเค่อส่ายหน้าปฏิเสธหัวชนฝา
“เ้า!” มู่หรงลวี่กวงหางตาแทบปริ
ศิษย์ที่เพิ่งถือหางหวังเค่อเริ่มเผยสีหน้าเคลือบแคลงขึ้นมา หวังเค่อทำเช่นนี้แปลว่าอะไร? หรือมันจะเป็ไส้ศึกจริงๆ?
“หวังเค่อ เ้าแค่ลองทดสอบดูก็จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองได้แล้วนะ? ทำไมเ้าถึงไม่ยินยอมล่ะ? ขืนทำแบบนี้ต่อจะถูกเข้าใจผิดเอาง่ายๆ นะ!” เถี่ยหลิวหยุนกังวล
“ไม่เลย ตอนแรกข้าก็อยู่ของข้าดีๆ เป็พวกมันที่มาแกว่งเท้าหาเสี้ยนกันเอง! หากวันนี้ข้ายอมทำการทดสอบนั่นไม่แปลว่าข้ายอมให้คนมาจูงจมูกรังแกเอาง่ายๆ พอดีรึ? วันนี้พวกมันอาจให้ข้าทดสอบกระบี่ไอธรรมะ แต่วันหน้าอาจให้ข้าทดสอบกระบี่ปฐมธรรมะก็ได้นี่? ข้ามีเวลาเล่นกับพวกมันขนาดนั้นเลย?” หวังเค่ออธิบาย
เถี่ยหลิวหยุนน้ำท่วมปาก ไม่รู้ว่าจะเกลี้ยกล่อมอีกฝ่ายอย่างไรดี
“ความหมายของหวังเค่อคือหากพวกเ้าไม่ยอมยื่นหมูยื่นแมวมอบผลประโยชน์มาทำไมมันถึงต้องยอมเสียเวลากับพวกเ้าด้วย? ในเวลาหนึ่งก้านธูปหวังเค่อสามารถทำเงินได้เป็กอบเป็กำ ขืนมัวแต่บ้าจี้อยู่เล่นเป็เพื่อนพวกเ้าทุกเช้าค่ำมีหวังได้ขาดทุนป่นปี้กันพอดี!” จางเจิ้งเต้าทางด้านข้างโพล่งขึ้นมา
หวังเค่อเหลือบมองอีกฝ่าย ยังคงเป็จางเจิ้งเต้าที่รู้ใจตนที่สุด!
“แค่จะทดสอบความบริสุทธิ์ของเ้ายังต้องส่งมอบผลประโยชน์ให้ด้วย?” มู่หรงลวี่กวงหน้าแข็งค้าง
“จะมาเรียกว่าทดสอบความบริสุทธิ์ได้ยังไง? ในเมื่อหวังเค่อของเราบริสุทธิ์มาั้แ่แรก เป็พวกเ้าต่างหากที่มาสาดน้ำครำใส่เขา แต่พอสาดไม่โดนก็เลยจะให้หวังเค่อเป็ฝ่ายกระโจนลงน้ำครำเสียเอง? นอกจากจะไม่ควักศิลาิญญาสองสามแสนชั่งมาเป็ค่าตัวให้แล้ว ยังมีหน้ามาบอกให้หวังเค่ออยู่เล่นเป็เพื่อนพวกเ้าอีก? ล้อกันเล่น? หวังเค่องานการรัดตัวขนาดไหน!” จางเจิ้งเต้ารีดเอาทรัพย์อย่างโชกโชน
มู่หรงลวี่กวง “…!”
ไป๋จิน “…!”
ศิษย์พรรคเทพหมาป่า์ “…!”
หวังเค่อผู้นี้้าจะรีดเอาทรัพย์คน
“เฮ้อ ผู้าุโจางเจิ้งเต้า ทำไมท่านถึงเอาแต่พูดเื่เงินๆ ทองๆ อยู่เรื่อยเลย? ไม่เข้าท่าเลยจริงๆ!” หวังเค่อทำหน้าเอือม
จางเจิ้งเต้าผงะไป ก็เมื่อกี้เ้าเป็คนแอบส่งสัญญาณให้ข้ารีดเอาทรัพย์จากพวกมันไม่ใช่รึ? หรือว่าข้าไม่ควรเรียกเงินสองสามแสน? แต่ควรเป็สองสามล้านแทน? ประเด็นคือพวกมันยินยอมรึ?
“ศิษย์น้องหวัง ความหมายของเ้าคือ?” เถี่ยหลิวหยุนถามอย่างใคร่รู้
“ศิษย์พี่เถี่ยรวมถึงศิษย์พี่คนอื่นๆ ข้าหวังเค่อไม่ใช่คนที่ไม่ฟังเหตุผล แต่จะมาเอาเปรียบข้าแบบนี้อยู่เรื่อยๆ นั้นใช้ได้หรือ! บทจะมายอดเขาหยั่งรู้กระบี่เราก็มา บทจะมาไต่สวนข้าก็มาไต่สวนข้า? แล้วแบบนี้จะให้ข้าฝึกฝีมืออยู่ได้อย่างไร? ข้าเองก็จะไม่เรียกร้องเงินจากพวกท่าน ใครที่้าให้ข้าทำการทดสอบในวันนี้ช่วยเขียนกระดาษลงอักษรไว้ให้ข้ากันคนละแผ่นหน่อยแล้วกัน ถือซะว่าทดแทนเวลาที่ข้าต้องเสียไป ว่าอย่างไร?” หวังเค่อมองดูทุกคน
“กระดาษลงอักษร?” ศิษย์พรรคเทพหมาป่า์ทุกคนอึ้งกิมกี่
หวังเค่อคิดจะทำอะไรกันแน่?
“ศิษย์พี่ใหญ่ คนที่มาวันนี้ล้วนเป็ท่านที่พามา ท่านจะแสดงท่าทีอย่างไร? หากหลังการทดสอบพบว่าข้าไม่ได้มีปัญหา ท่านก็จะนำทุกคนเขียนกระดาษลงอักษรทิ้งไว้ ท่านว่าอย่างไร?” หวังเค่อมองมู่หรงลวี่กวง
มู่หรงลวี่กวงมองหวังเค่อด้วยสีหน้าแปลกๆ ไม่อาจเข้าใจความคิดอ่านของฝ่ายตรงข้ามได้ เ้าทารกแซ่หวังผู้นี้กำลังขุดหลุมดักตนอยู่ใช่ไหมนะ?
“เ้าอยากได้กระดาษลงอักษรแบบไหน?” มู่หรงลวี่กวงถามอย่างเป็การเป็งาน
กระดาษลงอักษร? อย่าบอกนะว่าจะให้ข้าเขียนถ้อยคำอัปยศลงไปน่ะ? ฝันไปเถอะ!
“ง่ายๆ ไม่กี่คำ บริษัทเสินหวังเชื่อถือได้! จากนั้นแค่ลงนามไว้ก็เป็อันเสร็จสมบูรณ์!” หวังเค่ออธิบาย
“ฮะ?” ทุกคนตะลึงไป
นี่แปลว่าอะไร?
บริษัทเสินหวังเชื่อถือได้?
นี่ฟังไม่คล้ายเป็ประโยคชวนอัปยศเลยนะนี่? คำง่ายๆ ไม่กี่คำพวกตนฟังครั้งเดียวล้วนจำได้ แต่ทำไมพอจับมารวมกันแล้วกลับไม่อาจตีความได้กันล่ะเนี่ย?
มีแต่จางเจิ้งเต้าผู้กำลังอ้าปากค้างอยู่ทางด้านข้างเท่านั้นที่เข้าใจ หวังเค่อกำลังเก็บจดหมายแนะนำจากทุกคน อีกฝ่ายกำลังเตรียมใช้ของสิ่งนี้ไปต้มตุ๋นเอาเงินคนอยู่ใช่ไหม? บริษัทเสินหวังนี่กำลังจะเปิดให้บริการสินะ?
[1] ไป๋จินแปลว่าผ้าขาว
[2] หมายถึงการวิ่งตามม้าตัวนำหรือก็คือการทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด ทำตามโดยไม่รีรอ
