ตอนที่ ๑
กำราบวัชรินทร์
วันต่อมา
๐๘.๐๐ น.
สายลมพัดเอื่อย ได้กลิ่นหอมของดอกกันเกราที่ผลิดอกเต็มต้น วัชรินทร์ที่ตื่นขึ้นมาได้สักพักแล้ว ย้ายร่างตัวเองมานั่งอยู่บริเวณริมหน้าต่าง ดวงตาทอดมองทิวทัศน์รอบตัวบ้านเรือนไทยอย่างเพลิดเพลิน แม้จะไม่ได้ถูกโอบล้อมไปด้วยธรรมชาติเหมือนที่บ้านหลังเก่า แต่การจัดแต่งสวนของที่นี่ก็ทำให้บรรยากาศดูร่มรื่นไม่น้อย
...เสี้ยววินาทีหนึ่งวัชร์รู้สึกว่าทุกอย่างนั้นแปลกตาไปหมด ไม่ว่าจะมองไปทิศทางไหนก็เป็ความงดงามที่เขาไม่คุ้นชิน น่าใจหายเมื่อที่ซุกหัวนอนในเช้าวันนี้ ไม่ใช่บ้านหลังเดิมอีกต่อไป
ที่ซูเหวินยอมให้เขามาอยู่ร่วมรั้วบ้านเดียวกันด้วย ก็คงจะเป็เพราะหน้าที่สามีค้ำคอกระมัง
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“ใคร”
“...”
เสียงจากคนที่ยืนอยู่หน้าห้องเงียบไป กระทั่งเ้าของห้องตัดสินใจลุกออกจากที่นั่ง ทันทีที่บานประตูถูกเปิดออก พลันคนที่ยืนลุกลี้ลุกลนอยู่หน้าประตูใจนจิตกระเจิง แทบจะทำสำรับอาหารคว่ำเดี๋ยวนั้น
วัชร์มองเด็กหนุ่มตัวเล็กที่ยืนสั่นงก ๆ เป็เ้าเข้า ถาดอาหารในมือแทบจะร่วงแหล่มิร่วงแหล่ ก่อนจะเอ่ยถามเสียงเรียบ
“มีอะไร”
“นะ...หนูยกสำรับอาหารมาให้จ้ะ”
เด็กหนุ่มก้มหน้างุด เอ่ยตอบเสียงตะกุกตะกัก ยิ่งคุณวัชร์ค่อย ๆ ย่างเท้าเดินเข้ามาใกล้จนได้ยินเสียงกระพรวนข้อเท้าดังในทุกจังหวะ เขาก็แสนกลัวจนเอาแต่หดคอหนี ในหัวจินตนาการเหตุการณ์ร้ายแรงไปสารพัด ก่อนจะชะงักไป เมื่ออีกฝ่ายเพียงแค่เปิดสำรับดูเท่านั้น
พลันใบหน้างามฉายแววไม่ถูกใจ เมื่อเห็นบรรดาอาหารที่ถูกยกมาให้
“เอากลับไปเถอะ”
“...”
“ฉันไม่ชอบอาหารจีน ให้มาก็มีแต่จะเททิ้ง”
พูดโดยไม่คิดแยแส ทำท่าจะปิดประตูเพื่อกลับไปอยู่ในโลกส่วนตัวของตนอีกครั้ง ทว่าอีกฝ่ายก็ยังยืนลุกลี้ลุกลนอยู่ที่เดิม กระทั่งวัชร์เริ่มนึกรำคาญ เอ่ยไล่ด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้นอีกหนึ่งระดับ
“ฟังไม่ได้ยินหรือไง ยกกลับไปสิ!”
“ยะ ยกกลับแล้วจ้ะ ๆ”
เมื่อถูกไล่ คนที่กลัวอยู่แล้วก็สติแตกขวัญกระเจิง รีบยกถาดอาหารหมายจะเดินลงจากเรือน ครั้นเมื่อหันไปก็แทบจะเป็ลมล้มลงไป เมื่อเห็นร่างสูงของคุณไท่ยืนมองสถานการณ์อยู่ก่อนแล้ว
“เอะอะด้วยเื่อะไร”
“...”
เด็กหนุ่มตัวสั่นเป็ลูกนก ยืนตัวลีบอยู่ตรงกลาง ยิ่งรับรู้ได้ถึงกระแสความอึดอัดระหว่างคนทั้งสอง ก็นึกอยากจะขุดดินหนีไปให้รู้แล้วรู้รอด ซูเหวินปรายตามองสำรับอาหารที่ไม่แม้แต่จะถูกแตะต้องก็เข้าใจทุกอย่างในทันที
“เด็กคนนี้ชื่อลูกหล้า...จะมาดูแลเธอั้แ่วันนี้เป็ต้นไป”
วัชร์หลุบสายตาลงมองเด็กหนุ่มตัวเล็ก ในขณะที่เ้าของชื่อทำหน้าคล้ายอยากจะร้องไห้อยู่รอมร่อ เขาขอเปลี่ยนนายทันหรือไม่
“ห้องอยู่ห่างจากเธอไม่ไกลเท่าไร มีอะไรก็เดินไปเรียกมัน”
“...”
วัชร์เพียงยืนนิ่งไม่ยอมตอบอะไร ดวงตาทั้งสองคู่มองสบกันอยู่นาน หากไม่มีลูกน้องคนหนึ่งมาเรียกเสียก่อน คงจะมีาประสาทเกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้ ซูเหวินมองสำรับอาหารครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยสั่งเสียงเรียบ
“เอาไปเก็บ”
“แต่ว่าคุณเขายังไม่ได้กิน...”
“ถ้าไม่ชอบอาหารที่จัดให้ ก็หากินเอาเอง”
“...”
จังหวะการพูดและน้ำเสียงยังคงฟังดูใจเย็นอยู่เสมอ ถึงอย่างนั้นก็ยังสามารถทำให้ผู้ฟังอารมณ์คุกรุ่นได้โดยง่าย นึกอยากจะสวนกลับไปนัก ว่าไม่ใช่แค่อีกฝ่ายที่ชังน้ำหน้าเขาอยู่ฝ่ายเดียวเสียหน่อย เขาก็รู้สึกแสนเกลียดแสนชังไม่น้อยไปกว่ากันนักหรอก
“เอาไปเก็บ”
“กะ เก็บจ้ะ...”
คราวนี้ลูกหล้ารีบลนลานรับคำเมื่อได้รับคำสั่งเดิมเป็ครั้งที่สอง...บนเรือนไทยเหลือแค่วัชร์คนเดียวอีกครั้ง เมื่อคนที่เคยยืนอยู่ได้ออกไปจนหมดแล้ว ร่างขาวปิดประตูเสียงดัง เดินกระทืบเท้าปึงปังไปยังริมหน้าต่าง มองรถยนต์คันหรูของคนใจร้ายที่เพิ่งจะถูกขับออกไปด้วยแววตาแค้นเคือง
ในอกก็ยังคงร้อนรุ่มไม่หาย ทั้งยังยิ่งทวีความรู้สึกคุกรุ่นจนต้องทุบตีหมอนระบายอารมณ์อย่างแรง ทุบไปพลาง ด่าสาดเสียเทเสียผู้เป็สามีไปพลางโดยไม่ไว้หน้า แต่ทำเท่าไรก็ไม่หายโกรธเสียที
ชังน้ำหน้าเหลือเกิน
“คอยดูเถอะ ซูเหวิน ไท่...”
คอยดูเถอะ!
สักวันเขาจะเหยียบอกสามีของตนให้จมเท้า!!
…
เวลาล่วงเลยมาถึง่สามโมงเย็น วัชร์ที่เริ่มเบื่อการนั่ง ๆ นอน ๆ อยู่แต่ในห้อง จึงย้ายร่างตัวเองมายังสนามหญ้าข้างเรือนไทย ดวงตาคมสวยหลับพริ้ม สูดกลิ่นหอมเย้ายวนของดอกกันเกราที่มาพร้อมกับสายลมเอื่อยยามเย็น
ที่นี่มีพื้นที่กว้างขวาง แต่ทุกคนล้วนไปรวมตัวกันอยู่ที่บ้านหลักหลังใหญ่ ในขณะที่บริเวณเรือนไทยหลังนี้กลับเงียบเหงาเหลือเกิน เพื่อนเพียงคนเดียวของวัชร์ในตอนนี้คงจะเป็เด็กหนุ่มผิวสีน้ำผึ้งที่กำลังนั่งทำหน้าตาอิหลักอิเหลื่ออยู่ไม่ไกล
“เมื่อวานตอนเข้ามาที่นี่ ฉันผ่านถนนที่มีคนขายของเยอะ ๆ ... เรียกว่าถนนอะไร”
“คะ คุยกับหล้าหรือจ๊ะ”
“มีกันอยู่แค่สองคน เธอจะให้ฉันคุยกับใคร”
เด็กหนุ่มได้แต่หัวเราะแห้งแล้วยกมือขึ้นเกาหลังท้ายทอยแก้เก้อ ลองนึกภาพตามที่คุณวัชร์บอกครู่หนึ่ง ก่อนจะส่งเสียงร้องในลำคอคำหนึ่ง
“ชื่อถนนเยาวราชจ้ะ...ไม่ไกลจากที่นี่คือย่านค้าขายของพวกชาวจีน”
“...”
“ที่นั่นมีของกินเยอะแยะเลยจ้ะ แต่ละอย่างอร่อยทั้งนั้น”
ยิ่งพูดก็ยิ่งติดลม น้ำลายสอ ไม่ทันได้สังเกตว่าคนตรงหน้าก็แอบดวงตาเป็ประกายตามคำพูดของตนเช่นกัน เสียงท้องร้องดังโครกคราก เพราะแทบไม่ได้กินอะไรมาั้แ่เช้า วัชร์แอบขยับตัวเข้าไปหาอีกเล็กน้อยแล้วบอกความ้าของตัวเองออกไปทันทีโดยไม่รีรอ
“ฉันอยากไป”
คราวนี้ลูกหล้าอึกอัก ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ได้แต่คิดในใจว่าคุณไท่ช่างคาดเดาอนาคตได้แม่นยำเหลือเกิน รู้ทันได้อย่างไรว่าภรรยาของตนจะต้องอยากออกไปข้างนอกแน่ ๆ
“คะ คุณไท่บอกเอาไว้ว่า ห้ามไปเองโดยพลการ...”
“...”
“ถ้าออกไป ต้องให้คุณเขารับรู้ก่อนเท่านั้นจ้ะ”
เอ่ยตอบเสียงเบาหวิว พลันดวงหน้างามฉายแววไม่พอใจทันที...ห้ามออกไปข้างนอกด้วยตัวเองโดยพลการอย่างนั้นหรือ จะไปที่ไหนก็ต้องขออนุญาตเลยหรืออย่างไร
น่าหงุดหงิดเสียจริง
เื่อะไรที่จะต้องยอมก้มหัวฟังคำสั่งของคนอื่นด้วย ตัดสินใจเองก็ไม่ได้ ต้องรอให้คนอื่นจูงจมูกพาไปที่นั่นที่นี่ตลอดเลยหรืออย่างไร ร่างขาวเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย โบกพัดผ้าไหมในมือด้วยท่าทางทะนงตน ก่อนจะลุกออกจากเก้าอี้ แล้วเอ่ยพูดอย่างไม่ยี่หระ
“เื่อะไรที่ฉันจะต้องสนใจ”
“ดะ เดี๋ยวสิจ๊ะคุณวัชร์!”
ลูกหล้าร้อนรนรีบวิ่งตามไปจนแทบจะล้มหน้าทิ่มพื้น ขาสั้น ๆ ของตนจะก้าวตามคนสูงเพรียวอย่างคุณวัชร์ได้อย่างไร ได้แต่ร้องปรามตามหลัง แต่เ้าตัวก็ทำหูทวนลมเสียอย่างนั้น ก่อนวัชรินทร์จะเริ่มขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นอีกครั้ง เมื่อเดินมาถึงประตูใหญ่แล้วถูกชายในชุดสูทจำนวนสองคนยืนขวางเอาไว้เสียก่อน
“หลบไป”
“ห้ามออกไปไหนมาไหนคนเดียวโดยพลการครับ”
พลันผู้ฟังขมวดคิ้วแน่นเป็ปม หุบพัดในมืออย่างแรง ทั้งดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่ตวัดมองสองคนตรงหน้าอย่างไม่พอใจ ทว่านอกจากความนิ่งจนน่าหงุดหงิดแล้ว ก็ไม่ได้รับปฏิกิริยาใดกลับมาอีก
“คิดว่าฉันเป็สัตว์ที่อยู่ในกรงหรือยังไง”
“ยังไงก็ออกไปไม่ได้ครับ”
ครั้นเมื่อพยายามหลบเลี่ยงเดินไปทางอื่น ก็ยังไม่วายถูกตามมาขวางกันทุกครั้งไป วัชร์เม้มปากเป็เส้นตรงแล้วสบถเสียงเบากับตัวเองด้วยความรู้สึกหงุดหงิดเต็มพิกัด สะบัดมือไล่ใครก็ตามที่กล้ามาแตะต้องตนออกไป ดวงตากลอกไปมาอย่างใช้ความคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะเปลี่ยนเส้นทางเดินเป็เลียบกำแพงรั้วไปโดยไม่พูดอะไรอีก
แม้จะเพิ่งได้ทำหน้าที่วันนี้ แต่คนซื่ออย่างลูกหล้าก็คิดว่านายของตนจะต้องมีแผนการที่ไม่น่าไว้ใจแน่ ๆ ได้แต่เลียบเคียงเดินตามไปอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ พอเห็นคุณเขาหยุดเดินกะทันหัน ลางสังหรณ์ก็เริ่มทำงานทันที
“คะ คุณวัชร์จะทำอะไรจ๊ะ”
“ห้ามออกทางประตูไม่ใช่หรือ”
“...”
ดวงตาคมสวยจ้องมองความสูงของรั้วกำแพงอยู่นาน ริมฝีปากขบเม้มเข้าหากันเล็กน้อย ราวกับกำลังกะระยะอะไรบางอย่าง ก่อนประโยคต่อมาจะทำเอาลูกหล้าใจนแทบจะเป็ลม
“ถ้าอย่างนั้นก็ปีนรั้วออกไป”
“!!!”
วัชร์รู้สึกราวกับเป็นักโทษที่ถูกกักขังอยู่ในอาณาจักรแสนงดงาม ทว่าเต็มไปด้วยตรวนพันธนาการน่าอึดอัด ยิ่งถูกบีบบังคับให้อยู่ในกรอบมากเท่าไร ก็ยิ่งรู้สึกอยากจะต่อต้านมากขึ้นเท่านั้น...เมื่อตัดสินใจได้ ร่างเพรียวก็เริ่มปีนรั้วกำแพงทันทีอย่างคล่องแคล่ว
เหตุการณ์วุ่นวายเกิดขึ้นหลังจากนั้น เมื่อทุกคนมายืนออกันอยู่ที่รั้วกำแพง ทว่าไม่มีใครสามารถรับมือกับความดื้อดึงของวัชรินทร์ได้เลยสักคน กระทั่งตอนนี้เ้าตัวก็แทบจะข้ามไปอีกฝั่งได้อยู่รอมร่อ
ลูกหล้าหันซ้ายหันขวาด้วยความร้อนรน อีกไม่นานคุณไท่ก็คงจะกลับมาแล้ว หากได้มาเห็นภาพนี้เข้าคงจะไม่ดีแน่...แค่นี้ยังทะเลาะกันไม่พออีกหรือยังไง
“คะ คุณวัชร์...ถ้าคุณวัชร์ออกไป ทุกคนในนี้อาจจะถูกคุณไท่สั่งลงโทษทั้งหมดนะจ๊ะ!”
!!!
เด็กหนุ่มป้องปากะโเสียงสั่นคล้ายอยากร้องไห้ คราวนี้วัชรินทร์ชะงักทั้งดวงตาที่เริ่มสั่นไหว แต่ก็ยังช้าไป เมื่อตัวเขาเริ่มเสียการทรงตัว จนต้องรีบะโลงไปที่อีกฟากหนึ่งของกำแพง
ตุบ!
“อูย...”
ร่างขาวหล่นลงมาบนพื้นด้วยท่วงท่าที่ไม่ค่อยจะดีนัก ใบหน้างามเหยเกด้วยความเจ็บ ยกข้อศอกขึ้นมาดูรอยถลอกและเืที่ซึมออกมาเล็กน้อย แต่นั่งสำรวจตัวเองได้ไม่นานก็ต้องชะงักไป เมื่อเริ่มรับรู้ได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง
ภาพที่เห็นเป็อันดับแรกคือรองเท้าหนังขัดมันอย่างดี และกางเกงขายาวสีเข้มที่แทบไม่มีรอยยับเลยแม้แต่หนึ่งส่วน วัชร์หยุดสายตาไว้เพียงเท่านั้นแล้วลอบเม้มริมฝีปากเข้าหากัน เมื่อเงยหน้าขึ้นมองจึงพบว่าเป็สามีของตน...ดวงตาคมกริบจ้องมองกันแน่นิ่ง ทว่าเรียวคิ้วกลับแอบขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
...ซูเหวินกำลังอารมณ์เสียไม่น้อยเลย
“ตามเฮียเข้าไปข้างใน”
“...”
“หรือต้องให้เฮียลากเธอไป”
เมื่อเดินนำมาแล้วยังเห็นว่าตัวต้นเื่ยังคงเอาแต่ยืนอยู่ที่เดิมจึงหันมาถามกันอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่กดต่ำลง วัชร์ส่งเสียงร้องฮึดฮัดกับตัวเอง ถึงอย่างนั้นก็ยอมเดินตามไปแต่โดยดี
บรรยากาศภายในห้องโถงใหญ่ตกอยู่ในความเงียบจนน่าอึดอัด วัชร์รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นักโทษที่ก่อวีรกรรมั้แ่วันแรกที่เข้ามาอยู่ในเรือนจำ ครั้นเมื่อเห็นผู้เป็สามี ซึ่งนั่งอยู่บนโซฟาหันมามองกันก็เชิดหน้ามองกลับอย่างไม่ยอมแพ้เช่นกัน
ซูเหวินอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวและกั๊กสูทสีเข้ม ใบหน้าหล่อเหลาไร้ที่ติยังคงฉายแววเรียบเฉย แม้จะได้เห็นปฏิกิริยาดังกล่าวจากภรรยา เขาเพียงถอดนาฬิกาข้อมือยี่ห้อดีวางไว้บนโต๊ะข้างเก้าอี้ เพื่อให้ตนสามารถขยับข้อมือได้ถนัดมากยิ่งขึ้น...น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยพูดขึ้นเปิดบทสนทนา
“อย่าคิดทำอะไรโดยพลการแบบนั้นอีก”
“...”
“ที่นี่เขตพระนคร ไม่ใช่เชียงใหม่ ที่นึกอยากจะไปที่ไหนก็ไปได้ทันทีตามใจคิด”
“...”
“ได้ฟังที่พูดบ้างหรือเปล่า”
ในกระแสความราบเรียบของน้ำเสียง กลับถูกแฝงไปด้วยถ้อยคำตำหนิและความรู้สึกไม่พอใจในตัววัชร์อย่างชัดเจน เขารู้สึกแสนชังความเ็าและไม่แยแสแบบนี้เหลือเกิน ั้แ่เล็กจนโตก็แทบไม่มีอะไรแตกต่าง...แต่วัชรินทร์ในวันนี้นั้นปีกกล้าขาแข็ง กล้าต่อล้อต่อเถียงกับผู้เป็สามีด้วยอารมณ์ที่เริ่มคุกรุ่นไม่น้อยไปกว่ากัน
ในวินาทีนี้ วัชร์รู้สึกอยากเป็ผู้ชนะเหลือเกิน
ชายหนุ่มจงใจแค่นหัวเราะออกมาหนึ่งคำ บนดวงหน้างามยังคงไม่ทิ้งคราบของความยโสและเย่อหยิ่ง แล้วเอ่ยถามกลับด้วยประโยคที่ทำเอาหลายชีวิตในบริเวณนั้นขนแขนลุกชัน เมื่อมันไม่ต่างไปจากการราดน้ำมันลงไปในกองเพลิงเลยสักนิด
“ทำไมวัชร์จะต้องฟังด้วย”
พลันมือที่กำลังรินน้ำจากเหยือกใส่จอกชาชะงักไปกะทันหัน ดวงตาคมสีรัตติกาลหรี่ลงเล็กน้อย แล้วเอ่ยถามทวนอีกหนึ่งครั้ง
“ไม่ฟังงั้นหรือ”
“ใช่...ไม่ฟัง”
จังหวะการตอบนั้นเชื่องช้า ทว่าชัดเจน พลันบรรยากาศระหว่างกันที่น่าอึดอัดอยู่ก่อนแล้ว ยิ่งทวีความย่ำแย่หนักกว่าเก่า แว่วได้ยินเสียงแค่นหัวเราะทุ้มต่ำดังขึ้นในลำคอหนึ่งคำ จอกชาถูกวางลงบนจานรองไม่เบาแรงนักจนเหล่าหญิงรับใช้ในบริเวณนั้นสะดุ้งตามกันเป็แถบ ๆ
คุณวัชร์ช่างมีความสามารถเื่การยั่วโมโหสามีเสียจริง
ซูเหวินหยัดกายลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วค่อย ๆ เดินเข้ามาหา กระทั่งเหลือระยะห่างระหว่างกันอยู่เพียงน้อยนิด ดวงตาคมมองผู้เป็ภรรยา ราวกับกำลังมองเด็กน้อยอวดดีคนหนึ่ง ร่างขาวเริ่มรู้สึกไม่สู้ดี ทำท่าจะถอยหลังหนึ่งก้าว แต่ก็ช้าไปเสียแล้ว
อวดดีเหลือเกินนะ
!!!
“เดี๋ยว---”
น้ำเสียงถูกกลืนหายไป ทั้งที่ยังพูดไม่ทันจบคำ เมื่อถูกคว้าข้อมือกะทันหันแล้วดึงให้เดินตามกันไปยังบริเวณโซฟาตัวยาวที่อยู่ไม่ไกล วัชร์พยายามยื้อยุดอยู่หลายครั้งหลายครา แต่ก็ยังแพ้อีกฝ่ายที่มีพละกำลังมากกว่ากันหลายเท่าตัว แม้จะไม่ได้ถูกบีบข้อมือแน่นเป็คีมเหล็ก แต่พยายามสะบัดออกเท่าไรก็ไม่หลุดเสียที
“ทะ ทำอะไร!! ปล่อยวัชร์ลงไปนะ!!”
ซูเหวินนั่งลงบนโซฟา ก่อนจะดึงผู้เป็ภรรยาตามลงไปอยู่ในท่วงท่าแปลกประหลาด วัชร์เริ่มใจนโวยวายออกมาเสียงดัง เมื่อตนถูกจับนอนคว่ำพาดไปบนตักของอีกฝ่าย บั้นท้ายถูกจัดให้แอ่นขึ้นในตำแหน่งที่ถนัดมือพอดี พลันดวงหน้างามขึ้นสีเดี๋ยวแดงเดี๋ยวคล้ำ ไม่รู้ว่าด้วยอารมณ์โกรธหรืออับอายที่ตนต้องตกอยู่ในท่วงท่าเช่นนี้กันแน่
“ปล่อยวัชร์!!!”
“มาอยู่ได้ไม่เท่าไรก็ทำคนอื่นวุ่นวายไปทั่ว เคยรู้สึกผิดบ้างไหม”
“เหอะ!”
ร่างขาวแค่นหัวเราะใส่แล้วพยายามจะดิ้นหนีลงจากตัก ในขณะที่ซูเหวินเพียงออกแรงเล็กน้อยก็สามารถดึงรั้งกันไว้ได้โดยง่าย แขนเสื้อเชิ้ตถูกพับขึ้นไปถึงบริเวณข้อศอก ดวงตาคมหลุบลงมองอีกฝ่าย แล้วเอ่ยอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่กดต่ำลง
“เฮียถามก็ตอบ ปากมีไว้เถียงเป็อย่างเดียวหรือ”
วัชร์จินตนาการไม่ออกเลยว่าสามีของตนกำลังทำสีหน้าอย่างไร ถูกจับให้อยู่ในท่วงท่าน่าอายไม่พอ ยังต้องรวบรวมสติมาตอบคำถามกันอีกหรือ...แท้จริงแล้วเขารู้สึกผิดและอยากขอโทษทุกคนเหลือเกิน แต่ก็เลือกที่จะแสดงกิริยาหยาบกระด้างออกมา ด้วยทิฐิอันมากล้นและนิสัยแพ้ไม่เป็
คนอายุน้อยกว่าเอี้ยวใบหน้าไปมองกันเล็กน้อย แล้วสวนกลับไปอย่างดื้อดึง
“วัชร์ไม่รู้สึกผิดเลยสักนิด---อ๊ะ!!”
เพียะ!!
“ดื้อด้านเหลือทน”
ฝ่ามือฟาดลงกับบั้นท้ายไม่เบาแรง พลันคนถูกลงโทษสะดุ้งสุดตัว ทั้งโกรธทั้งอายที่ถูกจับนอนคว่ำตีก้นไม่ต่างไปจากเด็ก ครั้นเมื่อหายใก็เริ่มหันไปแยกเขี้ยวขู่ใส่อีกครั้ง
“ไอ้!!”
“ไอ้หรือ”
เพียะ!
“โอ๊ย!”
บั้นท้ายถูกฟาดใส่อีกครั้งจนวัชร์สะดุ้ง ดิ้นไม่หลุดเสียทีจนต้องกำมือทุบกับโซฟาเพื่อระบายอารมณ์ คนอายุมากกว่าเอนหลังพิงกับพนักด้วยท่วงท่าผ่อนคลาย เอ่ยพูดเสียงเรียบ ทว่าภายในแววตากลับฉายแววตำหนิและเอาเื่อยู่ไม่น้อย
“ระวังปากหน่อย”
น่าโมโหเหลือเกิน!
“ซูเหวิน!! มันจะเกินไปแล้วนะ---”
เพียะ!!
“ฮึก วัชร์เจ็บ!!”
“ถ้าเลิกเถียง เฮียก็จะหยุดตี”
“...”
วัชรินทร์หอบหายใจถี่กระชั้น เอี้ยวหน้าไปตวัดสายตามองผู้เป็สามีราวกับกำลังคิดแผนการล้างแค้นอยู่ในใจ แต่กระนั้นก็ได้แต่กัดฟันกรอดแล้วสงบเสงี่ยมคำพูด จะได้ไม่ถูกตีก้นอีก...ฝ่ายคนอายุมากกว่า เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มสงบลงแล้วจึงเริ่มอธิบาย
“เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน มีคนของเราถูกยิงตายที่เยาวราช”
“...”
“หลายวันก่อน แม่บ้านที่ไปซื้อของก็เกือบจะถูกพวกนักเลงอริลากไปทำมิดีมิร้าย...โชคดีที่มีคนไปช่วยเอาไว้ทัน”
“...”
“ถ้าอยากพาตัวเองไปอยู่ในที่อันตรายนัก พรุ่งนี้ก็เชิญตามสบาย”
สิ้นประโยค พลันคนดื้อดึงชะงักไป ทั้งดวงตาสีสวยที่สั่นไหวเล็กน้อย จากที่ยืนกรานอย่างหนักแน่นว่าจะไปให้ได้ ตอนนี้กลับเริ่มลังเลและไม่อยากไปเสียแล้ว...ร่างสูงผ่อนแรงที่พันธนาการกันลง แต่ก็ยังไม่วายเอ่ยวาจาค่อนขอดจนผู้ฟังโมโหจนตัวสั่น
“เพิ่งจะรู้ว่าคุณวัชร์เป็ประเภทเก่งแต่ปาก อย่างอื่นไม่เห็นเก่งอย่างที่คิดไว้”
!!!
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อวัชร์ที่เพิ่งได้รับอิสระรีบหันไปจู่โจมราวกับงูแว้งกัด หมายจะข่วนหน้าของอีกฝ่ายให้เละ ผู้เป็สามีไหวตัวหลบทัน แต่ก็ยังถูกฝากรอยเล็บข่วนจาง ๆ ไว้บริเวณข้างกรอบใบหน้า...ซูเหวินเกลี่ยปลายลิ้นดุนที่ข้างกระพุ้งแก้ม ก่อนจะตอบโต้กลับทันที
“อึก!”
เพียงไม่กี่วินาทีต่อมา วัชร์ก็ถูกจับพลิกให้เป็ฝ่ายนอนอยู่เบื้องล่าง ข้อมือทั้งสองข้างถูกจับรวบเอาไว้เหนือศีรษะแล้วกดลง พร้อมร่างของอีกคนที่ขึ้นมาอยู่เหนืออาณัติ...ดวงตาทั้งสองคู่สบประสานกัน คนหนึ่งกรุ่นโกรธเป็ฟืนเป็ไฟ ในขณะที่อีกคนหนึ่งแววตาเรียบเฉยจนเดาอารมณ์ไม่ออก
“โกรธนักหรือ”
“ใช่...วัชร์โกรธจนอยากจะข่วนหน้าคุณให้เละ แล้วเหยียบให้จมดิน”
ซูเหวินพยักหน้ารับรู้ ไม่ได้ใกับสิ่งที่ตนได้ยินเลยแม้แต่น้อย
“แล้วทำได้หรือเปล่า”
“...”
มาถึงคำถามนี้ คนที่ตกอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบได้แต่กัดฟันกรอด แล้วส่งสายตาราวกับจะฆ่าจะแกงไปให้เท่านั้น แว่วได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มต่ำราวกับกำลังเย้ยหยันกันอยู่เนือง ๆ
“น่าสงสารเสียจริง”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้