อาจเป็เพราะสีหน้าขณะพูดของซูฉางอันแลดูจริงจังมากเกินไปตู้เหว่ยจึงหน้าเสียไปในทันที เขาโบกมือไปมาอย่างอารมณ์ไม่ดี จากนั้นก็ปิดปากเงียบแล้วะโขึ้นไปนั่งบนหลังม้าก่อนจะพาขบวนทหารสามร้อยนายที่มาด้วยกันมุ่งหน้าไปที่เมืองหลานหลิงที่ตั้งอยู่บริเวณตีนดอยในที่สุด
ซูฉางอันมองใบหน้าบูดบึ้งของตู้เหว่ยด้วยความประหลาดใจเขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคนที่เพิ่งพูดเป็ห่วงเป็ใยเื่การเดินทางของตนเมื่อครู่นี้ถึงทำท่าทางราวไม่อยากสนใจตนทั้งยังมีสีหน้าเปลี่ยนไปราวคนละคน ั้แ่มาที่เมืองฉางอัน เขาก็พบกับเื่ที่ไม่เข้าใจและเจอคนที่ดูไม่ออกมามากมายเหลือเกิน เหตุนี้เขาจึงเคยชินกับการไม่สนใจที่จะวิเคราะห์เื่ที่ตนไม่อาจเข้าใจได้ไปตั้งนานแล้วแถมตอนนี้ก็ยังมีเื่สำคัญกว่าต้องไปทำ
“ไปกันเถอะ” ฉู่ซีฟงเดินมาแตะบ่าซูฉางอันจากนั้นก็เดินตามหลังกองกำลังพยัคฆ์ไปที่เมืองหลานหลิงอย่างใจเย็น
ซูฉางอันขานรับ และเตรียมจะเดินตามไปแต่จู่ๆ ก็รับรู้ได้ว่าบางอย่างในตันเถียนของตนเกิดการเคลื่อนไหวขึ้นเขาตระหนักได้ถึงความไม่ชอบมาพากลบางอย่าง จึงชะงักฝีเท้าลงอย่างกะทันหันและในตอนที่เขากำลังจะวิเคราะห์และััให้ละเอียดว่าเหตุการณ์เมื่อครู่เกิดขึ้นเพราะเหตุอันใดเมื่อเขาตั้งสติได้อีกครั้ง ความรู้สึกเมื่อครู่ก็หายไปเสียแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย จนเขาอดคิดไม่ได้ว่าความรู้สึกเมื่อครู่เป็เื่ที่ตนคิดไปเองหรือไม่
เขาเงยหน้ากลับมามองทางเบื้องหน้าอีกครั้งตอนนี้ฉู่ซีฟงกับตู้เหว่ยเดินนำไปไกลกว่าร้อยเมตรแล้วซูฉางอันส่ายหัวเพื่อไล่ความคิดในหัวออกไป จากนั้นจึงวิ่งเหยาะๆตามฉู่ซีฟงไปอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้น จู่ๆลมอันแสนพิสดารก็พัดผ่านตำแหน่งที่ซูฉางอันเคยยืนอยู่ไปอย่างกะทันหันพลันเงาสีดำก็ค่อยๆ ปรากฏอยู่เหนือกองใบไม้แห้งในเวลาต่อมา
ร่างนั้นอยู่ในชุดคลุมสีดำขนาดใหญ่เผยให้เห็นเพียงดวงตาสีแดงเข้มที่ไม่มีลูกตาขาวเท่านั้นซึ่งนอกจากจะแยกเพศไม่ออกแล้ว ยังไม่เห็นใบหน้าของคนผู้นี้อีกด้วยขณะจ้องไปยังกลุ่มคนที่กำลังมุ่งหน้าไปที่เมืองหลานหลิง เงาดำก็กระเพื่อมขึ้นอย่างต่อเนื่องราวกำลังหัวเราะอย่างไร้เสียงเช่นนั้น ในขณะเดียวกัน หมอกที่แต่เดิมค่อยๆ สลายไปก็หนาทึบมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัวในพริบตา
ซูฉางอันที่เพิ่งเดินไปประชิดตัวฉู่ซีฟงราวจะรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่างเขาหันกลับไปมองเนินเขาด้านหลังด้วยความสงสัย เงาในชุดคลุมสีดำจึงสะดุ้งเฮือกดวงตาสีแดงเบิกกว้าง ทันใดนั้น ลมอันแสนพิสดารก็พัดเข้ามาอีกครั้งเพียงพริบตาเดียวเท่านั้น ร่างนั้นก็หายวับไปเสียแล้ว
ซูฉางอันมองเนินเขาที่ว่างเปล่าเื้ัก่อนจะส่ายหัว แล้วตำหนิตัวเองที่หวาดระแวงมากจนเกินไปในใจ ลดความกระวนกระวายที่เริ่มก่อตัวขึ้นภายในใจลงแล้ววิ่งตามกลุ่มคน มุ่งหน้าไปที่เมืองหลานหลิงต่อทันที
ประตูเมืองของเมืองหลานหลิงช่างใหญ่โตโอ่อ่าทั้งกว้างราวห้าเมตร และสูงถึงสี่เมตรเลยทีเดียว กล่าวได้ว่ามีขนาดใหญ่ไม่แพ้ประตูเมืองของเมืองติดชายแดนก็ว่าได้ อย่างไรเสียที่นี่ก็เป็เมืองที่อยู่ติดกับเมืองฉางอัน จึงมีหลายเื่ที่พิเศษไปจากที่อื่นๆแต่นั่นก็แสดงให้เห็นแล้ว ว่าก่อนหน้านี้ เมืองหลานหลิงเคยรุ่งเรืองมากถึงเพียงใด
ยามพวกเขามาถึงที่หน้าประตูเมืองก็พบว่าบานประตูตรงหน้ายังคงแง้มเปิดอยู่ บนกำแพงเมือง ธงที่เขียนคำว่า ‘กู่’ เขียนติดเอาไว้ยังโบกไสวไปตามแรงลม ทุกอย่างดูจะปกติมากราวกับเมืองตรงหน้าเป็เมืองเล็กๆ ที่แสนธรรมดา เมืองที่เมื่อเดินผ่านประตูเข้าไปก็จะพบกับบ้านเรือนของประชาชน ได้เห็นวิถีชีวิตอันแสนเรียบง่ายของชาวเมืองราวกับว่าทุกอย่างยังคงปกติดี ไม่มีสิ่งใดแปลกไปเช่นนั้น
แต่กลิ่นคาวเืที่คละคลุ้งแสบจมูกผนวกกับกลิ่นเหม็นเน่าจากศพที่กระจายออกมาจากเมืองส่งกลิ่นย้ำเตือนพวกเขาเสมอว่าด้านหลังของประตูบานนี้ เป็ศพของประชาชนนับหลายพันณ เวลา่หนึ่ง เมืองหลานหลิงแห่งนี้เคยเป็มาตุภูมิเป็นครที่พวกเขาใช้ชีวิตอยู่อย่างผาสุข แต่ ณ ปัจจุบัน นคราแห่งนี้กลับกลายเป็สุสานที่แม้นยามอาสัญก็มิอาจตายตาหลับของพวกเขา
ตู้เหว่ยที่เดินนำอยู่หน้าสุดยืนลังเลอยู่หน้าประตูเมืองเล็กน้อยจนเมื่อรับรู้ได้ถึงสายตาสงสัยจากซูฉีฟง จึงยอมกัดฟัน แล้วเดินนำเข้าไปในที่สุด
สภาพภายในเมืองช่างน่าสังเวชมากกว่าที่ตู้เหว่ยจิตนาการเอาไว้มากเหลือเกินเหตุการณ์การฆ่าล้างเมืองผ่านมาตั้งหลายวันแล้วและเพราะเหตุการณ์ในครั้งนี้โหดร้ายและทารุณมากกว่าครั้งใดใดทางราชสำนักจึงไม่ได้ส่งทหาร หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาจัดการเื่ศพแต่กลับสั่งให้ยอดนักปราบโจร โกซานหยุนและกู่เซี่ยนจวินที่รับอาสามาด้วยตนเองเข้ามาสืบคดีนี้แทน บางทีสำหรับราชสำนักแล้วการตามหาคนร้ายที่แท้จริงและนำตัวมาลงโทษเพื่อให้ประชาชนหายแค้นดูจะเป็เื่ที่สำคัญมากที่สุดแล้วและการหายตัวไปอย่างปริศนาของกู่เซี่ยนจวินกับโกซานหยุนในเวลาต่อมาก็ทำให้เหตุการณ์ที่น่าเหลือเชื่อนี้แลดูน่าหวาดหวั่นมากกว่าเดิมหลายเท่าตัวข่าวลือที่น่าหวาดกลัวย่อมทำให้เ้าหน้าที่เก็บศพรู้สึกหวาดกลัวไปด้วยจึงละเลยเื่การเก็บศพภายในเมือง แล้วหันไปสืบเื่การหายตัวไปแทนทางราชสำนักถึงขั้นส่งเทพนักรบแห่งแผ่นดินต้าเว่ย และกองกำลังพยัคฆ์กองกำลังพิเศษที่มีจำนวนพลเพียงไม่มากแค่นี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าราชสำนักให้ความสำคัญกับเื่นี้มากเพียงใดอย่าเพิ่งนับรวมเื่ความไม่พอใจที่ประชาชนมีต่อเื่นี้เลยลำพังแค่เื่การหายตัวไปของกู่เซี่ยนจวิน โหวเยหัวแก้วหัวแหวนของตระกูลกู่ก็ทำให้ราชสำนักหันมาให้ความสำคัญกับเื่นี้ได้มาก อย่าลืมเสียเล่าว่ากู่ชิงฟงประมุขแห่งตระกูลกู่ เป็ถึงหนึ่งในเจ็ดนักรบแห่งดาราจักร เขาออกไปปกป้องบ้านเมืองไปปกปักแผ่นดินทางเหนือแทนต้าเว่ยมาเป็เวลานาน หากเขาโกรธ ความโมโหของเขาไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะยอมรับได้แน่...
และเป็เพราะเหตุผลนี้ศพที่นอนเกลื่อนไปทั้งเมืองจึงถูกทิ้งเอาไว้ ไม่มีใครมาเก็บศพจำต้องทิ้งให้พวกเขาเน่าและนอนเกลื่อนอยู่บนพื้นดินต่อไป
ตู้เหว่ยเป็ถึงเทพนักรบแห่งแผ่นดินต้าเว่ยเคยเจอคนตายมามากจนนับไม่ถ้วนแล้ว อย่าว่าแต่แค่หนึ่งพันคนเลยแม้แต่ในหลุมที่ใช้ฝังคนหลักหมื่น เขาก็เคยขุดมาแล้วแต่เพราะคนเ่าั้เป็ทหารในกองทัพ ไม่ว่าจะเป็ทหารของฝ่ายเรา หรือศัตรูไม่ว่าคนเ่าั้จะเป็เผ่าปีศาจ หรือเผ่าหมานจากตะวันตก ทุกคนล้วนเป็นักรบในาดังนั้น วินาทีที่ก้าวเข้าไปในสนามรบก็เท่ากับว่าคนเหล่านี้เตรียมพร้อมสำหรับความตายแล้ว
แต่ภาพตรงหน้าต่างออกไปเพราะศพที่นอนเกลื่อนอยู่บนพื้นดินเบื้องหน้าไม่ใช่ทหารแต่เป็เพียงสามัญชนที่ไม่มีทางสู้เท่านั้น ตู้เหว่ยไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าเป็เพราะอะไรเหตุใดคนชั่วพวกนั้นถึงยอมเสี่ยงตายมาทำเื่ชั่วช้าสารเลวเพียงนี้ได้
เขาหน้าเสียไปทันทีที่ได้เห็นภาพของศพที่นอนเกลื่อนอยู่เต็มเมืองในสภาพเละจนแทบจะมองไม่ออกตรงหน้าแม้แต่กองกำลังพยัคฆ์ที่มาด้วยกันเหล่าทหารชั้นดีที่มีสีหน้านิ่งเรียบมาตลอดทางก็ยังหน้าถอดสีกับภาพที่น่าสยดสยองไม่ต่างไปจากขุมนรกตรงหน้าเลย
ตู้เหว่ยปรายตามองไปที่ซูฉางอันกับฉู่ซีฟงครู่หนึ่งฉู่ซีฟงยังมีสีหน้าเ็า นิ่งเรียบ ราวกับมองไม่เห็นภาพรอบๆ อย่างไรอย่างนั้นทางด้านซูฉางอันเอง แม้จะมีสีหน้าเย็นะเืลงไปกว่าเดิมเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้มีท่าทีประหลาด หรือตกอกใอะไรมากมาย นั่นทำให้ตู้เหว่ยรู้สึกยกย่องเด็กหนุ่มตรงหน้าขึ้นมาเล็กน้อยอย่าว่าแต่ประชาชนธรรมดาเลย แม้แต่ทหารทั่วไปที่เคยทำามาหลายปีเมื่อได้มาเห็นภาพเช่นนี้ก็ยังอดคลื่นไส้ไม่ได้ แม้แต่กองกำลังพยัคฆ์กองกำลังชั้นดีของแผ่นดินต้าเว่ยที่มาด้วยกันก็ยังมีสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปเลยทว่าซูฉางอันเป็เด็กที่เพิ่งมีอายุเพียงไม่มากเท่านั้นแต่เขากลับยังรักษาความสงบเอาไว้ได้ เหตุการณ์นี้ทำให้ตู้เหว่ยต้องมองจอมดาราหนุ่มที่ทำให้ลูกชายของตนอับอายขายหน้าใหม่อีกครั้ง
เมื่อได้เห็นเช่นนั้นหากตู้เหว่ยยังดูไม่ออกว่าฉู่ซีฟงกับซูฉางอันพิเศษไปจากคนอื่นอย่างไรแล้วก็คงเสียชื่อเทพนักรบแห่งแผ่นดินต้าเว่ยมิใช่น้อย
ตอนนี้เขาเลิกรู้สึกดูถูกซูฉางอันกับฉู่ซีฟงอย่างสิ้นเชิงแล้วแต่ตู้เหว่ยก็ยังโยนความชื่นชมที่เกิดขึ้นหลังได้เห็นปฏิกิริยาของคนทั้งสองหลังเข้ามาในเมืองทิ้งไปอยู่ดีเพราะเขาเข้าใจดีว่าในครั้งนี้ นอกจากการสืบหาความจริงเื่การหายตัวไปของโหวเยแห่งตระกูลกู่แล้วอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญมากยิ่งไปกว่านั้นก็คือการแย่งผลงานในครั้งนี้มาเป็ของตนเพื่อช่วยให้องค์รัชทายาทได้ขึ้นครองราชย์เพื่อช่วยให้องค์รัชทายาทมีอำนาจมากขึ้นนั่นเอง
เขามองไปที่ฉู่ซีฟง แล้วประสานมือเข้าด้วยกันในท่าทำความเคารพ “สหายฉู่เมืองหลานหลิงแห่งนี้มีขนาดใหญ่ไม่น้อย หากเราหาหลักฐานพร้อมกันเกรงว่าย่อมทำให้เื่นี้ล่าช้ามากกว่าที่ควรแต่ตอนนี้เรายังไม่รู้เลยว่าโหวเยน้อยแห่งตระกูลกู่กับโกซานหยุนเป็ตายร้ายดียังไงบ้างข้าว่าเราแบ่งกันออกเป็สองกลุ่มแล้วหาหลักฐานรวมไปถึงเบาะแสที่ตน้ากันเองดีไหม”
เขาพูดราวเป็บุรุษผู้ทรงคุณธรรมน่าสนใจจริงๆ ฟังเผินๆ อาจเหมือนที่เขาพูดมามีเหตุผล แต่ความจริงแล้วเขาเพียง้ากำจัดซูฉางอันกับฉู่ซีฟงไปให้พ้นทางเสียต่างหากเช่นนั้นย่อมได้สะดวกต่อการทำงานมากขึ้นและแน่นอนว่าตู้เหว่ยที่มีทหารมาด้วยมากถึงสามร้อยคน ย่อมทำงานสำเร็จอยู่แล้วในตอนแรก เขาคิดว่าฉู่ซีฟงจะมาขอยืมกำลังทหารไปจากตนจึงคิดข้ออ้างที่จะใช้ในการปฏิเสธเอาไว้ั้แ่แรกแล้ว
แต่คิดไม่ถึงว่าทันทีที่สิ้นเสียงฉู่ซีฟงก็พยักหน้าขึ้นมาเสียนี่ “ได้”
เขาตอบกลับไปเร็วมากทั้งยังสั้นและกระชับมาก ราวรอให้อีกฝ่ายพูดคำๆ นี้มานานแสนนานแล้ว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้