“วูบ!” ขณะเดียวกันที่ด้านข้างมีผู้ฝึกยุทธ์ตวัดมีดโจมตีพุ่งมาหาเย่เฟิง พลันรังสีมีดพาดผ่านท้องฟ้า
เย่เฟิงเผยสีหน้าเย็นเยียบ เขาเบี่ยงตัวหลบรังสีมีดก่อนจะเหวี่ยงหมัดโจมตีผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นทันที อีกฝ่ายส่งเสียงร้องด้วยความเ็ป กระดูกบริเวณหน้าอกแตกหัก อวัยวะภายในได้รับความเสียหายจนถึงแก่ชีวิต
ฉากนี้ทำให้ผู้ฝึกยุทธ์อีกสามคนที่เหลือมิอาจสงบนิ่งได้อีก สามกระบวนท่าสังหารสามคน พวกเขากระทั่งสงสัยในพลังของเย่เฟิง
“ลูกพี่ ทำยังไงดี?” ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งเอ่ยถามหัวหน้าด้วยสีหน้าดูไม่ได้
“พวกเราสามคนบุกพร้อมกัน ดูซิว่าเขาจะทนได้สักกี่น้ำ?” หัวหน้าคนนั้นก็เผยสีหน้าไม่สู้ดี รู้ว่าตนเจอคนที่ยากจะจัดการเข้าแล้ว จนในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าเหตุใดนายจ้างถึงให้ราคาสูงในการจ้างวานสังหารแค่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ที่ 5 คนเดียว
“วูบ ๆ!” ทว่าไม่ทันสิ้นเสียงของหัวหน้าผู้นั้น ก็มีรังสีหอกสองสายทะลวงอากาศมา ก่อนจะทะลวงลำคอของผู้ฝึกยุทธ์สองคนนั้น โดยไม่ให้พวกเขาได้มีโอกาสใด ๆ
บรรยากาศพลันเงียบกริบ ห้าคนถูกเย่เฟิงสังหารเกลี้ยง เหลือเพียงผู้เป็หัวหน้าคนนั้น ขณะที่เขามองศพห้าร่างที่นอนเกลื่อนพื้น ตัวก็ต้องแข็งทื่อ แล้วมองไปที่เย่เฟิงด้วยสายตาหวาดหวั่นราวกับความกลัวกัดกินจิตใจของเขา
“ไว้ชีวิตข้าด้วย!” หัวหน้าผู้นั้นอ้อนวอน เขารู้ซึ้งถึงพลังของเย่เฟิงแล้วว่าไม่ใช่คนที่เขาจะต่อกรด้วยได้ั้แ่แรก เขาเป็เทพแห่งการสังหารชัด ๆ
“พูด ใครเป็คนส่งเ้ามา?” แววตาของเย่เฟิงเผยประกายคมกริบ ขณะเดินเข้าหาอีกฝ่ายพร้อมถือหอกัเงินประกาย ทุกย่างก้าวล้วนนำพาความสั่นคลอนมาสู่หัวหน้าผู้นั้นอย่างที่ปฏิเสธมิได้
“นี่...” หัวหน้าผู้นั้นได้ยินคำพูดของเย่เฟิงก็เผยสีหน้าลำบากใจ เห็นได้ชัดว่าไม่อยากเปิดเผย
“จะบอกหรือไม่บอก?” แสงเยือกเย็นปะทุออกจากดวงตาของเย่เฟิง พร้อมกับปลายหอกอันเย็นเยือกจี้ไปที่ลำคอของอีกฝ่าย คล้ายกับมีกลิ่นอายแห่งความตายมาเยือน ทำให้อีกฝ่ายต้องตัวสั่นเทา
“บอก ข้าจะบอก!” หัวหน้าผู้นั้นตื่นตกตระหนก ก่อนจะกล่าวว่า “ผู้จ้างวานไม่เปิดเผยตัวตน แต่ข้ารู้ว่าเขาทำงานให้จวนเซิ่งอ๋อง”
เย่เฟิงได้ยินเช่นนั้นก็ชะงักไปชั่วขณะ จวนเซิ่งอ๋องถือว่าเคลื่อนไหวได้เร็วมากทีเดียว เขาเพิ่งออกจากสำนักยุทธ์เทียนเสวียน ก็ถูกอีกฝ่ายหมายหัวไว้แล้ว
“อ้าก!” เสียงกรีดร้องดังกังวาน เย่เฟิงประทับฝ่ามือลงที่จุดตันเถียนและจุดชี่ไห่ของอีกฝ่าย ทำให้อีกฝ่ายส่งเสียงด้วยความเ็ป ก่อนร่างจะกระเด็นออกไป แววตาของเขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง วรยุทธ์ของเขาถูกทำลายสิ้นแล้ว
“นี่ก็คือบทลงโทษของเ้า ไสหัวไปซะ!” เย่เฟิงกล่าวเสียงเย็น ก่อนจะเดินออกไปโดยไม่สนใจอีกฝ่าย
ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ที่ 8 หกคน ตายห้า ถูกทำลายวรยุทธ์หนึ่ง พลังต่อสู้เช่นนี้เรียกได้ว่าผิดมนุษย์มนา
ในระหว่างทาง เย่เฟิงยังพบอีกหลายคนที่สะกดรอยตามเขา แต่อาจเป็เพราะใกับพลังที่เขาสำแดงก่อนหน้านี้ คนเ่าั้จึงไม่กล้าปรากฏตัว จากนั้นไม่นานเขาก็มาถึงค่ายใหญ่ของทัพทหารม้า ก่อนจะเห็นลุงสามมู่เทียนฉี
“ลุงสาม” เย่เฟิงเรียกมู่เทียนฉี
“เสี่ยวเฟิง เ้ามาแล้ว” เมื่อมู่เทียนฉีเห็นเย่เฟิงมาก็เผยรอยยิ้มสดใส
“ไม่เลวนี่ ไม่เจอกันหลายเดือนก็อยู่ขั้นรวมชี่ที่ 5 แล้ว!”
“ลุงสามชมเกินไปแล้ว” เย่เฟิงกล่าว
“เ้าก็ถ่อมตัวเกินไป ว่าแต่ข้าได้ยินมาว่าเ้าคว้าอันดับหนึ่งในงานประลองสำนักยุทธ์เทียนเสวียนมาได้ ด้วยพลังของเ้าในตอนนี้ คงไม่ง่ายสินะกว่าจะทำสำเร็จได้” มู่เทียนฉีกล่าว พลางมองเย่เฟิงด้วยความภาคภูมิใจ หลานชายของเขาประสบความสำเร็จั้แ่วัยเยาว์ หากพี่สาวกับพี่เขยทราบคงต้องปลื้มปีติมากแน่นอน
“แม้สำนักยุทธ์เทียนเสวียนจะมีรากฐานลึกซึ้ง แต่ในปีที่ผ่านมาอัตราการรับลูกศิษย์ลดลง หากไม่เช่นนั้นด้วยพลังของข้าคงไม่มีทางคว้าอันดับหนึ่งมาครองได้” เย่เฟิงกล่าวอย่างซื่อตรง แต่เขาพูดมีเหตุผล อัจฉริยะอย่างตู๋กูหลง นี่จ้านเทียน หรือเฉินอ้าวเทียนแม้จะแข็งแกร่ง แต่หากมองจากทั่วทั้งเมืองหลวง สามคนนี้ยังถือว่าธรรมดา
“ไม่ว่าจะพูดยังไง เ้าก็คว้าเกียรติยศครั้งนี้มาได้ ควรภูมิใจกับมันนะ” มู่เทียนฉีระบายยิ้ม จากนั้นพูดต่อไปว่า “ครั้งนี้ที่ข้าเรียกหาเ้าก็เพราะอยากแจ้งบางเื่กับเ้า”
“อะไรหรือ?” เย่เฟิงเอ่ยถาม
“อีกสามวันเป็งานวันเกิดครบรอบ 66 ปีของท่านตาเ้า เวลานั้นทุกกองกำลังของเมืองหลวงจะส่งคนมาเข้าร่วมงาน ถือเป็เื่ใหญ่ที่สุดของตระกูลมู่ข้าในปีนี้ ข้าอยากให้เ้ามาร่วมงานด้วย นอกจากจะได้เจอท่านตาแล้ว ยังจะได้เจอลุงอีกสองคนแล้วก็ป้าอีกคนด้วย” มู่เทียนฉีกล่าว เขารู้นิสัยของหลานชายคนนี้ดี เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกับบิดาเขาและตระกูลเย่ บางทีเย่เฟิงอาจไม่้าเกี่ยวข้องกับคนของตระกูลมู่เขา
“เอ่อ...” เย่เฟิงเผยสีหน้าสับสน เพราะท่านตา ท่านลุงทั้งสอง และท่านป้าอีกคนเสมือนคนแปลกหน้าสำหรับเขาในตอนนี้ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เย่เฟิงรู้ นั่นก็คือคนเหล่านี้ดูเหมือนจะไม่ชอบเขาเพราะการแต่งงานของบิดาและมารดา กระทั่งมีอคติไปในทางลบ หากไม่เช่นนั้นหลังตระกูลเย่ล่มสลาย เขาในตอนอายุ 5 ขวบคงไม่ต้องไปอาศัยอยู่ที่ตระกูลหนานกงในเมืองโยวโจว
“ลุงสามรู้ว่าเ้าคิดอย่างไรกับพวกเขา แต่เื่บางอย่างนั้น สุดท้ายแล้วเ้าก็ต้องเผชิญหน้ากับมัน ไม่ว่าจะพูดอย่างไร เ้าก็ยังเกี่ยวข้องกับตระกูลมู่อยู่ดี” มู่เทียนฉีเห็นเย่เฟิงเงียบไม่ไม่ไหวติง จึงกล่าวขึ้นอีกครั้ง
“ข้าเข้าใจแล้ว” เย่เฟิงพยักหน้า พร้อมกับกล่าวว่า “ในเมื่อลุงสามว่ามาขนาดนี้ เช่นนั้นข้าจะมาร่วมงานวันเกิดท่านตาในอีกสามวัน”
แม้เย่เฟิงจะไม่เต็มใจ แต่สิ่งที่มู่เทียนฉีพูดมาก็มีเหตุผล ในเมื่อเขาอยู่ที่เมืองหลวง เขาสมควรไปเข้าร่วมงานวันเกิดของท่านตา
“เช่นนั้นก็ดี” มู่เทียนฉีถอนใจอย่างโล่งใจ จากนั้นทั้งสองพูดคุยกัน ก่อนเย่เฟิงจะออกจากค่ายใหญ่ทัพทหารม้า แล้วกลับไปยังที่พักของตัวเอง พอเช้าวันรุ่งขึ้นของวันที่สอง ฉินเจิ้นถิงก็ส่งคนมาเรียกเย่เฟิง
จากนั้นเย่เฟิงไปพบฉินเจิ้นถิง จำต้องบอกว่าเป็เื่บังเอิญมาก ทางสำนักยุทธ์เทียนเสวียนก็ส่งคนไปร่วมงานวันเกิดของผู้เฒ่ามู่เช่นเดียวกัน นำโดยผู้าุโสองคนและมีลูกศิษย์ติดตามไปด้วยอีกสองคน ซึ่งหนึ่งในลูกศิษย์สองคนนั้น เฉินเจิ้นถิงเลือกเย่เฟิง ส่วนอีกคนคืออวิ๋นเจี๋ย ถือว่าสมเหตุสมผลที่ทางสำนักยุทธ์ส่งกระบวนทัพที่แข็งแกร่งที่สุดไปในครั้งนี้
สามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว เย่เฟิงและอีกสามคนเดินทางออกจากสำนักยุทธ์เทียนเสวียนมุ่งหน้าสู่จวนตระกูลมู่ ซึ่งหนึ่งในผู้าุโสองคนคือเยว่กู่ ส่วนอีกคนคือคนสนิทของฉินเจิ้นถิง
แม้อวิ๋นเจี๋ยจะเป็คนพูดไม่เก่ง แต่ก็มีพูดคุยกับเย่เฟิงบ้าง ทั้งสองมีนิสัยคล้ายคลึงกัน ไม่เย่อหยิ่งไม่ผลีผลาม ดังนั้นจึงเข้ากันได้ดี
..........
กองกำลัง ณ จวนตระกูลมู่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในเมืองหลวงอาณาจักรจ้าว ไม่เป็รองตระกูลตู๋กูและตระกูลเฉิน อาจกล่าวได้ว่าเป็อีกหนึ่งกองกำลังที่อยู่บนจุดสูงสุดของอาณาจักรจ้าว
ผู้เฒ่ามู่ตรากตรำในการศึกมาทั้งชีวิต เคยเป็ขุนพลคนสำคัญของกองทัพอาณาจักรจ้าว และมีอิทธิพลมากที่สุดในแวดวงทหาร บุตรธิดาสามคนของเขายังดำรงตำแหน่งสำคัญในราชสำนัก แต่บุตรคนที่สามมู่เทียนฉีมีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุด เป็ที่เคารพนับถือของชาวอาณาจักรจ้าวนับล้าน
บุตรสาวอีกสองคนของผู้เฒ่ามู่ล้วนเป็คนไม่ธรรมดา แต่น่าเสียดายที่มู่ไฉ่อิงบุตรสาวคนโตไปแต่งงานกับจอมพลเย่เจิน ต่อมาตระกูลเย่ล่มสลาย บุตรสาวคนโตของผู้เฒ่ามู่ก็หายตัวไปจากอาณาจักรจ้าว ส่วนบุตรสาวคนเล็กของผู้เฒ่ามู่ที่มีนามว่ามู่ไฉ่เจี๋ยได้แต่งงานกับจวิ้นอ๋องท่านหนึ่งของราชวงศ์จ้าว ฐานะจึงเปลี่ยนไปเป็คนของราชวงศ์ และมีอำนาจมากในตระกูลมู่
เหล่าชนรุ่นหลังของตระกูลมู่ต่างเลื่อมใสศรัทธา และมู่เยี่ยนก็เป็หนึ่งในนั้น ซึ่งมู่เยี่ยนคืออันดับหนึ่งในรายนามเสินเจียงแห่งสำนักศึกษาเสินเจียง อันดับหกในรายนามเฟิงอวิ๋นแห่งอาณาจักรจ้าว หากมองทั่วทั้งอาณาจักรจ้าว มู่เยี่ยนอาจเป็อัจฉริยะชั้นยอดแนวหน้า
ตระกูลมู่ถือได้ว่ารุ่งโรจน์สุดขีด ทั้งอำนาจอิทธิพลล้นฟ้า เปรียบดั่งกองกำลังสูงสุด
วันนี้คืองานวันเกิดครบรอบ 66 ปีของผู้เฒ่ามู่ ทั้งตระกูลมู่จึงเต็มไปด้วยความปีติยินดี ทุกกองกำลังทั่วเมืองหลวงต่างส่งตัวแทนมาร่วมอวยพรผู้เฒ่ามู่ ดังนั้นจวนตระกูลมู่จึงเนืองแน่นไปด้วยผู้คน บรรยากาศครึกครื้น ทั้งยังมีโต๊ะที่เต็มไปด้วยอาหารเครื่องดื่มวางอยู่ใจกลางจวนตระกูลมู่ เสียงเพลงบรรเลง หญิงงามร่ายรำตามจังหวะ
แเื่มาร่วมงานนับไม่ถ้วน โดยมีมู่เทียนหลงบุตรคนโตของผู้เฒ่ามู่เป็ผู้ดูแลงาน และคอยต้อนรับแขก นอกจากกองกำลังที่มีชื่อเสียงแล้ว สามในสี่สำนักยุทธ์ศึกษาของเมืองหลวงมาถึงแล้วเช่นกัน นั่นคือสำนักศึกษาเสินเจียง หอชิงหลง และสำนักอี่เทียน มีเพียงสำนักยุทธ์เทียนเสวียนที่ยังมาไม่ถึง
ด้านคนของจวนเซิ่งอ๋องก็มาถึงแล้วเช่นกัน เป็จ้าวเฉินและผู้ฝึกยุทธ์อีกกลุ่ม จ้าวเฉินยังคงหยิ่งผยองเช่นเคย ราวกับไม่เห็นใครอยู่ในสายตา
สามวันก่อนเขาส่งผู้ฝึกยุทธ์ไปลอบสังหารเย่เฟิง และพอจะคาดเดาถึงผลลัพธ์ได้ เพราะสุดท้ายแล้วกลับไม่ได้รับข่าวคราวใด ๆ เลย ทำให้ความเกลียดชังที่จ้าวเฉินมีต่อเย่เฟิงเพิ่มมากขึ้น
ราชวงศ์คือผู้ปกครองอาณาจักรจ้าว มีอำนาจเหนือทุกคน ดังนั้นหลังจากตัวแทนของราชวงศ์มาถึงงานก็ถูกจัดที่นั่งที่สูงที่สุดและมีการอารักขาที่ดีที่สุด แต่ทางฝั่งราชวงศ์ มีหญิงผู้หนึ่งที่หน้าตาสะสวยและดึงดูดความสนใจจากผู้คนมากเป็พิเศษ หญิงผู้นี้อายุประมาณ 16 ปี รูปโฉมงดงามดุจดั่งเทพธิดา ผิวพรรณขาวนวล สวมอาภรณ์ลายหางหงส์สีขาว นางทั้งสูงศักดิ์และสง่างามราวกับว่าทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวนางได้สูญเสียสีสันไปจนหมดสิ้น
“คนผู้นั้นน่าจะเป็องค์หญิงจ้าวซินอี้ ช่างสวยงดงามยิ่งราวกับเทพธิดาก็มิปาน” ผู้คนต่างมองไปที่หญิงผู้สูงศักดิ์คนนั้นด้วยสายตาชื่นชม โดยไม่กล้าสบประมาทนางแม้แต่นิดเดียว
“องค์หญิงไม่เพียงแต่สวยงดงาม แต่ยังมีวรยุทธ์สูงส่ง เพิ่งอายุ 16 ปีบริบูรณ์ก็เป็ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ที่ 8 แล้ว เมื่อไม่นานมานี้ก็ปลุกิญญาาที่สอง ขั้นครามได้เสียด้วย ร้ายกาจยิ่งกว่าอัจฉริยะเ่าั้ด้วยซ้ำ!” ผู้ฝึกยุทธ์อีกคนกล่าว ทั่วทั้งอาณาจักรจ้าวมีผู้ปลุกิญญาาขั้นครามไม่เกินห้าคน พร์เช่นนี้เรียกได้ว่าฝืนชะตาฟ้าลิขิตยิ่งนัก
องค์หญิงจ้าวซินอี้มาร่วมงานวันเกิดผู้เฒ่ามู่ด้วยตัวเอง จึงกลายเป็จุดสนใจของทุกคนในงานไปโดยปริยาย
พวกเขาต่างมองเทพธิดาในดวงใจของตนด้วยสายตาลุกโชน หญิงงามเช่นนี้ แม้มองพวกเขาปราดเดียวก็ทำให้พวกเขารู้สึกเป็เกียรติไปชั่วชีวิต
