คฤหาสน์ของตุลาการคอนก้าครอบคลุมพื้นที่มากกว่าห้าไร่และเป็คฤหาสน์หินที่มีลานกว้างเป็ของตัวเอง
ในที่ดินมีลำธารไหลผ่าน ต้นไม้เขียวชอุ่มตั้งเรียงรายเป็ทิวทัศน์ที่งดงาม และที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดคือต้นไม้ที่มีกลิ่นหอมที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางสวนในคฤหาสน์ ในยามฤดูใบไม้ร่วงทุกปี ดอกไม้เล็กๆ สีเบจจะผลิดอกจนดูเหมือนร่มสีเหลืองที่กางออกกั้นระหว่างผืนฟ้าและแผ่นดินด้วยกลิ่นอันหอมกรุ่น ทำให้ทั่วเมืองแซมบอร์ดเต็มไปด้วยกลิ่นอันหอมหวาน อาจกล่าวได้ว่าต้นกำเนิดของชื่อเมืองแซมบอร์ด1น่าจะมาจากกลิ่นหอมของต้นไม้นี้
ซุนเฟยะโลงจากหลังสุนัขั์สีดำ ก่อนจะลูบหัวของมันแล้วปล่อยให้มันไปเล่นอีกด้าน ส่วนตัวเองกับนักรบหญิงซูซานก็พากันเดินผ่านต้นไม้ที่เรียงรายอยู่ด้านหน้าของคฤหาสน์และจุดตรวจที่คุ้มกันอย่างหนาแน่น กว่าจะได้เข้าไปยังลานเล็กๆ ที่เงียบสงัดกลางคฤหาสน์ ซุนเฟยต้องถูกพวกทหารคุ้มกันขององค์หญิงตรวจถึงหกครั้ง เมื่อมาถึง เขาก็เห็นองค์หญิงนาตาชากำลังนั่งหลับตาอยู่บนเก้าอี้โยกใต้ต้นไม้ั์ที่มีกลิ่นหอมอยู่
นี่เป็ครั้งแรกที่ซุนเฟยได้พบกับองค์หญิงลึกลับคนนี้
ผู้หญิงตรงหน้าดูเปราะบางกว่าที่ซุนเฟยจินตนาการไว้ รูปลักษณ์ไม่ได้ถือว่างดงามมากอะไรนัก ห่างไกลจากแองเจล่าและเจ็มม่าที่ทำให้ผู้คนรู้สึกตกตะลึงในความงามเพียงครั้งแรกที่ได้พบ อาจบอกได้ว่าหน้าตาค่อนข้างดูเรียบๆ ริมฝีปากอวบอิ่มแดงระเรื่อ แต่สีหน้าที่ซีดเซียวและร่างกายที่เปราะบาง เมื่อเทียบกันแล้วดูไม่ค่อยเข้ากันเท่าไร เพราะสีแดงสดใสมักทำให้ผู้คนรู้สึกเหมือนกำลังถูกล่อลวง เส้นผมหยักศกเหมือนสาหร่ายดูนุ่มสลวย เปล่งประกายเล็กน้อยภายใต้แสงอาทิตย์
สิ่งที่ทำให้ซุนเฟยรู้สึกประทับใจลึกๆ ก็คือ ดวงตาของนางแวววาว ใสบริสุทธิ์ ดวงตาสีฟ้าครามดุจท้องฟ้ากระจ่างใส ดูสวยงามแปลกตา เหมือนจะมองทะลุไปยังความคิดคนอื่นได้ ดวงตาของนางเหมือนเหวลึกที่ทำให้ผู้คนจมดิ่งลงไปได้อย่างง่ายดายโดยไม่ทันรู้ตัว
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าซุนเฟยเดินเข้ามา องค์หญิงนาตาชาก็ยังไม่ลืมตาขึ้น
ผู้หญิงคนนั้นยังคนนั่งเงียบๆ บนเก้าอี้โยกที่ถักจากไม้ไผ่ผสมไม้เลื้อย นิ้วมือเล็กๆ เคาะลงบนพนักแขนเป็จังหวะที่ไม่รู้จัก ไม่ว่าจะก่อนหรือหลังที่ซุนเฟยมา นางก็เหมือนกำลังจมอยู่ในบรรยากาศที่เบาสบาย เสมือนกำลังหลอมรวมเข้ากับสภาพแวดล้อมรอบกาย ราวกับเป็ภาพวาดูเาสายธาร ดวงตาคู่นั้นยังคงหลับ ริมฝีปากสีแดงสดเม้มเข้าหากัน
หลังจากที่นักรบสาวซูซานนำซุนเฟยเข้ามาก็ไม่พูดอะไรออกมาสักประโยคเดียว เมื่อทำหน้าที่เสร็จนางก็หมุนร่างเดินจากไป
ในลานกว้างเหลือเพียงองค์หญิงและซุนเฟยสองคน
บรรยากาศเงียบสงบ
แต่ซุนเฟยกลับไม่ได้รู้สึกอึดอัดสักนิด เขาเดินวางมาดเข้าไปอย่างผ่าเผย ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้หินที่อยู่ไม่ห่างจากองค์หญิงนาตาชา ใบหน้าของเขาแสดงท่าทางสบายๆ ไม่ได้มีท่าทีที่ไม่เป็ธรรมชาติเพียงเพราะว่าได้นั่งข้างองค์หญิงที่เป็เชื้อพระวงศ์ระดับสูง
แต่ในใจ ซุนเฟยกลับแอบประหลาดใจอย่างลับๆ
เพราะความรู้สึกเฉียบแหลมของโหมดคนเถื่อนที่ชำนาญในด้านการต่อสู้ระยะประชิดได้บอกซุนเฟยว่าในลานเล็กๆ ที่ดูเงียบสงบนี้ อย่างน้อยก็มีกลิ่นอายที่แหลมคมถึงยี่สิบคนแอบซ่อนอยู่ ควบคู่กับที่ต้องผ่านจุดตรวจที่รัดกุมแ่าก่อนหน้าที่จะมาถึงที่นี่ มันทำให้ซุนเฟยรู้สึกแปลกใจอย่างมาก มันเหมือนกับว่าองค์หญิงลึกลับคนนี้กำลังเตรียมตัวป้องกันอันตรายบางอย่างอยู่ ดังนั้นนางจึงตั้งกำแพงเหล็กที่มองไม่เห็นรอบตัวนาง ภายใต้การคุ้มกันที่แ่าแบบนี้ อย่าว่าแต่คนเลย แม้แต่แมลงสักตัวก็ไม่อาจเข้าใกล้องค์หญิงที่เปราะบางคนนี้ได้หากไม่ได้รับอนุญาต
ซุนเฟยยังมีอีกความรู้สึกหนึ่งคือ ทำไมคณะทูตแห่งราชอาณาจักรเซนิทและองค์หญิงที่เปราะบางและหน้าซีดเซียวคนนี้ถึงต้องอยู่ในความระมัดระวังมากขนาดนี้
พวกเขาราวกับเตรียมตัวป้องกันอันตรายบางอย่างที่จะมาถึงอย่างเคร่งเครียด?
แต่....จะเป็ไปได้อย่างไร?
คณะทูตมาที่อาณาจักรบริวารระดับหกอย่างเมืองแซมบอร์ดก็เพื่อแต่งตั้งองค์าาเล็กๆ ที่เพิ่งเข้าสู่วัยหนุ่มให้เป็าาอย่างเป็ทางการ ซึ่งมันก็เหมือนมาเที่ยวเล่นไม่ได้มาผจญภัยอะไร เ้านายที่มาจากเมืองหลวงแห่งราชอาณาจักรเซนิทสามารถเที่ยวชมูเาสายน้ำอย่างผ่อนคลาย จากนั้นก็เข้าร่วมพิธีขึ้นครองบัลลังก์ของาาอาณาจักรเล็กๆ...แต่สถานการณ์ที่ซุนเฟยเห็นมันไม่ใช่แบบนั้น นี่เป็สถานการณ์ที่เตรียมตัวป้องกันอย่างแ่า ซึ่งมันทำให้ซุนเฟยเริ่มสงสัยว่า บางทีอีกไม่นาน เมืองแซมบอร์ดอาจจะต้องเผชิญหน้ากับาที่โหดร้าย
นี่ทำให้ซุนเฟยรู้สึกยากที่จะเข้าใจ
มัน...จะมีอะไร หรือจะเกิดเื่อะไรขึ้นกันนะ?
เวลายังคงผ่านไปอย่างเงียบๆ
องค์หญิงยังเอนกายนอกบนเก้าอี้โยก พลางโยกเก้าอี้ไปเรื่อยๆ อย่างเชื่องช้า นางยังไม่ลืมตาสีฟ้าครามของตัวเองขึ้นมา อีกทั้งยังไม่กล่าวอะไรเลยสักคำ นิ้วมือของนางก็ยังคงเคาะบนพนักแขนอย่างเป็จังหวะช้าๆ ราวกับซุนเฟยที่นั่งอยู่ข้างๆ นางเป็เพียงอากาศที่ไม่มีตัวตนอยู่
ซุนเฟยก็ไม่ยอมเปิดปากพูดเช่นกัน
ทั้งสองคนเหมือนเด็กที่กำลังเล่น ‘ใครพูดก่อนคนนั้นแพ้’
ผ่านไปอีกสิบนาที ซุนเฟยก็รู้สึกเบื่อ เขาจึงเริ่มเก๊กท่าแสร้งหลับตาแต่ใครจะรู้ว่าผ่านไปสักพัก ในลานเล็กๆ ที่เงียบสงบก็ปรากฏเสียงกรนน้อยๆ ดังขึ้นมา เสียงกรนนี้ได้ทำลายบรรยากาศอันงดงามและเงียบสงบอย่างไม่มีชิ้นดี
องค์หญิงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้โยกพลันลืมตาขึ้นมา
นางกวาดสายตามองไปที่ซุนเฟยที่นั่งเอนกายหลับบนเก้าอี้หิน ในดวงตาก็ปรากฏแววตาคาดไม่ถึง นิ้วเนียนละเอียดที่เคาะเบาๆ บนพนักแขนตลอดก็พลันชะงักหยุดลง นางตั้งกายตรงแล้วสังเกตอย่างถี่ถ้วนจนแน่ใจแล้วว่าาาหนุ่มตรงหน้านางหลับไปแล้วจริงๆ มุมปากของนางกระตุกเล็กน้อย แสดงท่าทางเหมือนจะหัวเราะก็ไม่ออกร้องไห้ก็ไม่ได้
นางได้แต่มองตาค้าง ซุนเฟยก็ไม่สนใจ ยิ่งนานเข้าเสียงกรนก็ยิ่งดัง องค์หญิงก็ดูเหมือนจะชินแล้ว
นางกลับไปเอนกายลงบนเก้าอี้โยกต่อ
แต่คราวนี้นางไม่ได้หลับตา ดวงตากลมโตสีฟ้าครามเหม่อมองไปบนท้องฟ้าอย่างเงียบสงบไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ กลีบดอกไม้สีเบจค่อยๆ ตกลงมาจากต้นไม้ั์แล้วร่วงลงสู่พื้น ก่อนที่กลิ่นอันหอมหวานจะกระจายส่งกลิ่นหอมอบอวล
แม้จะมีเสียงกรนดังเข้าหู แต่มันกลับเข้ากันได้กับบรรยากาศ
เหล่าทหารคุ้มกันที่ซ่อนตัวอยู่เมื่อเห็นฉากนี้ก็พลันใจนพูดไม่ออก
“าาคนนี้ ไม่รู้ว่ามันกล้าหาญหรือไร้มารยาทกับองค์หญิงกันแน่...ในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก
แม้แต่องค์จักรพรรดิยาซินยังไม่กล้าทำแบบนี้เลยนะ?”
แต่พวกเขาไม่รู้ว่า ซุนเฟยเป็คนที่มาจากอีกโลกหนึ่ง
……
‘ค่ายโร้ก’
เปลวไฟสีแดงสดที่กำลังลุกไหม้อยู่ในเตา พร้อมๆ กับประกายไฟที่กระเด็นไปทั่ว
ค้อนเวทมนตร์ที่อยู่ในมือชาร์ซีวาดวิถีโค้งสวยงามกลางอากาศ ขณะที่ทุบลงบนบนดาบั์คู่ที่มีใบดาบแดงก่ำและวางอยู่บนกระดาน เป็จังหวะหนักบ้างเบาบ้างเสียงกึงๆ เหงื่อกาฬไหลหยดลงบนพื้น ชาร์ซียกดาบไปจุ่มน้ำจนเกิดเสียงดังฟู่ ก่อนจะมีไอลอยขึ้นมา
ที่ปลายอีกด้านหนึ่งของเตา คนเถื่อนซุนเฟยกำลังดึงก้านสูบลมเพื่อสูบลมเข้าไปอย่างไม่รีบหรือช้าจนเกินไป เขาสูบลมเข้าอย่างเป็จังหวะ ทำให้เปลวไฟลุกไหม้ที่เหมือนลิ้นปีศาจลามเลียไปทั่วตัวดาบในเตา
กึง!
ในตอนที่ชาร์ซียกค้อนทุบบนตัวดาบครั้งสุดท้าย ราวกับวาทยกรสะบัดมือหยุดบทเพลงซิมโฟนีที่งดงามซึ่งกำลังบรรเลงเพลงอย่างดุดันรวดเร็ว ประหนึ่งลมพายุพัดโหมกระหน่ำ วินาทีต่อมา เวทมนตร์จางๆ ก็ค่อยๆ แผ่ออกมาจากตัวดาบ เปลวไฟสีกล้วยไม้เริ่มกะพริบ ตัวดาบเปล่งเสียงร้องออกมาเบาๆ แล้วเริ่มสั่นขึ้นมา
“พระเ้า ในที่สุดก็เสร็จเสียที!”
ช่างตีเหล็กสาวแสดงท่าทางดีอกดีใจ นางไม่สนใจแม้แต่จะเช็ดเหงื่อตรงหน้าผากของนาง นางหยิบด้ามดาบที่ยังคงร้อนระอุขึ้นมา สะบัดครั้งหนึ่ง เปลวไฟสีฟ้าก็พลันไหวระริกตามแรงสะบัด ที่สะบัดแบบนี้ก็เพื่อลองให้เปลวไฟสีฟ้าผ่าอากาศในเพิงไม้ช่างตีเหล็ก
“สำเร็จไหม?”
ซุนเฟยมองฉากนี้ในใจก็พลันยินดีปรีดาขึ้นมา เขารับดาบคู่สีฟ้ามาจากมือของชาร์ซี รู้สึกถึงอุณหภูมิอุ่นๆ ที่มาจากด้ามดาบ เมื่อมองอย่างตั้งใจก็เห็นคุณสมบัติของดาบนี้ปรากฏขึ้นมา ค่าความเสียหายสำหรับดาบเดียว 4-9 ค่าความเสียหายสำหรับดาบคู่ 8-14 เพิ่มค่าความเสียหายจากการแช่แข็ง 3 ระดับความทนทาน 16/16 ไม่มีจำกัดเลเวล ไม่มีจำกัดค่าพละกำลัง
“แม้ค่าความเสียหายจะไม่ดีเท่า ‘ค้อนคู่เขียวม่วง’ แต่คุณภาพกลับไม่ได้ด้อยเลย และยังไม่มีข้อจำกัดในด้านเลเวลหรือค่าพละกำลัง ต่อให้ตัวละครที่มีเลเวลน้อยก็ยังใช้งานมันได้!”
ในใจของซุนเฟยดีใจอย่างบ้าคลั่ง
เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนซุนเฟยหมดความอดทนที่นั่งเรื่อยเปื่อยกับองค์หญิงข้างๆ จึงถือโอกาสเลือกเข้าสู่โลก Diablo ในความฝัน เมื่อมาถึง ‘ค่ายโร้ก’ ก็ใช้ ‘โหมดคนเถื่อน’ ไปหาช่างตีเหล็กชาร์ซี สอบถามนางเกี่ยวกับความคืบหน้าในการใช้อัญมณีในการสร้างอาวุธเวทมนตร์ ซึ่งพอดีกับที่ชาร์ซีอยู่ในระหว่างการทดสอบขั้นสุดท้าย จึงตัดสินใจที่จะช่วยเหลือและเฝ้าดูกระบวนการั้แ่ต้นจนจบในการสร้างดาบเวทมนตร์ด้วย ‘เกล็ดอัญมณี’ จนประสบความสำเร็จ
แม้ว่าดาบเวทมนตร์สีฟ้าจะไม่มีประโยชน์อะไรกับซุนเฟย แต่มันกลับมีความหมายมาก
ประการแรก การที่สามารถสร้างดาบเวทมนตร์สายน้ำแข็งขึ้นได้ นั่นหมายความว่าเทคนิคการหลอมของช่างตีเหล็กสาวชาร์ซีอยู่ในระดับทั่วไปแล้ว และใช้อัญมณีมาสร้างอาวุธเวทมนตร์ในระดับที่สูงกว่าได้ เพียงแต่นางต้องขยันฝึกฝนต่อไป ต่อจากนี้จะต้องสร้างอาวุธเวทมนตร์ที่ทรงพลังมากกว่านี้ ภายใต้การสนับสนุนของซุนเฟยซึ่งมีอัญมณีให้ลองฝึกจำนวนนับไม่ถ้วน บางทีสักวันหนึ่ง ชาร์ซีอาจสร้างอาวุธที่มีระดับมากกว่าระดับหายากก็ได้ หากเป็แบบนั้น ซุนเฟยก็ไม่ต้องไปพึ่งไอเทมสนับสนุนในการสังหารบอส
ประการที่สอง สำหรับซุนเฟยแล้ว รางวัลไอเทมหรืออาวุธที่ได้รับจากพวกมอนสเตอร์ก่อนหน้านี้ หรือจากการซื้อขายกับ NPC อาวุธเหล่านี้มันมีข้อจำกัด ซุนเฟยต้องเน้นเลือกที่มีพลังสูง แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมแล้ว เขาชอบอาวุธแบบไหน อาวุธแบบนั้นต้องมีคุณสมบัติเวทมนตร์แบบไหน ก็สามารถให้ชาร์ซีสร้างขึ้นมาได้ จะเลือกให้มีพื้นที่มากขึ้นหรือกำหนดให้มันแข็งแกร่งกว่านี้ก็สามารถสร้างขึ้นมาใหม่ได้ตามใจ
“ฮ่าๆๆ เยี่ยมไปเลย ข้ากล้าสาบานเลยว่า ตัวเองกำลังเห็นการกำเนิดของปรมาจารย์การหลอมผู้ยิ่งใหญ่คนใหม่ของแผ่นดินโร้กอยู่...” ซุนเฟยทำตัวเป็ภูติตูดม้า จากนั้นก็หยิบภาพวาดหนังแกะสองสามแผ่นที่เตรียมมากับอัญมณีทุกประเภทอีกยี่สิบกว่าก้อนมอบให้แก่ชาร์ซี พลางพูดว่า “คราวนี้คงรบกวนให้เ้าสร้างชุดเกราะเหล่านี้ให้ข้าที สร้างออกมาตามแบบบนภาพวาดนะ...”
“นี่คือ...ภาพวาดชุดเกราะ?”
ชาร์ซีเปิดดูม้วนภาพหนังแกะ พลางก้มมองอย่างละเอียดแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย “เป็ชุดเกราะที่สวยมาก...แต่ชุดเกราะนี้สร้างยากกว่ามาก นายท่านซุนเฟย ด้วยวิธีการหลอมของข้าในตอนนี้ เกรงว่าคงอัตราความสำเร็จที่สร้างอาจจะไม่ถึงหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ อีกทั้งกว่าจะหลอมชุดเกราะพวกนี้เสร็จ ข้ากลัวว่าอัญมณีของท่านต้องเสียไปเปล่าๆ จำนวนไม่น้อยเลย”
“ไม่มีปัญหา เท่าไรเท่ากัน” ซุนเฟยพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ
มี ‘ลูกบาศก์ฮอราดริก’ อยู่ เขาเสีย ‘เกล็ดอัญมณี’ สามก้อนก็สามารถอัปเกรดเป็ ‘อัญมณีตำหนิ’ หนึ่งก้อน และ ‘อัญมณีตำหนิ’ ก็สามารถแลก ‘เกล็กดอัญมณี’ ในโลกแห่งความจริงได้ถึงหนึ่งร้อยก้อน การค้าที่ ‘ขาดดุลการค้า’ แบบนี้ ทำให้ซุนเฟยขึ้นไปนั่งบนูเาทองได้อย่างง่ายๆ จากนี้ไปไม่ต้องกังวลเื่ทรัพยากรทางการเงินอีกต่อไป
“อ้อ จริงสิ ชาร์ซี เ้าจะลองไปสร้างอาวุธพวกนี้ที่โลกแห่งความจริงไหม ในเมืองแซมบอร์ดมีช่างตีเหล็กอยู่หลายคนที่มีวิธีการหลอมที่ไม่เลวอยู่ บางทีพวกเขาอาจจะช่วยเ้าได้” ซุนเฟยลองแนะนำ
ชาร์ซีเช็ดเหงื่อบนหน้าผากตัวเองตรงไรผมสีแดงเพลิงของนาง เมื่อนางนึกขึ้นได้ว่า ในใต้ดินเขาวงกตของูเาด้านหลังเมืองแซมบอร์ด นางได้เห็นซามวยล์และคนอื่นๆ กำลังสร้างบางอย่างจากในเตาเหล็กที่สวยงามและดูสะดวกสบาย ดวงตาพลันเป็ประกาย ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงยินดีว่า “ดีเลย ทำไมข้าถึงนึกไม่ได้กันนะ? นายท่านซุนเฟย ข้าอยากไปหาพวกเขา...”
ช่างตีเหล็กสาวเป็คนที่ใจร้อน
หลังจากที่ส่งช่างตีเหล็กสาวไปที่นั่น ซุนเฟยก็เก็บดาบน้ำแข็งที่เพิ่งสร้างเสร็จเมื่อครู่เข้าไปในกระเป๋าตัวเอง จากนั้นก็ไปหาแม่ชีอาคาร่า แล้วเริ่มเรียนรู้การจำแนกหญ้า รู้จักวิธีปรุงน้ำยาและการสร้างม้วนคัมภีร์เวทมนตร์
แน่นอนว่าสิ่งที่ได้เรียนรู้ั้แ่เริ่มแรกเป็เพียงความรู้พื้นฐานทั้งหมด
ตอนแรกซุนเฟยหมดความอดทนที่ตะเรียนพวกนี้ แต่หลังจากที่ถูกแม่ชีอาคาร่าบังคับให้เซ็น ‘สัญญาลูกศิษย์’ ก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตาเรียนรู้ไป แต่เมื่อค่อยๆ ซึมซับไปอย่างช้าๆ ซุนเฟยก็ต้องประหลาดใจที่พบว่าตัวเองเริ่มค่อยๆ สนใจในความรู้เหล่านี้ เพียงแต่ความจำของเขาค่อนข้างช้า บ่อยครั้งที่จำผิดจำถูก...
เรียนกับอkคาร่าเพียงเวลาสั้นๆ แค่ครึ่งชั่วโมง หลังจากนั้นก็ออกจากโหมดคนเถื่อนกลับไปที่จอโฮโลแกรมสามมิติแล้วเลือกโหมดดรูอิด และเข้าสู่โลก Diablo อีกมิติหนึ่ง จากนั้นก็เริ่มเคลียร์เควสของแผนที่แรก
ในมิตินี้ ซุนเฟยได้รับทหารรับจ้างสาวที่เป็นักธนูไฟมาคนหนึ่งนางชื่อว่าเคย์เรย์
แต่ั้แ่ต้นจนจบก็พบถึงความแตกต่างกับโหมดคนเถื่อน นั่นก็คือทหารรับจ้างสาวคนนี้ไม่มีชีวิตชีวาเท่ากับเอเลน่า เห็นได้ชัดว่าดูแข็งทื่อ ราวกับว่าไม่มีสติปัญญาเป็ของตัวเอง การร่วมมือกันค่อนข้างไม่เข้าขากัน ความจริงนอกจากนักธนูไฟเคย์เรย์แล้ว แม้แต่พวก NPC คนอื่นๆ ใน ‘ค่ายโร้ก’ ในโหมดดรูอิดก็ดูเหมือนกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์ไม่มีผิด ไม่ดูมีชีวิตชีวาเหมือนโหมดคนเถื่อน
เหตุการณ์นี้ดูเหมือนกับพวกที่อยู่ใน ‘ลุกค์ โกลไลน์’ แผนที่ที่สองของโหมดคนเถื่อน ทำให้ซุนเฟยสับสนเล็กน้อย ไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็แบบนี้ไปได้
ในทุกโหมดที่เล่นมา มีเพียงพวก NPC ‘ค่ายโร้ก’ ของโหมดคนเถื่อนที่ดูเหมือนเป็คนที่มีเืเนื้อชีวิตจริงๆ
แม้จะสงสัย แต่ระยะเวลาสามชั่วโมง ซุนเฟยใน ‘โหมดดรูอิด’ ก็ผ่านเควสสุดท้ายด้วยการสังหารลาสบอสแอนเดเรียและได้รับไอเทมหายากมาประมาณสองสามชิ้น
และตัวดรูอิดก็อัพเลเวลถึง 16 แล้ว
หลังจากที่สวมใส่ไอเทมเรียบร้อยแล้ว คาดว่าพลังการต่อสู้ในโลกแห่งความเป็จริงคงเทียบเท่าได้กับนักรบสามดาว่กลาง แน่นอนว่าหากรวมกับทักษะกลายร่างและอัญเชิญของดรูอิดแล้ว คาดว่าต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับนักรบระดับสี่ดาวใน่ปลาย ก็ยังรับมือไหว
-------------------------
1 เมืองแซมบอร์ด (ชื่อภาษาจีน: 香波城) 香 (เซี่ยง): กลิ่นหอม / 波 (ปัว): คลื่น การสั่นะเื ระลอก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้