เล่มที่ 1 บทที่ 26 ปราณกระบี่อิ๋นเหวิน
หนึ่งชั่วยามถัดมา ในที่สุดหวังหลิงกวนก็พาหลินเฟยมาถึงหุบเขาเวิ่นเจี้ยน
ไม่ว่าจะเป็ชาตินี้หรือชาติก่อน ที่แห่งนี้ล้วนเป็ที่พักของเ้าสำนักทุกรุ่น ชั่วขณะที่ก้าวเข้ามา เมื่อได้เห็นภาพที่คุ้นเคยตรงหน้า ก็ทำให้ภาพในความทรงจำเมื่อหมื่นปีก่อน คล้ายจะปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง...
มีศิษย์ตัวน้อยสองคนกำลังรอพวกเขาอยู่ เด็กน้อยคารวะพวกเขาก่อนจะนำทางเข้าไป โดบหวังหลิงกวนที่กุมอำนาจลงทัณฑ์นั้น สามารถเข้าออกทางเทียนหยวนนี้ได้ทุกเมื่อ ตลอดทางที่ผ่านมา ยมบาลหวังผู้นี้ก็ไม่ได้เ็าสักเท่าไรนัก มีชวนคุยบ้างเป็ครั้งคราว ทำให้หลินเฟยต้องมองคนตรงหน้าใหม่ แม้จะเป็คนไม่ค่อยพูดและมีใบหน้าที่ไร้ซึ่งอารมณ์ แต่กลับมีท่าทีเป็กันเองเหลือเกิน...
สำหรับศิษย์สายตรงที่กุมอำนาจเช่นนี้ หลินเฟยเองก็ไม่ได้รังเกียจที่จะเข้าไปทำความรู้จักแต่อย่างใด พวกเขาคุยกันตลอดทาง ไม่นานก็มาถึงลานทงิซึ่งเป็สถานที่หารือของเหล่าผู้าุโและเ้าสำนัก
วันนี้ท่านเ้าสำนักไม่ได้นั่งอยู่บนบัลลังก์ปรึกษากับเหล่าผู้าุโตามเคย เขาเอาแต่นั่งอ่านคัมภีร์อย่างผ่อนคลายอยู่ที่ริมหน้าต่างพลางฟังเสียงสายลมพัดผ่านหนองบัวที่อยู่ด้านนอก เมื่อเห็นทั้งสามคนเดินเข้ามา ก็ผายมือไปยังที่นั่งด้านข้าง หมายจะให้นั่งลงก่อน
“ศิษย์หลานทั้งสอง นั่งก่อนสิ”
“ศิษย์หวังหลิงกวน จากหุบเขาเทียนสิง คารวะอาจารย์อา” ถึงแม้เ้าสำนักจะไม่ได้ดูเข้มงวด แต่หวังหลิงกวนก็ยังคงทำความเคารพอย่างตั้งใจ ก่อนจะนั่งลงด้านข้าง
“ศิษย์หลินเฟยจากหุบเขาอวี้เหิง คารวะอาจารย์อา”
เมื่อเห็นดังนั้น หลินเฟยเองก็ทำตามบ้าง หลังจากนั่งลงแล้ว สายตาก็เอาแต่จ้องมองไปที่เ้าสำนักอย่างใคร่รู้
เ้าสำนักดูอายุไม่มาก ประมาณสี่สิบกว่าปีเห็นจะได้ ใบหน้าเกลี้ยงเกลาไร้ซึ่งหนวดเคราใดๆ อาภรณ์สีนวลสะอาดตาแฝงไปด้วยบารมีของผู้บำเพ็ญชั้นสูง ท่าทีขณะอ่านคัมภีร์ ก็ดูไม่เหมือนผู้บำเพ็ญชั้นสูงที่เก่งกล้า แต่กลับเหมือนบัณฑิตแก่เรียนผู้หนึ่งมากกว่า...
หลินเฟยรู้ดีว่าการเป็ถึงเ้าสำนักได้ ย่อมไม่ได้มีฝีมือเพียงบัณฑิตที่ดูอ่อนแอตามที่เห็นแน่นอน
เ้าสำนักมีนามว่าเฉียนหยวน ครั้นอดีต นักพรตคุนอู๋ออกไปท่องโลกกว้างและได้พาเด็กหนุ่มคนหนึ่งกลับมาด้วย เป็เด็กน้อยอายุประมาณสิบห้าปี แลดูสุภาพอ่อนโยน แม้แต่น้ำเสียงที่พูดก็เต็มไปด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตนราวกับชั่วชีวิตนี้จะไม่มีเื่ทะเลาะกับใครได้อย่างแน่นอน
เด็กหนุ่มผู้นี้ถูกนักพรตคุนอู๋รับมาอุปการะ เนื่องจากพ่อแม่ของเขาถูกโจรสิบสามอาชาในแถบเป่ยจิ้นฆ่าตายจนหมด ตัวเขาเองก็ไม่มีภาระอะไรต้องทำมากนัก จึงพาเขากลับมาที่สำนักเวิ่นเจี้ยน เมื่อพินิจดูแล้ว พร์ของเขาก็ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว แต่กลับมีนิสัยที่ดูจะอ่อนแอไปหน่อย...
ในขณะนั้น นักพรตคุนอู๋ก็ใกล้จะบรรลุขั้นฟ่าเซิน จึงไม่มีเวลาอบรมศิษย์คนนี้เท่าไร จึงฝากเขาไว้กับศิษย์น้องในสำนัก ซึ่งก็คือนักพรตหมาอีที่เป็เ้าสำนักคนก่อน นับแต่นั้นมา เด็กน้อยคนนี้ก็ได้ก้าวเข้าสู่โลกแห่งการบำเพ็ญเต็มตัว แต่ก็เหมือนกับที่นักพรตคุนอู๋เคยกล่าวไว้ “เพราะมีนิสัยอ่อนแอ ไม่คิดแก่งแย่งกับใคร” ทำให้มีท่าทีเอื่อยเฉื่อยต่อการฝึกฝนบำเพ็ญอยู่บ้าง
แล้วก็เป็เช่นนี้ถึงสามสิบปี...
สามสิบปีถัดมา ก็เกิดเื่ใหญ่สะท้านฟ้าดินขึ้น นักพรตคุนอู๋คิดฝืนลิขิต์ กลับพ่ายแพ้ให้กับจิตมารในใจ ทำให้ธาตุไฟเข้าแทรกจนเสียสติ ไล่เข่นฆ่าผู้คนไปทั่วถึงเจ็ดวันเจ็ดคืนเต็มๆ เขาทำลายล้างทุกสิ่งที่ขวางหน้า ั้แ่สำนักฉางเซิงยันหุบเขาปู้เหล่า ผู้บำเพ็ญทั่วเป่ยจิ้งถูกฆ่าตายไปไม่น้อย สุดท้ายสิบสำนักใหญ่จึงได้ร่วมมือกัน และสังหารนักพรตคุนอู๋ได้ในที่สุด
ต่อให้นักพรตคุนอู๋ล่วงลับไปแล้ว แต่สำนักที่เหลือทั้งเก้าก็ไม่ยอมรามือ คิดฉวยเอาร่างไปศึกษาหาสาเหตุที่นักพรตคุนอู๋มีอาการคลุ้มคลั่งขึ้นมา
เวลานั้นเอง เด็กหนุ่มเมื่อสามสิบปีก่อนก็ได้ก้าวออกมาเพื่อขัดขวางเอาไว้ เพื่อไม่ให้พวกเขาได้นำร่างนักพรตคุนอู๋ไป เขาโคจรเคล็ดวิชากระบี่ต้าหยินหยาง จนทะลุขั้นบำเพ็ญฟ่าเซี่ยง ก่อนจะประกาศกร้าวว่า “หากผู้ใดก้าวเข้ามาในรัศมีหนึ่งจ้างละก็ เขาจะะเิร่างตัวเองให้ตายตกไปพร้อมกัน” จึงไม่มีใครกล้าเข้าใกล้อีกเลย แม้จะเป็หนึ่งในยอดฝีมือจากเก้าสำนักก็ตาม สำนักเวิ่นเจี้ยนจึงได้นำร่างนักพรตคุนอู๋กลับไปฝังที่สุสานดาบในที่สุด...
ทว่าผลของการฝืนบำเพ็ญกลับทำให้ตบะหยุดอยู่เพียงขั้นฟ่าเซี่ยงเท่านั้น ไม่อาจพัฒนาได้อีกต่อไป...
เมื่อสามสิบปีก่อนนักพรตคุนอู๋เคยกล่าวไว้ “เฉียนหยวนอาจบรรลุขั้นฟ่าเซินในอีกห้าร้อยปีข้างหน้า... ”
แต่ทุกอย่างกลับสูญสลายไปพร้อมกับภัยพิบัติคุนอู๋
แม้จะผ่านมาหลายร้อยปีแล้ว แต่เฉียนหยวนก็ยังหยุดอยู่ที่ขั้นฟ่าเซี่ยงเท่านั้น จากนั้นเขาก็ได้รับสืบทอดตำแหน่งเ้าสำนักต่อจากนักพรตหมาอี
และบัดนี้เขาก็กำลังนั่งอยู่ไม่ไกลจากหลินเฟย...
“ข้ารู้เื่ที่แม่น้ำหยินแล้วนะ ทำได้ไม่เลวเลยทีเดียว คงต้องลำบากศิษย์หลานเสียแล้ว...” เ้าสำนักวางคัมภีร์ในมือลง ก่อนจะหันไปมองหลินเฟยด้วยสายตาที่แสนภูมิใจ
“ขอบคุณสำหรับคำชมของอาจารย์อา...”
“หากปีศาจขั้นเยาตี้หลุดออกมาถึงสำนักเวิ่นเจี้ยนละก็ ไม่ใช่แค่ไร้ผู้ต่อกรเท่านั้น แต่คงบอบช้ำไม่น้อยเลย เ้าสามารถหยุดภัยพิบัตินี้ได้ก็ถือว่าสร้างคุณงามความดีใหญ่หลวงยิ่งนักแล้ว สำนักเวิ่นเจี้ยนเองก็แยกแยะคุณโทษชัดเจน การที่เ้าทำร้ายนายน้อยสำนักเทียนซือ จึงต้องถูกส่งไปกักตัวที่ถ้ำเสวียนปิง และบัดนี้เ้าได้สร้างคุณความดี โดยสามารถยับยั้งภัยพิบัติได้อีก ทางสำนักเองก็สมควรที่จะตกรางวัลให้ ไหนลองว่ามาสิ เ้า้าอะไร? ”
“หื้อ?”
“เอาเถอะ ไม่ต้องเกรงใจไป เ้าเองก็คงรู้จักนิสัยอาจารย์เ้าดี หากเขารู้ว่าศิษย์ตัวเองสร้างความดีความชอบใหญ่หลวงขนาดนี้ แต่กลับไม่ได้รับรางวัลอะไรเลยละก็ เกรงว่าคงจะมาหาเื่ถึงหุบเขาเวิ่นเจี้ยนจนไม่มีวันสงบสุขได้เป็แน่...” เ้าสำนักกล่าวพร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆ ก่อนจะมองมาที่หลินเฟย
“ศิษย์หลานไร้อาวุธคู่กายเช่นนี้ คงเป็เพราะทำกระบี่หล่นหายตอนอยู่ที่แม่น้ำหยินสินะ?”
‘เ้าสำนักช่างปราดเปรื่องอะไรเช่นนี้’
“ถ้าเป็อย่างนั้นก็ดี หลายวันก่อนมีคนมอบแร่อิ๋นเหวินให้ข้ามาก้อนหนึ่ง สามารถนำไปหลอมกระบี่ได้พอดี ศิษย์หลานเองก็อยู่ขั้นย่างหยวน สมควรที่จะบำเพ็ญกายกระบี่ได้แล้ว เช่นนั้นข้าขอมอบแร่อิ๋นเหวินนี้ให้ จงนำไปให้ผู้าุโอู๋ช่วยหลอมแล้วกัน”
“แร่อิ๋นเหวินอย่างนั้นหรือ?” หลินเฟยถึงกับตากระตุกทันที ไม่คิดว่าจะมีโชคหล่นจากฟ้ามาเช่นนี้ ตอนอยู่ที่ถ้ำเสวียนปิง เขายังเป็กังวลอยู่เลยว่าจะหาแร่โลหะมาได้อย่างไร ไม่คิดเลยว่าอยู่ดีๆเ้าสำนักจะมอบรางวัลชิ้นโตนี้ให้เขา
แร่อิ๋นเหวินไม่ใช่แร่ทั่วๆไป แต่มันเป็แร่ขั้นโฮ่วเทียน แม้จะสู้แร่ไท่อี๋ที่เป็แร่ชั้นเซียนเทียนไม่ได้ แต่มันก็ถือเป็ของหายากเลยทีเดียว หากเป็สำนักเล็กๆทั่วไปได้มันไปหลอมกระบี่ละก็ คงได้เป็ศาสตราวุธประจำสำนักแน่ ปราณทองของมันมีพลังมากกว่าแร่เหล็กทั่วไปมหาศาล หากหลินเฟยหลอมรวมเป็พลังของตนได้ ก็คงจะทำให้ปราณกระบี่ไท่อี๋มีพลังเข้าใกล้ขั้นย่างหยวนที่แท้จริงมากขึ้น
แต่สิ่งสำคัญก็คือ แร่อิ๋นเหวินก็ย่อมมีมนต์สะกดสายหนึ่งเช่นกัน หากใช้เคล็ดจูเทียนฝูถูกลืนกินเข้าไป ดีไม่ดีอาจจะเกิดเป็ปราณกระบี่อิ๋นเหวินเพิ่มเหมือนปราณกระบี่ไท่อี๋ก็เป็ได้
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้