หลังจากพักผ่อนในจวนสองสามวัน ฝูเอ๋อร์ก็เริ่มนั่งไม่ติดอีกแล้ว
เนื่องจากอยู่ใน่พักฟื้นร่างกาย แม้ว่าฝูเอ๋อร์จะลงจากเตียงมาเดินได้ ทว่าก็ทำได้เพียงเดินเท่านั้น
เื่ราวน้อยใหญ่ล้วนมอบให้เจี่ยงอิงเอ๋อร์ดูแล ส่วนนางทำได้เพียงมองดูอยู่ข้างๆ แทบจะเบื่อจนขึ้นราแล้ว
ฝูเอ๋อร์เริ่มรบเร้าให้ไป๋เซี่ยเหอพานางออกไปข้างนอก
“คุณหนู ท่านบอกว่าอาการป่วยต้องสูดอากาศสดชื่นให้มาก รักษาอารมณ์ให้เบิกบานไม่ใช่หรือเ้าคะ? ท่านพาบ่าวออกไปเดินเล่นเถิด ท่านดูสิ บ่าวขนขึ้นหมดแล้วเ้าค่ะ”
ไป๋เซี่ยเหอมองฝูเอ๋อร์อย่างละเอียด ก่อนจะพยักหน้าอย่างครุ่นคิด
“ผมของเ้ายาวขึ้นอีกแล้ว”
ฝูเอ๋อร์หลุดหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ นางเอ่ยอย่างโกรธเคือง “คุณหนู เลิกแกล้งบ่าวได้แล้ว พาบ่าวออกไปเดินเล่นนะเ้าคะ”
ไป๋เซี่ยเหอถูกฝูเอ๋อร์ตามตื๊อจนหมดหนทาง “ย่อมได้ เ้าอยากออกไปเองนะ หากได้รับาเ็เป็ครั้งที่สอง ข้าจะไม่สนใจเ้าแล้ว”
ฝูเอ๋อร์เบะปากเล็กๆ พึมพำเสียงเบา “ถ้าเป็เช่นนั้น พี่อิงเอ๋อร์จะดูแลบ่าวเอง”
ฝูเอ๋อร์คือสาวน้อยที่ร่าเริงและมีชีวิตชีวา ทั้งยังไม่คิดมาก ผู้ใดที่อยู่ใกล้นางมักถูกความบริสุทธิ์และความมีเมตตาของนางดึงดูดได้อย่างง่ายดาย
แม้แต่อิงเอ๋อร์ที่เงียบขรึมและเ็า ตอนนี้ยังปฏิบัติกับฝูเอ๋อร์ราวกับน้องสาวแท้ๆ ก็ไม่ปาน
ไป๋เซี่ยเหอชำเลืองมองนาง “เช่นนั้นเ้าก็ให้พี่อิงเอ๋อร์ของเ้าพาเ้าออกไปเที่ยวเล่นแล้วกัน”
ใบหน้าเล็กเปลี่ยนเป็เซื่องซึม ฝูเอ๋อร์เอนตัวพิงขาของไป๋เซี่ยเหอราวกับเด็กน้อยจอมซน “คุณหนู คุณหนูคนดีของบ่าว บ่าวสำนึกผิดแล้วเ้าค่ะ”
หลังจากเอะอะโวยวายกันสักพัก ทั้งสามคนก็เตรียมตัวออกไปเที่ยวเล่นทันที
่สายเป็่เวลาที่ครึกครื้นที่สุดในเมืองหลวง
ผู้คนบนถนนก็พลุกพล่านเป็อย่างยิ่ง
“คุณหนู ชากับขนมของร้านนี้อร่อยจริงๆ เลยเ้าค่ะ”
ไป๋เซี่ยเหอค้นพบร้านนี้โดยบังเอิญ มันตั้งอยู่ในจุดที่ไม่ค่อยมีคนผ่าน บรรยากาศของร้านเงียบสงบ ส่วนขนมก็มีรสชาติอร่อย
ท่าทีของฝูเอ๋อร์ดูราวกับหมาน้อยที่กินมังสวิรัติมาหลายปี ทว่าจู่ๆ กลับได้ลิ้มลองรสชาติของเนื้อสัตว์ แม้จะกินอาหารบำรุงตอนพักฟื้นร่างกายมาหลายวัน ก็ยังตะกละตะกลามจนอดไม่ไหว
เมื่อได้เห็นบรรดาขนมที่ถูกทำขึ้นอย่างประณีต ก็หยิบมันขึ้นมาแล้วยัดเข้าปากอย่างไม่หยุดยั้ง
พวงแก้มดูกลมพองยิ่งกว่าเดิม
เหมือนชางสู่[1]ตัวกลมไม่มีผิด
ไป๋เซี่ยเหอรินชาอูหลงมะลิแล้ววางไว้ตรงหน้านาง “อย่าเอาแต่กิน ดื่มชาสักหน่อยจะได้ไม่สำลัก”
เจี่ยงอิงเอ๋อร์เอามือกุมหน้าผาก นางรู้สึกปวดศีรษะเล็กน้อย พลางยื่นมือไปดึงชุดของไป๋เซี่ยเหอ
“คุณหนู เราสองคนไปเดินเล่นกันก่อนเถิดเ้าค่ะ ท่านดูสายตาของคนอื่นที่มองเราสิ เหมือนเรากำลังทารุณนางอย่างไรอย่างนั้น”
สายตาประณามและเห็นอกเห็นใจถูกส่งมาทางโต๊ะนี้ไม่ขาดสาย
ไป๋เซี่ยเหอยิ้มเล็กน้อย กำลังเตรียมที่จะเปิดปากพูด จู่ๆ ก็มีคนส่งเสียงอุทานอยู่ด้านหลัง จากนั้นก็มีเสียงฝีเท้าตรงมาที่โต๊ะของนาง
“ไป๋เซี่ยเหอ เป็เ้าจริงๆ หรือ?”
ความประหลาดใจบนสีหน้าของเด็กสาวในชุดกระโปรงสีชมพูหายวับไป ก่อนจะแทนที่ด้วยความโกรธเคือง สีหน้าเปลี่ยนเป็ดุร้ายทันที
“เส้นทางศัตรูแคบเสียจริง”
นางกัดฟันเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำ เห็นได้ชัดว่าความเกลียดชังลึกล้ำเพียงใด
หากไม่ใช่เพราะสถานะของไป๋เซี่ยเหอในตอนนี้สูงส่งจนนางไม่กล้าลงมือ เกรงว่าจะทำเื่แล่เนื้อเถือหนังแล้ว
ไป๋เซี่ยเหอเป่าชาในมืออย่างไม่รีบร้อน จากนั้นก็ยกถ้วยชาขึ้นจิบอึกหนึ่ง ก่อนจะชำเลืองมองกู้ิเยวี่ยอย่างไม่ใส่ใจ ทำเป็มองไม่เห็นความโกรธเคืองของนาง
“ะโโลดเต้นได้เร็วเพียงนี้ ดูเหมือนว่าจะถูกโบยไม่หนัก”
อินทรีโลหิตของเซ่อเจิ้งอ๋องลงมือเองจะไม่หนักได้อย่างไร? ตอนนี้นางยังเจ็บบั้นท้าย ไม่กล้านั่งอยู่เลย
“เ้ายังกล้าพูดอีกนะ ต้องโทษปีศาจอันตรายอย่างเ้า หากไม่ใช่เพราะเ้า ข้าจะได้รับาเ็หนักเพียงนั้นได้อย่างไร?”
“ผู้ที่สั่งให้โบยเ้าไม่ใช่ข้า”
นิ้วมือขาวของไป๋เซี่ยเหอยกกาน้ำชาเล็กบนโต๊ะขึ้นมา ก่อนจะเทน้ำชาใส่ถ้วยให้ตนเองด้วยท่าทีสบายๆ
ท่าทางสบายอารมณ์ของนางได้ทิ่มแทงดวงตาของกู้ิเยวี่ยอย่างลึกล้ำ
กู้ิเยวี่ยโมโหจนหน้าแดงและตัวสั่น
“หากไม่ใช่เพราะเ้ายุแยงตะแคงรั่ว เซ่อเจิ้งอ๋องจะสั่งโบยข้าโดยไร้เหตุผลได้อย่างไร? ทั้งหมดต้องโทษปีศาจอันตรายอย่างเ้า”
ริมฝีปากแดงของไป๋เซี่ยเหอโค้งขึ้นอย่างเหยียดหยาม “หากเ้าไม่ให้โอกาสนี้กับข้า ข้าจะทำร้ายเ้าได้อย่างไร?”
นางทำตัวเองชัดๆ
กู้ิเยวี่ยถลึงตามองไป๋เซี่ยเหอ ประกายแสงอันหนาวเหน็บพุ่งออกมาจากดวงตา
“ไป๋เซี่ยเหอ เ้ามีอะไรให้ลำพองใจ? เ้าก็แค่โชคดี จึงได้หมั้นหมายกับเซ่อเจิ้งอ๋องก็เท่านั้น หากผู้ที่หมั้นหมายกับเขาเป็ข้า ไหนเลยเ้าจะยังชูคอเช่นนี้ได้!”
“ถูกต้อง ข้าโชคดีจริงๆ นั่นแหละ” ไป๋เซี่ยเหอลุกขึ้น เหลือบมองไปที่กู้ิเยวี่ย “หากเ้ามีความสามารถ เ้าก็โชคดีให้ข้าเห็นสิ”
ทว่าในใจของไป๋เซี่ยเหอรู้สึกหดหู่อย่างยิ่ง ความรู้สึกที่บุรุษของตนถูกหญิงสาวคะนึงหาอย่างโจ่งแจ้งนั้น ทำให้นางไม่สบายใจจริงๆ
ไป๋เซี่ยเหอเอามือบีบคางของกู้ิเยวี่ย บังคับให้อีกฝ่ายสบตาด้วย ดวงตาของนางฉายแสงเย็นะเื “เ้าฟังให้ดี ฮั่วเยี่ยนไหวเป็ของข้า คนอื่นไม่อนุญาตให้คะนึงหา!”
“เ้าอาศัยอะไร?”
เดิมทีกู้ิเยวี่ยก็ต่ำต้อยกว่าไป๋เซี่ยเหออยู่แล้ว ตอนนี้นางโมโหจนกรีดร้องออกมา
“เขาคือเซ่อเจิ้งอ๋องที่มีเกียรติ ไม่ใช่สิ่งของของเ้าเพียงคนเดียว ข้าเต็มใจจะคะนึงหา ข้าก็จะคะนึงหา ข้าไม่เพียงแต่้าคะนึงหา ยัง้าแต่งเข้าจวนเซ่อเจิ้งอ๋อง และ้าขับไล่เ้าออกไปด้วย!”
เห็นอยู่ชัดๆ ว่านางแอบรักเซ่อเจิ้งอ๋องมาก่อนตั้งหลายปี แล้วอาศัยอะไรไป๋เซี่ยเหอถึงได้เป็พระชายาเซ่อเจิ้งอ๋อง? นางไม่ยอม!
เมื่อเห็นกู้ิเยวี่ยกล่าวด้วยความมั่นใจ ไป๋เซี่ยเหอก็แสดงท่าทีเย่อหยิ่งเ็าออกมา
“ข้าไม่สนว่าก่อนหน้านี้จะมีกี่คนที่คะนึงหาเขา แต่ในเมื่อเขาอยู่กับข้า นับแต่นี้ไปเขาย่อมเป็ของข้าแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น!”
ไป๋เซี่ยเหอกล่าวทิ้งท้ายอย่างเ็า ก่อนจะหมุนกายจากไปโดยไม่สนใจกู้ิเยวี่ยอีก
กู้ิเยวี่ยกระทืบเท้าด้วยความโมโหอยู่เื้ั
หลังเดินจากมา
สองมือของฝูเอ๋อร์ยังคงบิขนมที่ยังกินไม่หมด พลางพึมพำ “ไม่รู้ว่าผู้ใดมอบความกล้าให้คุณหนูกู้ผู้นี้ นึกไม่ถึงว่าจะกล้าวิ่งมาคุยโวต่อหน้าคุณหนู ทั้งยังบอกว่าจะแต่งเข้าจวนเซ่อเจิ้งอ๋อง และขับไล่คุณหนูออกไปอีก”
ฝูเอ๋อร์กลอกตาอย่างหนัก ก่อนจะยัดขนมเข้าปาก “ไม่ต้องพูดถึงท่านอ๋องหรอก บ่าวเองยังไม่ชอบนางเลยเ้าค่ะ”
“หากวันนี้ท่านอ๋องอยู่ด้วย และเห็นนางกล่าวจาบจ้วงคุณหนูเช่นนี้ บั้นท้ายของนางต้องถูกโบยจนเป็ลายอีกครั้งแน่เลยเ้าค่ะ”
ไป๋เซี่ยเหอยิ้มน้อยๆ “การรู้จักประมาณตนเองคือเื่ดี แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะทำเช่นนั้นได้”
เจี่ยงอิงเอ๋อร์ที่ถือดาบเดินอยู่ข้างๆ เอ่ยสำทับ “ไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็มนุษย์เช่นกัน”
ฝูเอ๋อร์มองเจี่ยงอิงเอ๋อร์ นางพูดไม่ออก ทำได้เพียงยกนิ้วโป้งให้อย่างเงียบงัน
“ได้โปรด ช่วยลูกของข้าด้วย ช่วยลูกของข้าด้วยเถิด”
เสียงกรีดร้องแหลมอย่างน่าสงสารดังแว่วมาจากมุมถนน หลายคนกรูกันไปห้อมล้อม เห็นเพียงผู้คนยืนมุงมืดฟ้ามัวดิน
“คุณหนู จะไปดูหรือไม่เ้าคะ?”
เจี่ยงอิงเอ๋อร์มุ่นคิ้ว เมื่อเห็นสายตาของไป๋เซี่ยเหอเคลื่อนไปทางนั้นก็เปิดปากถาม
“ดูเหมือนจะมีคนขอความช่วยเหลือ คุณหนู พวกเราไปดูกันเถิดเ้าค่ะว่าจะช่วยได้หรือไม่”
“รอเดี๋ยว”
เจี่ยงอิงเอ๋อร์คว้าตัวฝูเอ๋อร์ที่คิดจะไปร่วมวงชมความครึกครื้นเอาไว้ ก่อนจะเอ่ยด้วยใบหน้ามืดมน “เื่ที่ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเราก็ไม่ต้องไปเข้าร่วม คนอื่นจะเป็ตายอย่างไรก็ไม่เกี่ยวกับพวกเรา!”
ฝูเอ๋อร์ถูกถ้อยคำไร้ความเมตตาของเจี่ยงอิงเอ๋อร์ทำให้โมโหจนสีหน้าดูอึมครึมเล็กน้อย นางเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “พูดเช่นนี้ได้อย่างไร? ช่วยชีวิตคนได้บุญมากกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้นเสียอีก หากพวกเราสามารถช่วยได้ เหตุใดจึงจะไม่ช่วยเล่า?”
ทั้งสองคนยืนประจันหน้ากัน ทั้งยังมีความคิดต่างกัน ทว่าสิ่งที่เหมือนกันคือ สีหน้าล้วนไม่น่าดู
“อุ๊ย นี่ไม่ใช่พระชายาที่เป็หมอเทวดาหรอกหรือ?”
------------------------
[1] ชางสู่ หมายถึง แฮมสเตอร์