“สหายจี้หลิน ฉันคิดว่าเสี่ยวหลานพูดถูกนะ หากป่วยก็ควรรีบรักษา แต่ถ้าตระกูลจี้ไม่มีความรู้ด้านนี้ ฉันสามารถช่วยแนะนำโรงพยาบาลให้ได้!”
ก่อนหน้านี้กวนฮุ่ยเอ๋อไม่พอใจที่เซี่ยเสี่ยวหลานทะเลาะกับจี้หย่าเสียงเบาเกินไป ดังนั้นครั้งนี้เธอจึงรอดูว่าเซี่ยเสี่ยวหลานจะจัดการเื่ตรงหน้านี้อย่างไร
ความจริงการทะเลาะไม่ได้ขึ้นอยู่กับเสียงดังหรือเบา แต่ต้องดูว่าใครสามารถจับจุดตายได้ดีกว่า ไม่ใช่ด่ากราดอาละวาดเหมือนแม่ค้าปากตลาด อย่างน้อยก็ควรใช้เหตุผลที่ทำให้อีกฝ่ายเถียงไม่ออกน่ะสิ
กวนฮุ่ยเอ๋อบอกว่าจะช่วยแนะนำโรงพยาบาลให้ได้ จี้หลินได้ยินดังนั้นก็ยิ่งน้ำท่วมปาก
เมื่อก่อนกวนฮุ่ยเอ๋อเคยทำงานเป็แพทย์ และปัจจุบันได้ย้ายมาทำงานที่กระทรวงสาธารณสุข คำพูดเหล่านี้หากคนนอกได้ยินย่อมไม่รู้สึกว่ากวนฮุ่ยเอ๋อกำลังอวดเบ่งแต่อย่างใด เพราะเธอสามารถแนะนำโรงพยาบาลจิตเวชให้จี้หย่าได้จริงนั่นเอง!
จี้หลินไม่อยากบาดหมางกับกวนฮุ่ยเอ๋อ แม้เซี่ยเสี่ยวหลานจะพูดจาบีบคั้นกันอย่างไร ทว่าเธอก็เป็เพียงนักศึกษาหญิงคนหนึ่ง เขาย่อมสามารถรับมือได้อยู่แล้ว แต่กวนฮุ่ยเอ๋อคือสหายหญิงที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานักต่อนัก จะรับมือเธอนั้นย่อมไม่ง่ายอย่างแน่นอน
“นักศึกษาเซี่ย เธอกับเจียงหยวนเป็เพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยกัน ทำไมต้องบีบจนแม่ของเขากลายเป็แบบนี้ด้วยเล่า ต่อให้น้องสาวของฉันจะทำผิดพลาดอย่างไร แต่การบอกให้ส่งเธอไปโรงพยาบาลบ้ามันจะไม่เกินไปหน่อยรึ! อะไรที่ควรอภัยก็ให้อภัยกันเถิด สิ่งที่ตระกูลจี้สามารถทำให้ได้อาจจะมีมากกว่าที่เธอคิด... นักศึกษาเซี่ย เธอลองพิจารณาดูอีกครั้งเถอะ”
จี้หลินคิดว่าตนพูดอย่างจริงใจมากแล้ว แต่เซี่ยเสี่ยวหลานยังคงส่ายหน้าอยู่ดี
“พอเป็คนป่วยก็เลยไม่ต้องขอโทษอย่างนั้นหรือคะ ฉันควรให้อภัยเธอที่ไม่สามารถควบคุมพฤติกรรมของตัวเองได้ แต่หากอาการป่วยไม่ได้เลวร้ายจนถึงขั้นต้องเข้าโรงพยาบาล ฉันก็จะปฏิเสธการขอโทษในรูปแบบอื่น และฉันคิดว่าจี้เจียงหยวนคงเข้าใจ อย่างไรพวกเราก็เป็เด็กรุ่นใหม่เหมือนกัน ทำอะไรควรยึดหลักเหตุผล แยกแยะเื่ราว ยึดมั่นในความถูกต้อง!”
การชดเชยของจี้หลินก็แค่อภิสิทธิ์บางอย่าง หรือไม่ก็คงชดเชยด้วยเงินทองมิใช่หรือ?
แน่นอนว่าเซี่ยเสี่ยวหลานไม่้าทั้งสองอย่าง
สิ่งที่เธอ้าคือคำขอโทษ รอบที่สองตอนจี้หย่ามาหามีนักศึกษาคนอื่นอยู่ด้วย คนอื่นที่ไม่ใช่เพื่อนร่วมหอที่น่ารักของเธอจะยอมเชื่อเธออย่างไร้เงื่อนไขอย่างนั้นหรือ เพื่อชีวิตที่ราบรื่นในหัวชิง เซี่ยเสี่ยวหลานพยายามทำทุกวิถีทาง แต่จี้หย่ามีสิทธิ์อะไรมาทำลายกันตามใจชอบ
กวนฮุ่ยเอ๋อสนับสนุนเช่นกัน “สหายจี้หลิน มีเพียงสหายหญิงในครอบครัวที่เป็ดั่งสมบัติล้ำค่า แต่ผู้อื่นเป็แค่รากหญ้าอย่างนั้นหรือ?”
โจวเฉิงทำร้ายผู้หญิงอื่นแต่ไม่ขอโทษ เื่นี้กวนฮุ่ยเอ๋อยังรู้สึกเลยว่าลูกชายของตนมีความเป็สุภาพบุรุษไม่มาก ตระกูลโจวจึงทำการอบรมสั่งสอนโจวเฉิงอย่างเข้มงวด หลังจากนั้นพอถามดูจึงรู้ว่า คนอื่นเป็ฝ่ายมาหาเื่ก่อน ตระกูลโจวจึงไม่ได้บังคับให้โจวเฉิงไปก้มหัวขอขมา แต่ไม่ว่าใครก็ตามหากกระทำผิดแล้วก็ควรได้รับผลกรรม ตระกูลโจวสั่งให้โจวเฉิงหยุดทำธุรกิจ รวมถึงระยะเวลาการเลื่อนตำแหน่งครั้งต่อไปของโจวเฉิงก็ถูกยืดออกไปด้วยเช่นกัน สิ่งเหล่านี้ล้วนคือ ‘ผลกรรม’ ที่โจวเฉิงต้องได้รับ
จี้หย่าเป็คนทำผิด มีสิทธิ์อะไรมาให้คนอื่นออกหน้าขอโทษแทนแค่ไม่กี่คำกันเล่า?
กวนฮุ่ยเอ๋อไม่คิดจะปล่อยให้จี้หย่าทำนิสัยเสียอีกต่อไป ใช้ชีวิตอยู่อเมริกาแค่ไม่กี่ปี คิดว่าตัวเองสูงส่งมาจากไหน!
เห็นได้ชัดว่า เซี่ยเสี่ยวหลานกับกวนฮุ่ยเอ๋อมีท่าทางไม่ต่างกันนัก จี้หลินจึงได้แต่บอกลาด้วยความไม่อภิรมย์
หลังจี้หลินเดินจากไปแล้ว เซี่ยเสี่ยวหลานไม่คิดแม้แต่จะเสียดาย ‘การชดเชย’ ของเขาสักนิด
กวนฮุ่ยเอ๋อเองก็รู้สึกว่าเซี่ยเสี่ยวหลานจัดการปัญหาได้ไม่เลว วันนี้ที่มางานเลี้ยงเชื่อมสัมพันธ์ มีสองสิ่งที่เซี่ยเสี่ยวหลานทำถูกต้อง หนึ่งคือการบอกเธอเื่ความแค้นระหว่างเซี่ยจื่ออวี้ตามตรง ไม่ได้มีความคิดปิดบังปัญหาภายในครอบครัว มิเช่นนั้นหลังเซี่ยจื่ออวี้พูดจายุแยง เซี่ยเสี่ยวหลานคงอธิบายลำบาก และกวนฮุ่ยเอ๋อคงเป็ฝ่ายถูกปั่นหัวแล้ว!
อย่างที่สองก็คือการตอกกลับจี้หลินเมื่อครู่
ตอนนี้ตระกูลโจวออกหน้าแทนเซี่ยเสี่ยวหลานแล้ว หากเซี่ยเสี่ยวหลานยอมให้อภัยจี้หย่าอย่างง่ายดาย ที่กวนฮุ่ยเอ๋อรู้สึกโมโหแทนคงเสียเวลาเปล่าอย่างแน่นอน
“เธอทำถูกต้องแล้ว การชดเชยอะไรนั่นไม่สำคัญสักนิด ที่ควร้าคือคำขอโทษ”
ทั้งที่ตอนอยู่สำนักงานภาควิชาสามารถยุติปัญหาได้อย่างง่ายดาย แต่จี้หย่ากลับไม่เห็นหัวผู้อื่น นั่นเป็เหตุให้กวนฮุ่ยเอ๋อรู้สึกโกรธมาก
เซี่ยเสี่ยวหลานกับกวนฮุ่ยเอ๋อเดิมทีก็เดินไปเดินมาตลอดงาน เื่ปะทะคารมกับจี้หลินจึงไม่ได้ถูกใครจับตามองเป็พิเศษ
มุมหนึ่งของงาน คุณนายต่งกระตุกแขนของต่งลี่ลี่
“มีศักดิ์ศรีหน่อยได้ไหม”
กวนฮุ่ยเอ๋อพาคู่ครองของโจวเฉิงมาร่วมงานเชื่อมสัมพันธ์เช่นนี้ ทำไมต้องหลบหน้าด้วยเล่า
เธอพาลูกสาวไปที่บ้านตระกูลโจว แต่กวนฮุ่ยเอ๋อไม่ให้ความร่วมมือ คุณนายต่งเองก็จนปัญญาเช่นกัน!
ทว่ายังโชคดีที่ทั้งสองตระกูลไม่ได้คุยเื่การหมั้นหมายกันอย่างชัดเจน และคนนอกยิ่งไม่มีทางรู้สิ่งที่เกิดขึ้น จะทักทายกวนฮุ่ยเอ๋ออย่างเปิดเผยก็ไม่เห็นเป็อะไร แต่ต่งลี่ลี่ดันไม่ยอมเสียนี่ นั่นเป็เพราะต่งลี่ลี่ยังจำสิ่งที่ตนพูดตอนอยู่ที่ร้านอาหารได้ เธอประกาศกร้าวว่าตนกับโจวเฉิงต่างหากที่เหมาะสมกัน และไม่มีวันที่ตระกูลโจวจะยอมรับจิ้งจอกเ้าเล่ห์อย่างเซี่ยเสี่ยวหลาน
แต่สุดท้ายตระกูลโจวกลับยอมรับเซี่ยเสี่ยวหลานน่ะสิ!
โจวอี๋มาเตือน ต่งลี่ลี่ก็ยังจะหลอกตัวเอง
พอเห็นเองกับตาเช่นนี้ ต่งลี่ลี่คิดจะปฏิเสธก็คงทำไม่ได้
เซี่ยเสี่ยวหลานกับโจวเฉิงไม่เพียงไม่เลิกรา แต่ยังคบหากันอย่างเปิดเผยอีกด้วย กลับกลายเป็ต่งลี่ลี่ที่ต้องผิดหวังกับรักข้างเดียว ต้องจำใจยอมรับมติของครอบครัวว่าให้ไปดูตัวกับเส้ากวงหรง เพราะทั้งสองตระกูลรู้จักกันมานาน การดูตัวที่ว่าแท้จริงแล้วคือการเสนอ ‘การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์’ อย่างเป็ทางการของทั้งสองครอบครัว ต่งลี่ลี่รู้สึกว่าเส้ากวงหรงเทียบกับโจวเฉิงไม่ได้แม้แต่น้อย อีกทั้งยังเป็คนเ้าชู้ มีใครไม่รู้บ้างว่าเขามีแฟนมาเยอะแค่ไหน!
ต่งลี่ลี่ลองทำความรู้จักกับเส้ากวงหรงอย่างจำใจ ใครจะไปคิดว่าคุณชายจอมเ้าชู้อย่างเส้ากวงหรงจะไม่เล่นด้วย เพื่อปฏิเสธต่งลี่ลี่ เขาถึงกับบอกตระกูลต่งว่า เขามีความคิดที่จะกลับไปเรียนต่อ
“ผมเกรงว่าจะทำให้ลี่ลี่เสียเวลาครับ”
ประโยคนี้คือการปฏิเสธต่งลี่ลี่
เส้ากวงหรงไม่ถูกใจเธอเช่นกัน นั่นทำให้ต่งลี่ลี่รู้สึกกล้ำกลืนเกินทน
เจอเซี่ยเสี่ยวหลานอีกครั้งในเวลาแบบนี้ แก้มของเธอแสบร้อนเพราะความเ็ป
หากเซี่ยเสี่ยวหลานเห็นเธอแล้ว เซี่ยเสี่ยวหลานจะหัวเราะเยาะเธอหรือเปล่า? คิดได้ดังนั้นต่งลี่ลี่จึงลากผู้เป็แม่หลบไปอีกทาง เพราะไม่อยากเผชิญหน้ากับเซี่ยเสี่ยวหลาน!
การเสียหน้าของต่งลี่ลี่เกิดขึ้นโดยไม่มีใครรับรู้ เซี่ยเสี่ยวหลานเองก็ไม่รู้อะไรสักนิด
ประนีประนอมกับตระกูลจี้ไม่สำเร็จ แต่กวนฮุ่ยเอ๋อพาเธอมาเปิดตัวที่งานนับว่าบรรลุเป้าหมายแล้ว ตอนนี้ก็คงถึงแก่เวลากลับหอพักเสียที เซี่ยเสี่ยวหลานเดินทางกลับคราวนี้ ทั้งเซี่ยจื่ออวี้ หวังเจี้ยนหัว ต่งลี่ลี่และคนอื่นๆ ต่างก็พากันโล่งอก
หากเซี่ยเสี่ยวหลานอยู่ที่งานต่อ ไม่ว่าใครก็รู้สึกแสบร้อนไปทั้งหน้าด้วยกันทั้งนั้น!
เซี่ยเสี่ยวหลานกลับมาถึงหอพักตอนใกล้สี่ทุ่ม ได้ยินว่าอาจารย์ประจำภาควิชาเรียกหาเธอ ทว่าเวลานี้ดึกเกินไปคงต้องรอให้ถึงวันพรุ่งนี้ก่อน
—-------------------------------------------
ณ มณฑลิ่ที่อยู่ไกลออกไป โจวเฉิงและนักศึกษาคนอื่นๆ ที่กำลังซุ่มรออยู่ ในที่สุดก็ได้รับคำสั่งให้เคลื่อนไหว
“สิ่งที่พวกคุณต้องเผชิญหน้าต่อจากนี้คือผู้ลักลอบค้าของเถื่อนที่มีอาวุธปืน พวกเขาส่วนใหญ่ล้วนคือสมาชิกแก๊งมาเฟียกับกลุ่มชาวประมงท้องถิ่น คนที่มีส่วนร่วมกับการค้าของเถื่อนล้วนเป็อาชญากร บางส่วนก็เป็พวกนักโทษหนีคดี และนักโทษอุกฉกรรจ์ ครั้งนี้เป้าหมายของพวกเราคือขัดขวางเรือขนสินค้าเถื่อน หยุดการซื้อขายสินค้าเถื่อน และจับตัวผู้ลักลอบขนสินค้าเถื่อน... แผนการปฏิบัติภารกิจในครั้งนี้ จะให้ผู้ปฏิบัติภารกิจซึ่งก็คือนักศึกษาประจำภาคเรียนนี้เป็ผู้รับผิดชอบทั้งหมด หวังว่าทุกคนจะไม่ทำให้ผิดหวัง นี่ไม่ใช่แค่การฝึกซ้อมเท่านั้น แต่เป็ภารกิจที่สามารถเสียเืและาเ็ได้จริง ดังนั้นทุกฝ่ายจะต้องให้ความสำคัญในระดับสูงสุด!”
โจวเฉิงกอดปืนของตนแน่น พลางฟังคำสั่งของผู้บัญชาการประจำสถาบัน
เพราะเขามีประสบการณ์บุกตะลุยแนวหน้ามาอย่างโชกโชน จึงถูกเลือกให้เป็รองหัวหน้าทีมปฏิบัติสำหรับภารกิจครั้งนี้
หัวหน้าทีมคือผู้บัญชาการกลาง โจวเฉิงต้องนำคนไปยังแนวชายฝั่งและนำทีมบุกเข้าต่อสู้บริเวณนอกชายฝั่ง นักศึกษาของภาคเรียนนี้ มีคนตำแหน่งสูงกว่าโจวเฉิง การที่เขาถูกเลือกให้เป็ผู้นำทีมย่อมมีคนไม่ชอบใจอย่างแน่นอน ดังนั้นโจวเฉิงจำเป็ต้องใช้ภารกิจครั้งนี้พิสูจน์ความสามารถของตนเอง
การรบนอกชายฝั่งเช่นนี้ถือว่าเป็ครั้งแรกของโจวเฉิงเช่นกัน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้