เมื่อถูกถามอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ เหล่าหญิงสาวก็เริ่มรู้สึกขายหน้าขึ้นมาอย่างประหลาด ในใจก็นึกสาปแช่งแม่นางเฉิงคนงามที่พูดโพล่งขึ้นมาเช่นนั้น โดยไม่คิดเลยว่าคนอื่นไม่ได้มีฐานะร่ำรวยเหมือนตน
แป้งหอมตลับละยี่สิบแปดตำลึงเงินไม่ใช่ราคาที่ทุกคนจับต้องได้
ถึงอย่างนั้นแม้หญิงสาวบางคนจะมีเงิน แต่พวกนางก็ไม่คิดซื้อกันอยู่ดี
แม่นางฉินรู้ดีว่าความคิดของลูกค้าแต่ละกลุ่มเป็เช่นไร “ข้าขอแจ้งทุกท่านไว้ก่อนว่า ครั้งนี้ข้านำมาขายเพียงไม่กี่สิบตลับเท่านั้น ข้าไม่รู้ว่าครั้งต่อไปคือเมื่อไร หากพวกท่านอยากกลับมาซื้อไปใช้ ย่อมต้องรอทางท่านปรมาจารย์ผลิตแป้งหอมใหม่อีกครั้ง”
“เหตุใดท่านไม่รีบบอกก่อนเล่า แม่นางฉิน! ข้าขอซื้ออีกตลับเลยก็แล้วกัน!” แม่นางเฉิงเร่งให้สาวใช้นำเงินออกมาจ่ายทันทีที่ได้ยินคำพูดของแม่นางฉิน
หลายคนที่มีเงินเหลือใช้รีบซื้อกลับไปทันที เพียงเท่านี้ แม่นางฉินก็สามารถขายแป้งหอมโม่กุ้ยเฝิ่นได้หลายสิบตลับในครั้งเดียว
แต่สุดท้ายก็ต้องยอมรับว่ายังมีกลุ่มหญิงสาวที่ไม่อาจเอื้อมถึงราคาที่ตั้งไว้
แป้งหอมกว่ายี่สิบตลับขายออกอย่างต่อเนื่อง นับเป็จุดเริ่มต้นที่น่าประทับใจ
หลินฟู่อินยิ้มกว้าง ใจของนางเปี่ยมล้นไปด้วยความปีติ เมื่อลูกค้าน้อยลง นางจึงกล่าวลาแม่นางฉินแล้วขอตัวออกจากร้าน
ครั้งนี้นางเดินทางต่อไปยังโรงหมอสกุลหลี่
“ฟู่อิน เ้ามาทำอะไรที่นี่?” หลี่อี้โผล่หน้าออกมาจากตู้ยาสมุนไพรทันทีที่เห็นว่าหลินฟู่อินแวะมาเยือน ใบหน้าหล่อเหลาดูประหลาดใจ
เด็กสาวทักทายอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มหวาน “ข้าอยากได้โสมที่ดีที่สุด ขอแบบไม่แก่ไม่อ่อนจนเกินไป แล้วก็ขอหวงฉีแห้ง ตังกุย ตั่งเซิน กับหวงจิง [1] เพิ่มด้วย”
“เอาทั้งหมดนี่เลยหรือ? เ้าคิดจะนำของพวกนี้ไปทำอะไร ฟู่อิน?” หลี่อี้มองด้วยสีหน้าเป็ห่วงเล็กน้อย “เ้าเป็อะไรหรือไม่? ร่างกายของเ้ารับของบำรุงทั้งหมดนี้ไม่ไหวหรอก…”
เห็นหลี่อี้เข้าใจผิด หลินฟู่อินก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ใจเย็นก่อน ข้าไม่ได้นำของพวกนี้มาบำรุงร่างกายตัวเอง ข้าบอกท่านแล้วไม่ใช่หรือว่าข้าอยากทำชาด และข้าจะใช้สมุนไพรเหล่านี้เป็ส่วนผสม”
เห็นได้ชัดว่าหลี่อี้เป็ห่วงนางจากใจจริงในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เขามักคิดถึงและกังวลเกี่ยวกับนางอยู่เสมอ หลินฟู่อินจึงไม่คิดปิดบังเื่ใด
“ทำชาด? ใช้สมุนไพรทำชาด?” หลี่อี้ตาโตก่อนหลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง “ฟู่อิน เ้าได้ความคิดอันประเสริฐเช่นนี้มาจากที่ใด? คราวก่อนก็บอกให้ใส่น้ำมันลงไปในชาด คราวนี้จะใช้สมุนไพรเช่นนั้นหรือ?”
น้ำเสียงของหลี่อี้เต็มไปด้วยความโล่งใจ
หลินฟู่อินมองไปที่ชายหนุ่มพร้อมกระซิบว่า “ข้าทำชาดนั้นเสร็จแล้ว และดูเหมือนว่าชาดหิมะหลอมนี้จะไม่พอขายอีกด้วย”
“หืม? ชาดหิมะหลอม?” สองตาของหลี่อี้เบิกกว้างยิ่งกว่าเดิม เสียงทุ้มพูดอย่างเหนียมอายว่า “ข้าเองก็ใช้ชาดหิมะหลอม มือของข้านุ่มขึ้นมาก จนข้าซื้อให้ท่านอาจารย์และท่านอาแปดคนละตลับ”
หลินฟู่อินถามยิ้มๆ “ใช้สะดวกดีหรือไม่?”
“ดีมาก! มือของข้าไม่แตกอีกต่อไปแล้ว” หลี่อี้ยิ้มร่าก่อนเอะใจถึงคำพูดของหลินฟู่อิน “โอ้… เหตุใดเ้าไม่บอกข้าว่าเ้าเป็คนทำชาดหิมะหลอมเล่า?”
เด็กสาวหัวเราะกับท่าทางของชายหนุ่มตรงหน้า “ไม่มีอะไรมากเ้าค่ะ หลังจากข้าทำเสร็จ ข้าก็ยกให้ร้านคู่ค้าของข้าทำต่อ เพราะฉะนั้นท่านจึงไม่ได้เห็นข้าทำด้วยตัวเอง”
“เป็เช่นนี้นี่เอง” หลี่อี้พยักหน้า “ในเมื่อเ้าจำเป็ต้องใช้ ข้าจะส่งจดหมายกลับไปบอกที่บ้านให้พวกเขาจัดหาสมุนไพรที่ดีที่สุดให้เ้า เ้าเลือกเองได้เลย”
หลินฟู่อินตื้นตันจากน้ำใจที่หลี่อี้มีให้นางอยู่เสมอ
“ข้าขอบคุณท่านมาก หากข้าทำชาดชนิดใหม่ ข้าสัญญาว่าจะนำมาให้พี่หลี่ใช้คนแรก” หลินฟู่อินกล่าวอย่างมีความสุข
หลี่อี้ได้ยินว่าเด็กสาวจะมอบชาดให้ก็รู้สึกแปลกอยู่ในใจ “บุรุษอย่างข้าจะใช้ชาดไปทำไม? แค่ส่งชาดหิมะหลอมสองสามตลับมาก็พอ”
หลินฟู่อินยิ้ม “เข้าใจแล้วเ้าค่ะ”
“จริงสิพี่หลี่อี้ ข้าต้องใช้เมล็ดดอกมะลิ ทั้งดอกมะลิและดอกบานเย็น ข้าขอซื้อทั้งหมดที่ท่านมี ข้าต้องใช้มันจำนวนมาก” เด็กสาวกล่าวเพิ่มเติม
“ย่อมได้” หลี่อี้รับคำ
จังหวะนั้นเองที่เด็กในร้านเรียกตัวหลี่อี้ หลินฟู่อินเห็นอีกฝ่ายยุ่งเลยกล่าวขอบคุณแล้วรีบออกมา
หลินฟู่อินกลับบ้านมาก็พบหลินเฟินและหลินฟางบดเมล็ดดอกมะลิทั้งหมดเก้าจินเสร็จเรียบร้อย ทั้งยังต้มดอกหอมหมื่นลี้และแยกส่วนเป็สารสกัดพร้อมใช้
ในส่วนของวิธีการหลังจากนี้หลินฟางและหลินเฟินไม่มั่นใจ จึงนั่งรอให้หลินฟู่อินกลับมาจัดการ
หลินฟู่อินเห็นทั้งสองขยันขันแข็งก็รู้สึกมีแรงขึ้นมาด้วยเช่นกัน
ก่อนอื่นนางต้องนำเมล็ดดอกมะลิที่บดเป็ผงแล้วมากรองให้เหลือเป็ผงแป้งแล้ววางทิ้งไว้
“ฟู่อิน แม่นางฉินชอบแป้งหอมของเราหรือไม่?” หลังออกมาจากห้องทำแป้งหอม หลินฟางก็ถามโดยไม่รีรอ
“ท่านเดาดูสิ” หลินฟู่อินเปรย
เด็กสาวหัวเราะลั่นก่อนชี้ไปที่ใบหน้าของหลินฟู่อินแล้วพูดว่า “ดูเ้าทำหน้าเข้าสิ เดาง่ายเกินไปหรือไม่? แม่นางฉินต้องชอบแป้งหอมโม่กุ้ยเฝิ่นของเราแน่นอน!”
“ที่จริงแล้วข้าขอตัวกลับมา เพราะข้าเห็นแม่นางฉินขายแป้งหอมของเราได้แล้ว” หลินฟู่อินหัวเราะกลับ “เวลาเพียงจิบครึ่งถ้วยชา แป้งหอมขายออกไปกว่าสิบเก้าตลับด้วยกัน!”
“โอ้! หมายความว่าลูกค้าชื่นชอบแป้งหอมของเราอย่างนั้นหรือ?” หลินฟางดีใจจนนั่งไม่ติดเก้าอี้ นางเด้งตัวแล้วหันหลังไปบีบมือของหลินเฟินแน่น น้ำตาแห่งความดีใจเอ่อล้นเต็มสองตา
หลินฟู่อินเห็นสองคนตรงหน้าตื่นเต้นยิ่งกว่าตัวเองก็หลุดหัวเราะ “ลูกค้าชอบมันมาก สมกับเป็แป้งหอมของเรา”
“ใช่! แน่นอนอยู่แล้ว!” หลินเฟินร้องตื่นเต้น “เมื่อแป้งหอมของเ้าขายดีเช่นนี้ เราต้องทำเพิ่มอีกใช่หรือไม่?”
หลินเฟินถามด้วยความสงสัย
แต่หลินฟู่อินกลับส่ายหน้า “เพียงทำส่วนของวันนี้ให้เสร็จก็พอขายไปอีกหนึ่งเดือนเต็มแล้ว แป้งหอมใช้งานได้นานไม่เหมือนชาดผัดแก้ม ระหว่างนี้เราสามารถทำอย่างอื่นได้อีก”
“เข้าใจแล้ว” หลินเฟินเข้าใจ
สองพี่น้องตัวติดจนแทบจะเป็หนึ่งเดียวกับหลินฟู่อิน แน่นอนว่าพวกนางภาวนาให้ชีวิตของหลินฟู่อินรุ่งเรืองขึ้นทุกวัน
หลินฟางนึกอะไรได้บางอย่าง นางหันกลับไปมองหลินฟู่อินด้วยดวงตาแสนสดใสแล้วถามว่า “ฟู่อิน เราคิดราคาแป้งหอมกับแม่นางฉินเท่าไร?”
ในสายตาของหลินฟู่อินตอนนี้ ดูเหมือนว่าความคิดของหลินฟางจะโตขึ้นมาก ในหัวของนางนั้นไม่เพียงแต่คิดถึงตัวสินค้าเท่านั้น แต่ยังคำนึงถึงกำไรที่จะได้อีกด้วย
หลินฟางคาดเดาราคาไว้ในใจคร่าวๆ ว่าหลินฟู่อินขายแป้งให้แม่นางฉินในราคาสิบสองตำลึงต่อหนึ่งตลับ
เห็นแววตาของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความหวังเช่นนั้น หลินฟู่อินจึงแกล้งตอบเสียงเรียบกลับไป “ยี่สิบตำลึงเงิน”
“ว้าว!” หลินฟางร้องดีใจ ความสุขของนางเอ่อล้นกว่าตรุษจีนที่ผ่านมาเสียอีก
“เหมือนที่ฟู่อินพูดเอาไว้เลยว่าแป้งหอมนี้ขายได้ตลับละหลายสิบตำลึงเงิน!” หลินฟางยิ้มกว้างจนตาหยี
“ทั้งหมดหกสิบแปดตลับรวมเป็เงินทั้งหมดหนึ่งพันสามร้อยหกสิบตำลึง แม่นางฉินมอบเงินทั้งหมดให้ข้ามาก่อน นางยังสัญญาอีกว่าจะแบ่งกำไรจากการขายแป้งหอมครั้งแรกให้ข้าอีกจำนวนหนึ่ง” หลินฟู่อินพูดให้หลินฟางและหลินเฟิงมั่นใจ
ั์ตาทั้งสองของหลินเฟินฉายประกายวูบไหวหลังได้ยินคำพูดของหลินฟู่อิน
“เห็นหรือไม่ว่าความลำบากไม่จีรังยั่งยืน เมื่อใดที่เรารู้จักใช้สติปัญญาเมื่อนั้นเราจะเจอทางออกเสมอ” หลินฟู่อินย้ำ
นับเป็คำพูดที่สร้างแรงบันดาลใจให้สองพี่น้องยิ่งนัก พวกนางตั้งมั่นอย่างแรงกล้าว่าหลังจากนี้ต่อให้ต้องเจอปัญหาอะไรก็ตาม พวกนางจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
ความจริงนางอยู่มานานกว่าสองชีวิต ทั้งตัวทั้งใจของนางเต็มไปด้วยแก่นแท้ทางวัฒนธรรมนานนับพันปี นางไม่มีอะไรต้องเสียอีกแล้ว
“เอาละ รอดูพรุ่งนี้ก็แล้วกัน” หลินฟู่อินเอ่ยเตือน “ตอนนี้เราไปดูถั่วปากอ้าสดกับถั่วงอกที่ร้านกันเถอะ”
ทันทีที่ถึงร้านทุกอย่างก็ถูกจัดเตรียมไว้หมดแล้ว จากนั้นชาวบ้านหูลู่ก็ออกมาต้อนรับสามพี่น้องอย่างอบอุ่น
หลังหลินฟู่อินตรวจความเรียบร้อยเสร็จ นางก็พาหลินฟางและหลินเฟินไปดูห้องเครื่องที่หลิวฉินเพิ่งเช่ามาใหม่
แน่นอนว่าหลิวฉินใช้เวลาส่วนใหญ่หมกอยู่ในห้องเครื่องของเขา หากเทียบขนาดกันแล้วห้องเครื่องของหลิวฉินมีขนาดกว้างว่าร้านของหลินฟู่อินมาก แถมลูกจ้างที่มียังเยอะกว่าฝั่งของหลินฟู่อินอีกด้วย
หลิวฉินรีบเดินมาหาหลินฟู่อินทันทีที่ปรากฏตัว
“โอ้ สามพี่น้องไปเที่ยวไหนกันมาล่ะ?” หลิวฉินยิ้มทักทาย
“ข้ามาหาพี่หลิว” หลินฟางตอบเป็คนแรก และก็เป็คนแรกที่ก้มหน้างุดเช่นเดียวกัน หูทั้งสองข้างของเด็กสาวแดงเถือก
วันนี้หลิวฉินสวมเสื้อคลุมสีฟ้าคราม ดูหล่อเหลาเอาการยิ่งนัก
หลินฟู่อินสังเกตเห็นอาการหลินฟาง “ท่านจะรีบไปไหนหรือพี่หลิว?”
หลิวฉินตอบ “ก่อนนี้บ้านข้าวานให้ส่งเงินไปให้ พอข้าส่งให้ข้าก็กลับมาดูงานของข้าตามปกติ แต่วันนี้พี่น้องและครอบครัวของข้ากลับล้มป่วยกัน ข้าจึงต้องกลับไปดูสักหน่อย”
หลินฟู่อินถาม “เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา? พาไปพบหมอแล้วหรือยัง?”
ได้เห็นหลินฟู่อินเป็ห่วงเป็ใย หลิวฉินก็อารมณ์ดีขึ้นทันตา “ทุกครอบครัวไม่ว่าจะมีคนแก่หรือเด็กอยู่ หากอากาศเย็นลงก็ป่วยไข้กันได้ทั้งนั้น คนจนๆ อย่างเราทำได้แค่เอาเงินไม่กี่สิบอีแปะไปซื้อยาให้คนป่วยที่บ้านกินบำรุงร่างกาย”
หลินฟู่อินขมวดคิ้ว เป็ไปไม่ได้ที่จะปล่อยให้คนธรรมดาไปซื้อยาสุ่มสี่สุ่มห้าเช่นนั้น
“เอาเถอะ เื่เช่นนี้เกิดขึ้นเป็ปกติ เ้าไม่ต้องกังวลไป” เห็นอีกฝ่ายดูกังวลอย่างเห็นได้ชัด หลิวฉินก็รู้ทันทีว่าสัญชาตญาณความเป็หมอของอีกฝ่ายกำลังลุกโชนอยู่ข้างใน
ในสายตาของเขา ยังมีคนจนอีกมากในโลกนี้ที่ไม่สามารถหาซื้อหยูกยามารักษาตัวเองได้ ช่างน่าปวดใจเสียจริง
เขาทำได้เพียงมอบเงินเล็กๆ น้อยๆ ให้พวกเขาไปหาซื้อยามาให้ตัวเองเท่านั้น
หลินฟู่อินได้ยินอีกฝ่ายพูดเช่นนั้นจึงเลือกที่จะไม่สนใจ นางจ้องหน้าหลิวฉินก่อนเอ่ยถามว่า “ท่านจะมอบเงินอะไรให้ข้า?”
หลิวฉินหยิบถุงใบหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ “นี่ไม่ใช่เหตุผลที่เ้าขอให้พ่อข้าส่งคนไปเก็บกะหล่ำปลีที่บ้านเ้าใช่หรือไม่? ทันทีที่ข้ากลับไปบอก พ่อของข้าก็รีบส่งคนออกไปทันที ที่หมู่บ้านหูลู่เขาได้พบกับลุงรองและป้ารองของเ้าก่อนกลับมาพร้อมกับเกวียนคันใหญ่”
หลินฟู่อินนึกเื่นี้ขึ้นมาได้ แม้ว่ากะหล่ำปลีจะหายาก แต่นางไม่คิดว่าจะทำกำไรได้ดี และไม่ได้คาดหวังอะไรกับมันมากมาย
“เอ้านี่ สามร้อยแปดสิบสี่ตำลึงเงินของเ้า เมื่อวานนี้ข้าเก็บกะหล่ำได้ทั้งหมดหนึ่งพันสองร้อยแปดสิบจิน พ่อของข้าให้เ้าสามสิบอีแปะต่อหนึ่งจิน” หลิวฉินยื่นเงินให้หลินฟู่อินพร้อมชี้แจงอย่างละเอียด
“กะหล่ำปลีหนึ่งจินขายได้สามสิบอีแปะเช่นนั้นหรือ?” เด็กสาวอุทานออกมาโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะรู้ตัวว่าเป็คำถามที่ไม่ควรเอ่ย จึงก้มหน้าลงเล็กน้อยด้วยความเขินอาย
หลิวฉินกล่าวต่อว่า “สามสิบอีแปะต่อหนึ่งจินน่ะหรือ? ปกติแล้วข้าเองก็กลัวว่าจะไม่มีใครมาซื้อกะหล่ำราคาสามสิบอีแปะเหล่านี้เช่นกัน แต่นี่ก็เข้าฤดูหนาวแล้วไม่ใช่หรือ? แค่ข้าออกไปข้างนอก ลมหายใจของข้าก็แทบจะจับตัวเป็น้ำแข็งอยู่แล้ว เป็ไปได้อย่างไรที่ผักสดไม่ตาย? เป็ได้อย่างไรที่กะหล่ำปลีของเ้าไม่เกรงกลัวต่ออากาศเย็นแม้แต่น้อย?”
หลินเฟินพยักหน้าเข้าใจ คิดไปคิดมาก็สมราคาดี เหมือนกับถั่วปากอ้าสดและถั่วงอก
“พ่อข้าขายผัดกะหล่ำจานหนึ่งได้หนึ่งหรือสองตำลึงเงิน สามสิบอีแปะนี้ใช่ว่าเป็น้ำใจให้เ้าเสียทีเดียว รับไว้อย่างสบายใจเถิด” หลิวฉินพูดโน้มน้าว
หลินฟู่อินกำลังตะลึงกับจำนวนเงินที่ได้ นางคาดไว้อยู่แล้วว่าราคาของกะหล่ำปลีจะสูง หากแต่คิดไม่ถึงว่าเถ้าแก่หลิวจะให้มากขนาดสามสิบอีแปะต่อหนึ่งจินเช่นนี้
“ลุงหลิวใจดีกับข้าเสมอ” หลินฟู่อินกล่าวอย่างจริงใจ
หลิวฉินยิ้มก่อนมองสามพี่น้องแล้วพูดว่า “เ้าคิดน้อยเกินไป พ่อค้าหัวใสไม่ได้จิตใจดีเช่นนั้น พ่อข้าคิดจะเหมากะหล่ำของเ้าทั้งหมด ภัตตาคารของเราจะได้มีเมนูจากกะหล่ำวางขายต่อไป เพราะกะหล่ำไม่ใช่ผักที่เน่าเสียง่าย เขาตั้งใจทยอยขายไปจนถึงฤดูใบไม้ผลิที่จะถึง”
จริงอย่างที่ชายหนุ่มว่า หลินฟู่อินรู้ดีว่าเถ้าแก่หลิวมีผลประโยชน์อย่างอื่นซ่อนอยู่ แต่นางไม่คิดใส่ใจ หากเปรียบตัวนางเป็คนพายเรือ นางก็หวังให้ทุกคนบนเรือของนางไปถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพ รวมถึงมีชีวิตที่ดีขึ้นในทุกวัน
หลินฟู่อินยิ้มแล้วรับถุงเงินอย่างเต็มใจ ก่อนจะเขย่าถุงเบาๆ ให้หลินเฟินและหลินฟางเห็น
สองพี่น้องยิ้มกว้าง เท่ากับว่าตอนนี้พวกเขาได้เงินเก็บออมเพื่อซื้อภัตตาคารในชิงเหลียนเพิ่มอีกหลายร้อยตำลึงเงิน
หลิวฉินเห็นเด็กสาวมองเงินด้วยความดีใจก็พูดขึ้นว่า “พ่อข้าฝากมาบอกเ้าว่าเขาส่งคนไปเก็บกะหล่ำปลีที่บ้านเ้าเพิ่มอีก ไม่ต้องห่วงเื่เงินเลยฟู่อิน”
“เข้าใจแล้ว” หลินฟู่อินพยักหน้า
“ข้าได้ยินมาว่ายังมีกะหล่ำหัวเล็กๆ ที่ยังไม่โตอีกมาก ข้าสงสัยว่าพวกมันจะโตได้อีกหรือไม่หากนำไปปลูกไว้ในดิน?” หลิวฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจเอ่ยถาม
“เหตุใดท่านจึงสนใจเกี่ยวกับการปลูกผักเช่นนี้?” หลินฟู่อินถามยิ้มๆ
ชายหนุ่มยกมือแตะหลังศีรษะแล้วเสมองไปทางอื่น “ข้าแค่คิดว่าหากเราปลูกเองได้ เราก็ไม่ต้องไปขอให้ท่านพ่อจัดหาให้ตอนเปิดร้านในฤดูใบไม้ผลิ”
หลินฟู่อินหัวเราะกับคำตอบนั้น
นี่สินะที่เขาเรียกว่าลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น
สิ่งที่หลิวฉินพูดมีส่วนถูก เมื่อนางกลับหมู่บ้านหูลู่ นางคงต้องไปดูที่สวนผักสักหน่อยว่าจะถนอมพวกผักเ่าั้ไว้ได้อย่างไร
“ข้าจะกลับไปดูที่หูลู่เอง ท่านไม่ต้องกังวลไป” หลินฟู่อินยังส่งเสียงหัวเราะไม่หยุด
เมื่อหมดธุระแล้ว หลิวฉินก็ขอตัวลาสามพี่น้อง
หลินฟู่อินเห็นหนทางใหม่เลือนราง
ทันใดนั้นนางก็นึกถึงที่เคยคิดจะขายถั่วลิสงสมุนไพรและถั่วปากอ้าสดเมื่อก่อนหน้านี้
แถมตอนนี้สองพี่น้องหลินเฟินและหลินฟางกลับมาอยู่ข้างนางอีกครั้ง เพราะฉะนั้นนางคิดว่านางพร้อมลงมือทำทุกอย่างแล้ว
หลังเกิดเหตุร้ายที่หอพระจันทร์เดือนก่อน ผู้คนในเมืองต่างไม่มีที่ให้ผ่อนคลายเช่นเคย แต่หากทันทีที่หอพระจันทร์ซ่อมแซมกลับมางดงามดังเดิม แเื่ต้องหลั่งไหลกลับมาอย่างแน่นอน
“พี่ฟาง ยังมีถั่วปากอ้าอยู่ที่บ้านอีกกี่จิน? ท่านยังวานให้ทุกคนเก็บถั่วลิสงและถั่วลันเตาเพิ่มหรือไม่?” หลินฟู่อินเอ่ยถาม
เวลานั้นหลินฟางง่วนกับงานในเมือง หลินฟางจึงรับหน้าที่จัดการดูแลงานที่เหลือทั้งหมด
หลินฟางตอบเสียงนิ่ง “ถั่วปากอ้าและถั่วลิสงอบแห้งยังมีอีกมากที่ร้านของเรา ทุกวันนี้ต้ายาและแม่ของนางช่วยเราเก็บอีกแรง”
หลินฟู่อินรู้สึกพอใจขณะฟังผู้เป็พี่พูด “เช่นนั้นเราไปร้านค้าแล้วซื้อเกลือกับเครื่องเทศกันเถิด”
“ที่บ้านมีอยู่เหลือเฟือไม่ใช่หรือ? เหตุใดจึงคิดซื้อเพิ่มอีก?” หลินฟางคิดว่าพักนี้หลินฟู่อินคงเบื่อเลยอยากออกไปเดินเล่นดูข้าวของเสียหน่อย
หลินเฟินจ้องหน้าหลินฟางเขม็งพร้ะโกนหยอกล้อว่า “เ้ารู้ได้อย่างไร? ความจริงเป็เยี่ยงไรฟู่อินย่อมรู้ดี”
หลินฟางไม่โกรธที่โดนขัด แต่นางแลบลิ้นตอบโต้แล้วเงียบปากทันที
หลินฟู่อินพาสองพี่น้องไปยังร้านค้าเพื่อซื้อเกลือยี่สิบจิน อบเชยสองจิน โป๊ยกั๊กสองจิน ผงยี่หร่าสองจิน ใบกระวานหนึ่งจิน ไป๋จื่อหนึ่งจิน ใบชามะลิหนึ่งจิน
จากนั้นนางก็แวะไปยังโรงหมอสกุลหลี่เพื่อซื้อชะเอมเทศและหวงฉีอีกสองสามจิน
หลินเฟินและหลินฟางช่วยกันเข็นเกวียนคันน้อยตามต้อยๆ หลังจากแวะเวียนอีกสองสามร้าน พวกนางได้ถั่วลิสงอบแห้ง ถั่วปากอ้าอบแห้ง และถั่วลันเตาหลายถุงติดไม้ติดมือกลับบ้าน
เด็กสาวทั้งสามตักน้ำมาล้างทำความสะอาดถั่วหลากชนิดกันอย่างระมัดระวัง เสร็จแล้วจึงใช้ค้อนขนาดเล็กทุบเปลือกถั่วให้แตกก่อนนำลงหม้อต้มในน้ำเดือด
เมื่อสุกได้ที่จึงตักขึ้นมาพอสะเด็ดน้ำ แล้วนำไปแช่ไว้ในถังเปล่าหลังสวน พอได้ที่ก็นำกลับมาต้มให้เดือดแล้ววางทิ้งไว้ให้แห้งอีกครั้ง
สองพี่น้องยืนมองอย่างงุนงง พวกนางรู้เพียงว่าหลินฟู่อินอยากให้จดจำทุกขั้นตอนให้ครบถ้วน
แม้ไม่รู้ว่าจะออกมาเป็อย่างไร แต่หลินเฟินและหลินฟางก็ตั้งใจฟังอย่างจริงจัง
ถั่วปากอ้ากับถั่วลิสงควรแช่น้ำทิ้งไว้เป็เวลานาน ต่างจากถั่วลันเตาที่นำไปต้มแล้วตากทิ้งไว้ได้เลย
หลินฟู่อินอมยิ้มขณะพูดกับหลินฟาง “พี่ฟาง ท่านนำขวดน้ำมันในบ้านไปเทลงในหม้อได้หรือไม่ ข้าจะทำขนมหายากให้พวกท่านลองชิม”
หลินฟางได้ยินดังนั้นก็รีบทำตามอย่างมีความสุข ราวกับสาวน้อยที่ได้ของขวัญล้ำค่า
หลินฟู่อินพูดต่อว่า “พี่ฟาง ข้าคิดว่าน้ำมันที่มีอาจไม่พอใช้ ท่านออกไปซื้อกลับมาติดไว้ได้หรือไม่ ราคาเท่าไรข้าไม่เกี่ยง แต่อย่าลืมเอาเงินจากห้องข้าติดตัวไปด้วย ไปเถิด”
“ฟู่อิน เหตุใดจึงต้องใช้น้ำมันเยอะเช่นนั้น?” หลินเฟินถาม
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้