ทุกคนจับจ้องแผนที่และแผ่นป้ายด้วยความคิดที่แต่งต่างกัน
การรุกรานจากความมืดเมื่อคืนนี้ ทำให้ทุกคนที่รอดชีวิตได้เห็นความน่าสะพรึงกลัวของโลกแห่งนี้ แม้จะรู้ว่าโลกนี้มีโอกาสและโชคลาภซ่อนอยู่ ทว่าสิ่งนี้กลายเป็ประเด็นเร่งด่วนสำหรับหลายๆ คนก็คือการออกไปอย่างมีชีวิต
ปราสาทแห่งนี้ไม่เพียงแต่มีโชคลาภเท่านั้น ยังมีหนทางที่จะจากไป ซึ่งถือเป็สิ่งดึงดูดใจในการดำรงชีวิต
หนิงเทียนให้ความสนใจกับสถานการณ์โดยรวมของแผนที่ เขาใช้มือแตะชิวอีเซี่ยนแล้วถามว่า “เมื่อคืนมีอะไรที่คล้ายกันเกิดขึ้นบนแผนที่นี้หรือไม่?”
ชิวอีเซี่ยนมองหนิงเทียนด้วยความประหลาดใจ แล้วพูดอย่างสงสัย “เ้ารู้ได้อย่างไรว่าเมื่อคืนนี้มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นบนแผนที่? เมื่อคืนแผ่นศิลาที่มีจุดสีแดงยังส่องแสง และมันสงบลงก่อนรุ่งสาง”
หนิงเทียนยืนยันการเดาของตน แต่สิ่งที่ทำให้เขาสับสนก็คือแผ่นศิลาไม่มีทางเลือกที่จะออกจากโลกนี้ เป็ไปได้หรือไม่ว่าทางที่เขาเข้าไปนั้นผิด?
บนแผนที่ของรูปปั้นหิน แผ่นป้ายนั้นส่องแสงแปลกๆ ตาข้างหนึ่งดูเหมือนจะเปิดขึ้น มันมืดมนมากจนไม่สามารถสังเกตเห็นได้เว้นแต่จะมองอย่างใกล้ชิด
ดวงตานั้นกำลังมองมายังคนทั้งเจ็ด ราวกับกำลังตรวจสอบว่าใครคือผู้ที่ถูกกำหนดไว้
ประสาทััทั้งหกของหนิงเทียนนั้นเฉียบคม และเขาััได้ถึงการลอบมองจากแผ่นป้าย
การจ้องมองเช่นนี้ทำให้หนิงเทียนไม่พอใจอย่างมาก มันเหมือนกับการตกเป็เป้าหมายของสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติบางชนิด
หนิงเทียนหมุนเวียนทักษะยุทธศาสตร์ครอง์ รูปแบบจิติญญาในรูม่านตาของเขาถูกเปิดออกครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อให้เกิดการปราบปรามทางจิตประเภทหนึ่ง โดยพยายามมองทะลุความลึกลับของแผ่นป้าย
ในขณะนั้นความรู้สึกของการลอบดูของหนิงเทียนก็หายไป เขารู้สึกราวกับว่าแผ่นป้ายได้ละทิ้งการเลือกเขา และหันไปเลือกคนอื่นแทน
ซูอวิ๋นกำลังกระตุ้นหยกหิมะวิจิตร นางพยายามที่จะสร้างการเชื่อมต่อกับแผ่นป้ายเพื่อคว้าโอกาสจากปราสาทแห่งนี้
ขณะที่คนอื่นๆ ต่างก็ใช้วิธีการของตนเพื่อสื่อสารและได้รับความโปรดปรานจากแผ่นป้าย
ในเวลานี้ แผ่นป้ายกำลังมุ่งความสนใจไปที่สตรีสวมผ้าคลุมหน้า นางสังเกตเห็นมันเช่นกัน แต่น่าแปลกที่หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ความสนใจของแผ่นป้ายก็เปลี่ยนไป
หนิงเทียนใช้ทักษะเก้าเนตร์เพื่อแยกแยะสถานการณ์ของผู้อื่นอย่างระมัดระวัง ก่อนจะพบว่าแผ่นป้ายดูเหมือนจะเลือกลัวจิ้งแห่งโถงหยวนปฐี
ในเวลาเดียวกันแสงประหลาดก็ฉายแววไปที่ซากปรักหักพังที่มีเครื่องหมายแสงสีแดงบนแผนที่ จากนั้นแสงก็หรี่ลงมาก แต่มันก็ยังคงแสงส่องสลัวอยู่
นี่หมายความว่าผู้ถูกกำหนดลิขิต ณ ซากปรักหักพังนั้นได้รับกุญแจสู่ซากปรักหักพัง เข้าสู่ส่วนลึกของซากปรักหักพัง และได้รับชะตากรรมแล้วใช่หรือไม่?
ด้านนอกปราสาท นกั์บนต้นไม้ั์ดูกังวลเล็กน้อย ดวงตาสีฟ้าเข้มของมันจ้องมองมายังปราสาทราวกับมันพร้อมจะโจมตีเมื่อใดก็ได้
ลัวจิ้งะโขึ้นคว้าแผ่นป้ายที่อยู่ตรงมุมขวาล่างของแผนที่ ทันใดนั้นเป้าหมายก็ถูกเปิดเผยในทันที
ดวงตาของอวี่ชิวและหยวนหงกังเปลี่ยนเป็เ็า ทั้งคู่เปิดการโจมตีเพื่อป้องกันไม่ให้ลัวจิ้งยึดแผ่นป้ายในทันที
นี่เป็เื่ของโอกาสและโชคลาภ ทั้งยังมีโอกาสที่จะจากโลกนี้ไปโดยที่ยังมีชีวิตอยู่ ใครเล่าจะยอมเสียสละ?
ลัวจิ้งเฝ้าระวังอยู่ก่อนแล้ว และจู่ๆ ทันใดนั้นก็มีธงใหญ่ปรากฏขึ้นในมือของเขา มันเป็อาวุธิญญา เมื่อเขาโบกธง ลมแรงก็พัดเข้ามา จากนั้นทั้งอวี่ชิวและหยวนหงกังก็ถูกพัดปลิวไป
ก่อนที่เงาร่างของลัวจิ้งจะเริ่มสั่นไหว เขารีบพุ่งเข้าหาแผ่นป้าย ฝ่ามือขวาตบกระทบแผ่นป้ายพร้อมกับเสียงกรีดร้องโหยหวนดังออกมาจากปากของเขา
แผ่นป้ายนั้นเปรียบเสมือนเหล็กร้อน เนื้อบนฝ่ามือของลัวจิ้งเปื่อยยุ่ย ก่อนมันจะฝังลงในฝ่ามือของเขาโดยตรง
อวี่ชิวกระโจนเข้าต่อยลัวจิ้งจากด้านหลัง ทำให้เขากระอักเื ก่อนประกายความโกรธอันแสนเร่าร้อนจะปะทุออกมาจากในแววตา
หยวนหงกังก็วิ่งเข้าหาพร้ะคอกดังลั่น “มอบแผ่นป้ายมา!”
“เ้ากำลังแสวงหาความตาย!”
ลัวจิ้งเป็ยอดฝีมือขอบเขตเปลี่ยนผ่านของโถงหยวนปฐี ซึ่งเป็หนึ่งในสิบสำนักศักดิ์สิทธิ์อันดับต้นๆ ในดินแดนหยวนซิง ทั้งยังเป็สำนักชั้นหนึ่งอีกด้วย
ขณะที่อวี่ชิวเป็ยอดฝีมือของสำนักดาราทมิฬ สถานะของเขาอยู่ในระดับเดียวกับลัวจิ้ง ทว่าหยวนหงกังเป็เพียงยอดฝีมือของสำนักชั้นสอง จึงมีความแตกต่างระหว่างคนทั้งสองในแง่ของอัตลักษณ์ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่มีคุณสมบัติที่จะพูดเช่นนี้
“หนีเร็ว!”
ชิวอีเซี่ยนร้องะโ ก่อนจะหมุนตัวแล้วหลบหนีไป เพราะยามนี้นกั์ที่สยายปีกเต็มท้องฟ้ากำลังพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วปานสายฟ้า ราวกับมันกำลังจะกลืนกินโลกด้วยความโกรธ
หนิงเทียนเหลือบมองแผนที่ เมื่อลัวจิ้งได้รับแผ่นป้าย แสงจ้าก็ส่องประกายตรงจุดที่ทำเครื่องหมายไว้ของปราสาท เช่นเดียวกับที่หนิงเทียนเดาไว้ หากคนที่ถูกกำหนดไว้ได้รับกุญแจ สัญญาณที่เกี่ยวข้องจะปรากฏขึ้น
ซูอวิ๋นและสตรีสวมผ้าคลุมต่างก็วิ่งไปทางตัวปราสาททันที ซึ่งนั่นป็นทิศทางของวังใต้ดิน
หนิงเทียนติดตามชิวอีเซี่ยน และรีบวิ่งเข้าไปในทางเดิน ข้างหลังพวกเขาคือลัวจิ้ง อวี่ชิวและหยวนหงกัง
นกั์กำลังจะมา กลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวของมันทำให้ผู้คนสิ้นหวัง
รูปปั้นหินลิงั์เปล่งประกาย แต่ไม่สว่างมากนัก เหตุผลของเื่นี้ช่างน่าสงสัย
วังใต้ดินของปราสาทตั้งอยู่ในชั้นใต้ดินชั้นสาม ตอนนี้กุญแจอยู่ในมือของลัวจิ้ง ขณะที่อวี่ชิวและหยวนหงกังยังคงต่อสู้เพื่อแย่งชิง คนอื่นๆ ต่างพยายามหลีกเลี่ยงนกั์
เสียงร้องโหยหวนดังคมมีดที่กรีดผ่านจนน่าะเืใจ ราวกับว่าหนังศีรษะกำลังจะะเิ
ประตูิญญาปรากฏขึ้นข้างกายหนิงเทียน มันดูเหมือนวังวนในนรก จากนั้นพลังสาปแช่งที่มีอยู่ในคลื่นเสียงก็ถูกกำจัดออกไปทันที
ในยามที่คนอื่นๆ รู้สึกวิงเวียนศีรษะ มีเพียงหนิงเทียนเท่านั้นที่รู้สึกสดชื่นและไม่ได้รับผลกระทบใดๆ
“ฮ่าฮ่า มันมีผลที่ยอดเยี่ยมจริงๆ”
หนิงเทียนรู้สึกภาคภูมิใจอย่างลับๆ
ยามนี้ผู้หญิงสองคนข้างหน้าหยุดแล้ว
ที่กำบังทรงกลมปรากฏอยู่ใต้ดินเหมือนกับสุสานโบราณ มีประตูสุสานที่มีลวดลายเว้าอยู่บนนั้น หากมองดีๆ มันมีรูปร่างเดียวกับแผ่นป้ายในมือของลัวจิ้งทุกประการ
ซูอวิ๋นยืนอยู่ทางด้านซ้ายของประตูสุสาน สตรีสวมผ้าคลุมอยู่ทางด้านขวา ชิวอีเซี่ยนรีบไปข้างหน้าและเลือกตำแหน่งทางด้านซ้ายของด้านหน้า
อวี่ชิวและหยวนหงกังยอมแพ้การต่อสู้ แล้วหันไปเลือกตำแหน่งที่ดีที่สุด เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่
ตราบใดที่ลัวจิ้งเปิดประตูสุสาน คนเหล่านี้จะถือโอกาสเข้าไปยึดโชคลาภของผู้อื่น
ปฏิกิริยาของหนิงเทียนค่อนข้างแปลก เขายืนอยู่ไกลที่สุดและดูเหมือนไม่มีความตั้งใจที่จะแข่งขันเพื่อโชคลาภของสถานที่แห่งนี้เลย
ชิวอีเซี่ยนเหลือบมองหนิงเทียนแล้วะโว่า “มานี่เร็วเข้า ควรได้ลองเสี่ยงโชคดูสักหน่อย บางทีเ้าอาจจะบุกเข้าไปได้”
ลัวจิ้งมองหนิงเทียนอย่างประหลาดใจเล็กน้อย
“เ้าไม่สนใจหรือ?”
“จากสิบจุดที่ทำเครื่องหมายไว้บนแผนที่ เ้าคิดว่าจุดไหนมีโชคลาภมากที่สุด?” หนิงเทียนถามกลับ
ทั้งหกคนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง และเข้าใจได้ทันที
ลัวจิ้งหัวเราะและพูดว่า “แน่นอนว่าเป็เจดีย์โบราณ แต่เ้าจะมีชีวิตอยู่จนไปถึงได้หรือ?”
หนิงเทียนโต้กลับ “เ้าไม่กล้าแม้แต่จะคิดเื่นี้ สุนัขกินจิติญญาการต่อสู้ของเ้าไปเสียแล้วหรือ? หรือว่าเ้ากลัวความมืดมิดจากค่ำคืนที่ผ่านมา?”
“กล้าหัวเราะเยาะข้า เ้าเบื่อที่จะมีชีวิตหรือ?”
ซูอวิ๋นดุเสียงดัง ท่าทีของนางดูเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง
หนิงเทียนหัวเราะเยาะ “นังหญิงนิสัยเสีย เ้าคิดว่าพวกเขาโง่เขลาจนเ้าสามารถหลอกได้ง่ายๆ ทั้งยังยอมให้เ้ายืมมีดฆ่าคนได้หรือ?”
ชิวอีเซี่ยนถามด้วยความประหลาดใจ “เ้าสองคนมีความแค้นกันหรือ?”
ซูอวิ๋นพูดอย่างขมขื่น “หนิงเทียนอย่าเย่อหยิ่งและทำให้ทุกคนโกรธ ยามนั้นแม้แต่าาแห่ง์ก็ไม่สามารถช่วยเ้าได้”
หนิงเทียนไม่กลัวเลย แต่เขากลับหัวเราะและพูดว่า “ลัวจิ้งกำลังรอให้เ้าลงมือ เพื่อที่เขาจะได้เปิดประตูสุสานได้โดยไม่ให้สัญญาณใดๆ แล้วล่วงหน้าเข้าไปผูกขาดโชคลาภภายในนั้น”
หยวนหงกังซึ่งแต่เดิมอยากสอนบทเรียนให้กับหนิงเทียนเงียบไปทันทีที่ได้ยินเช่นนี้
อวี่ชิวก็ทนไม่ได้กับความเย่อหยิ่งของหนิงเทียนเช่นกัน แต่เพื่อประโยชน์จากวังใต้ดิน เขาจึงไม่สนใจอีกฝ่ายในตอนนี้
ซูอวิ๋นได้แต่กัดฟันด้วยความโกรธ เดิมทีนางอยากกระตุ้นให้คนอื่นๆ รุมสังหารหนิงเทียน แต่หนิงเทียนแก้ปัญหาได้ด้วยคำเพียงสองคำ
ลัวจิ้งก็ไม่มีความสุขเช่นกัน เขาหวังเป็อย่างยิ่งว่าหยวนหงกังหรืออวี่ชิวจะสอนบทเรียนให้หนิงเทียน เพื่อที่เขาจะได้มีโอกาสเปิดประตูสุสาน แต่ตอนนี้ทุกอย่างล้มเหลวเสียแล้ว
ด้านนอกปราสาทมีเสียงร้องอึกทึกที่ทำให้ทุกคนตื่นตระหนก นกั์กำลังทำลายอาคารในเมือง เสียงพังทลายจึงกระจายไปทั่ว
อวี่ชิวมองลัวจิ้ง แล้วเอ่ยเร่งเร้า “อย่าอืดอาด เมื่ออสูรนกั์นั่นเข้ามาได้ จะไม่มีใครในหมู่พวกเราที่รอดไปได้”
ปราสาทสั่นะเือย่างรุนแรง เสียงะเิที่ดังกึกก้องใกล้เข้ามาแล้ว
ลัวจิ้งกัดฟันเดินไปที่ประตูสุสาน มือขวาของเขาค่อยๆ เล็งไปที่ลวดลายเว้าบนประตูแล้วกดลงไป
ทันใดนั้นประตูสุสานก็ะเิแสงอันทรงพลังออกมา ซึ่งเสียดแทงจนทุกคนไม่สามารถลืมตาได้
ลวดลายทางจิติญญามากมายปรากฏขึ้น ก่อตัวเป็รูปขบวน และในไม่ช้า ประตูแสงก็ก่อตัวขึ้นแล้วดูดลัวจิ้งเข้าไปทันที
ซูอวิ๋น สตรีสวมผ้าคลุม ชิวอีเซี่ยน อวี่ชิว และหยวนหงกังต่างตกตะลึง ประตูสุสานไม่ได้เปิดเลย แต่ตัวลัวจิ้งได้เข้าไปแล้ว
“ให้ตายเถอะ นี่มันธรรมะสูงหนึ่งคืบมารร้ายสูงหนึ่งศอก[1]อย่างแท้จริง มันไม่ให้โอกาสคนอื่นเลยสักนิด”
ชิวอีเซี่ยนะโด่า ขณะที่อวี่ชิวและหยวนหงกังรู้สึกหดหู่ใจอย่างมาก
ดวงตาของซูอวิ๋นเต็มไปด้วยความผิดหวัง ก่อนนางจะมองหยวนหงกังที่ดูไม่มีความสุข
“ศิษย์พี่หยวนทั้งหมดเป็ความผิดของหนิงเทียน ถ้าเขาไม่พูดเื่ไร้สาระและปากร้าย เื่ราวจะกลายเป็เช่นนี้ได้อย่างไร? ก่อนหน้านี้เขาเคยหัวเราะเยาะพวกเรา เขาสมควรตายจริงๆ”
หนิงเทียนขมวดคิ้ว ก่อนจะหันหลังกลับและหนีให้เร็วที่สุด
ไม่จำเป็ต้องเยาะเย้ยซูอวิ๋นด้วยซ้ำ เพราะหนิงเทียนััได้ถึงความโกรธในใจหยวนหงกังและอวี่ชิว และหากซูอวิ๋นยุยงพวกเขาเช่นนี้ พวกเขาจะะเิอย่างแน่นอน
“เ้าบ้าหนิงเทียน หยุดอยู่ตรงนั้นนะ”
ชิวอีเซี่ยนะโและเป็คนแรกที่จะไล่ล่าไป แต่เขาก็ถือโอกาสนี้หลบหนีเช่นกัน
“คิดว่าจะหนีได้หรือ?”
หยวนหงกังสาปแช่งด้วยความโกรธ และรีบไล่ตามเขาไป พร้อมที่จะระบายความทุกข์ตนใส่หนิงเทียนอย่างเต็มที่
อุโมงค์ที่ทอดไปสู่วังใต้ดินมีขนาดไม่ใหญ่นัก หยวนหงกังอยู่ข้างหน้าโดยมีอวี่ชิวตามหลัง ทั้งสองอยากจัดการกับหนิงเทียน ไม่เพียงเพราะการยุยงของซูอวิ๋น แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือเพราะหนิงเทียนเป็ผู้บำเพ็ญอัจฉริยะของจื๋อซิว หยวนซิวและซิงซิวในยุคเดียวกันล้วนไม่อยากให้เขาเติบโตขึ้น
เมื่อซูอวิ๋นเห็นเช่นนี้ นางก็ยิ้มราวกับแผนการของนางประสบความสำเร็จ แต่นางกลับพบว่าสตรีสวมผ้าคลุมหน้ากำลังมองมาที่นางด้วยดวงตาเ็าราวกับคมมีด
ร่างของซูอวิ๋นสั่นเล็กน้อย นางรีบกลั้นยิ้มอย่างรวดเร็วแล้วแสร้งทำเป็ไม่รู้อะไรเลย
ณ ตอนนี้เกิดเหตุร้ายขึ้นกับหยวนหงกังที่เร่งรีบพุ่งไปยังมุมหนึ่งของอุโมงค์
นั่นเพราะจู่ๆ แสงสีขาวเงินก็ปรากฏขึ้น นี่คือแสงจากน้ำเต้าเจ็ดสีที่ดูละเอียดอ่อน แต่มันหนักมาก มันก่อตัวเป็พลังบดขยี้หยวนหงกังที่พุ่งเข้ามา
น้ำเต้าเจ็ดสีเป็อาวุธิญญาจื๋อซิว มันมีระดับเหนืออาวุธิญญาระดับกลางอย่างแน่นอน แสงสีเงินที่ปล่อยออกมาสามารถบดขยี้ห้วงอากาศและทำให้เหล่าทหาริญญาตกตะลึงได้ เว้นแต่จะมีอาวุธิญญาระดับเดียวกัน ไม่เช่นนั้นย่อมยากที่จะต่อกรได้
หยวนหงกังอยู่ในขั้นสองของขอบเขตเปลี่ยนผ่านและมีความภาคภูมิในตนเองสูง เขาไม่เคยสนใจหนิงเทียนที่อยู่ในขอบเขตผนึกดารา และไม่เคยคิดเลยว่าหนิงเทียนจะกล้าแสร้งหนีแล้วลอบซุ่มโจมตีเขาที่มุมเส้นทางเช่นนี้
อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้หยวนหงกังประหลาดใจก็คือด้วยระดับการฝึกฝนของเขา เขาควรสามารถััได้ถึงการมีอยู่ของหนิงเทียนได้อย่างสมบูรณ์ เขาสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่าหนิงเทียนกำลังวิ่งออกไปตามทางในอุโมงค์ เขาจะซุ่มซ่อนอยู่ตรงนั้น อีกฝ่ายไปซุ่มอยู่ที่นั่นได้อย่างไร?
หยวนหงกังคำรามด้วยความโกรธขึ้นมาใน่เวลาวิกฤติ แล้วไขว้แขนไว้เป็เกราะป้องกัน แม้แต่อาวุธิญญาก็ไม่มีเวลาเปิดใช้
“ระวัง!”
ซูอวิ๋นะโ ใบหน้างดงามของนางเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
เงาหมึกดูเหมือนหอก ในขณะที่หยวนหงกังดันแขนของเขาไปข้างหน้าเพื่อเผชิญหน้ากับน้ำเต้าเจ็ดสี ในขณะนั้นก็มีเปิดกว้างก่อนจะมีบางอย่างพุ่งแทงทะลุหัวใจของเขาในพริบตา
---------------------------------------
[1] ธรรมะสูงหนึ่งคืบมารร้ายสูงหนึ่งศอก (道高一尺魔高一丈) แปลว่าฝ่ายอธรรมมีอำนาจเหนือกว่าฝ่ายธรรมะ หรือ ยามสองฝ่ายเกิดการต่อสู้กัน ไม่ว่าฝ่ายใดจะมีฝีมือยอดเยี่ยมกว่า อีกฝ่ายก็มักจะหาเล่ห์เหลี่ยมมาล้มคว่ำคู่ต่อสู้จนได้
