เล่มที่ 10 บทที่ 294 เศษเสี้ยวิญญา
“ปีศาจงั้นหรือ?” หลินเฟยไม่สนใจเื่ที่อีกฝ่าย้าให้ช่วยแม้แต่น้อย แต่กลับรู้สึกสนใจกับคำว่าปีศาจที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมามากกว่า…
“ก็คือสิ่งชั่วร้ายที่อยู่ในโลงศพหินนั่นแหละ…”
“สิ่งชั่วร้าย…” หลินเฟยได้ยินดังนั้นก็ยกยิ้มขึ้นมา ก่อนจะจ้องมองผู้เฒ่าเบื้องหน้าอยู่นาน สุดท้ายจึงปริปากถามออกมา
“เป็สิ่งชั่วร้ายที่ท่านหลงเหลือเอาไว้หลังจากตายไปสินะ?”
เมื่อสิ้นเสียงของหลินเฟย บรรยากาศรอบด้านก็พลันสะดุดลง!
เพราะผู้เฒ่าชราที่มีใบหน้าโอบอ้อมอารีกลับหุบยิ้มลง…
ทันใดนั้นก็มีกระแสไอเย็นเข้มข้นปกคลุมรอบด้าน แม้แต่บึงน้ำที่ลึกลงไปนับพันจ้างก็พลันถูกแช่แข็งไปด้วยเช่นกัน
และนี่ก็คือพลังของผู้บำเพ็ญจิงตันเก้าโคจร…
เพียงเศษเสี้ยวพลังก็ร้ายกาจระดับฟ้าดินแล้ว…
แต่ก็ยังดี…
ที่ทุกอย่างเกิดขึ้นเพียงพริบตาเดียวเท่านั้น
หลังจากทุกอย่างแปรเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน ผู้เฒ่าชราก็กลับรู้สึกไม่ถูกไม่ควร จึงรีบเก็บพลังกลับมา เพียงครู่เดียวกระแสไอเย็นเข้มข้นก็สลายไปพร้อมกับแรงกดดันมหาศาล กระทั่งสุดท้ายผู้เฒ่าชราก็ตัดสินใจกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มขมขื่น
“เป็ข้าผู้เฒ่าที่เสียกิริยาเอง…”
“หึหึ…”
“ทว่าข้ารู้สึกสนใจมากทีเดียว ว่าเ้ารู้เื่ได้อย่างไร?” ผู้เฒ่ายังคงจ้องมองหลินเฟย แม้จะไม่ได้ปล่อยแรงกดดันของผู้บำเพ็ญจิงตันเก้าโคจรออกมา แต่ก็ยังแตกต่างจากตอนแรกที่เจอกันซึ่งยังพอมีความเป็มิตรอยู่บ้าง…
เพราะคำพูดของหลินเฟยเมื่อครู่นี้ ช่างน่าใไม่น้อย…
“หึหึ สามจิตไม่ปรากฏเจ็ดิญญาก็ไม่แน่นอนเช่นนี้แหละ เพียงดูแวบเดียวก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนเป็ อีกทั้งพอเห็นสุสานและโลงศพหินก็รู้ได้ทันทีว่าน่าจะมีความเกี่ยวข้องกัน ข้าเองก็แค่ลองเดาดูเท่านั้น แต่คิดไม่ถึงว่าจะเดาถูก…”
คำพูดของหลินเฟยฟังดูสมเหตุสมผลมากทีเดียว เมื่อผู้เฒ่าชราได้ยินดังนั้น คิ้วที่ขมวดแน่นก็ผ่อนคลายลง…
แต่ว่าผู้เฒ่าชรากลับไม่รู้ว่าหลินเฟยนั้น ไม่ได้พูดเหตุผลที่แท้จริงออกมาแต่อย่างใด…
ใช่แล้ว แม้ผู้เฒ่าที่อยู่เบื้องหน้าจะมีสามจิตไม่ปรากฏเจ็ดิญญาไม่แน่นอน แต่หากมีสายตาหลักแหลมและความรู้ที่กว้างขวางละก็ ย่อมจะต้องดูออกว่าคนตรงหน้าแม้จะดูเหมือนคนธรรมดาทั่วไป แต่แท้จริงแล้วกลับเป็ิญญาเร่ร่อนเท่านั้น…
และสิ่งที่ทำให้หลินเฟยรู้เื่นี้ก็คือสุสานที่อยู่ข้างบึงน้ำนั่นเอง…
เมื่อชาติที่แล้ว หลินเฟยได้ต่อกรกับสำนักตงจี่อยู่หลายสิบปี แล้วเหตุใดจะไม่รู้ว่าจุดที่ฝังเ้าสำนักตงจี่แห่งนี้ จะมีัปกปักรักษาอยู่และมีสัญลักษณ์ของนกจิงอูสามขาปรากฏ…
ทว่าตอนนี้ภายในโลงกับมีสิ่งชั่วร้ายถือกำเนิดขึ้น แถมภายในสุสานยังมีิญญาเร่ร่อนอยู่อีกด้วย แล้วทั้งสองอย่างนี้ มีความเกี่ยวข้องอะไรกัน?
หลินเฟยเองก็ไม่เข้าใจว่าผู้เฒ่าเบื้องหน้านี้ เกี่ยวข้องอะไรกับสิ่งชั่วร้ายนั่น…
แต่ว่าหลังจากที่หลินเฟยออกมาจากสุสานพร้อมผู้เฒ่าชรา ขณะกำลังนั่งลงข้างบึงน้ำก็พลันเข้าใจขึ้นมาทันที…
ก่อนหน้านี้ก็บอกแล้วว่าผู้เฒ่าชรามีสามจิตไม่ปรากฏเจ็ดิญญาไม่แน่นอน หากจะเรียกว่าิญญาเร่ร่อนก็อาจจะไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะหากจะพูดให้ถูกก็คือผู้เฒ่าชราคนนี้ เป็เพียงเศษเสี้ยวิญญาของยอดฝีมือที่ดับสังขารไปเท่านั้น…
เพราะเมื่อใดที่ผู้บำเพ็ญบรรลุถึงขั้นมิ่งหุน เช่นนั้นสามจิตเจ็ดิญญาก็จะคงที่ ต่อให้ตายไป สามจิตเจ็ดิญญาก็จะไม่แตกสลายในทันที แต่จะยังคงวนเวียนไปเรื่อยๆ หรือไม่ก็กลายเป็อสุรกายไปเสีย และการทำเช่นนี้ จะสามารถช่วยรักษาจิติญญาเจินหลิงไม่ให้แตกดับลงไปได้…
หากสามจิตเจ็ดิญญาถูกผู้อื่นทำให้แตกสลายไปละก็ เช่นนั้นก็ถือว่าดับสังขารอย่างแท้จริง ตบะพลังที่บำเพ็ญมาทั้งชีวิตก็จะสูญสิ้นไปในพริบตา…
สำหรับผู้บำเพ็ญทั่วไปยังไม่เท่าไร…
แต่หากเป็ผู้บำเพ็ญขั้นจิงตันเก้าโคจรหรือผู้บำเพ็ญฟ่าเซี่ยงละก็ สามจิตเจ็ดิญญาจะแข็งแกร่งเป็อย่างมาก ต่อให้เป็เพียงเศษเสี้ยวที่หลงเหลือก็จะมีพลังร้ายแรงอยู่ดี และเพียงพอที่จะทำให้เกิดเป็มารปีศาจหรือสัตว์ประหลาดออกมาจำนวนมากทีเดียว…
เื่ที่เศษเสี้ยวิญญาสามารถสร้างสัตว์ประหลาดออกมาได้นั้น ไม่ได้เกี่ยวพันกับตอนมีชีวิตอยู่เลยไม่แต่น้อย เพราะจิตสำนึกจะดีหรือเลวนั้น ล้วนขึ้นอยู่กับความคิดเพียงขณะจิตเดียวเท่านั้น…
เมื่ออดีตตอนที่อยู่หอกระบี่ หลินเฟยเองก็เคยได้ยินว่าหลังจากอูอ๋องดับสังขารไป เขาก็กลายเป็เศษเสี้ยวิญญาไม่ยอมสลาย จึงก่อให้เกิดปีศาจจิ่วหยินาขึ้นมา ทำให้ที่รกร้างทางใต้กลายเป็นรกบนดิน…
แม้เ้าสำนักตงจี่จะไม่ร้ายกาจเท่าอูอ๋อง แต่ก็เป็ผู้บำเพ็ญชั้นสูงที่บรรลุขั้นฟ่าเซินเลยทีเดียว ต่อให้ดับสังขารไปจนกลายเป็เศษเสี้ยวิญญา ก็ย่อมเป็ไปได้ที่จะก่อให้เกิดสิ่งชั่วร้ายและิญญาเร่ร่อนขึ้น
หลังจากเห็นใบหน้าที่เปลี่ยนสีของผู้เฒ่าชรา หลินเฟยก็รู้ได้ทันทีว่าตนเองคิดถูก…
แต่ว่ารู้ได้อย่างไรนั้น คงไม่อาจบอกกล่าวได้…
เพราะไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าผู้เฒ่าที่ดูใจดีตรงหน้าคนนี้ จะเกิดจากเศษเสี้ยวิญญาของอดีตเ้าสำนักตงจี่…
“ที่จริงแล้ว ตอนที่ข้าตายก็รู้อยู่แล้วว่า หลายร้อยปีหลังจากนี้จะต้องมีสิ่งชั่วร้ายถือกำเนิดขึ้น…”
“หือ?”
“เพราะเมื่อครั้งอดีตข้าตายเพราะภัยพิบัติ และตอนที่สามจิตเจ็ดิญญายังไม่แตกสลายลง ในใจข้าก็เกิดความแค้นและไม่ยินยอม เช่นนั้นข้าจึงรู้ทันทีว่าไม่เกินพันปีให้หลัง จะต้องมีสิ่งชั่วร้ายถือกำเนิดขึ้นเป็แน่…”
“จึงมีโคมเขียวดวงนั้นปรากฏขึ้นมางั้นหรือ?” หลินเฟยได้ยินดังนั้น ก็ถึงกับใจกระตุกและนึกถึงโคมเขียวขึ้นทันที…
“ถูกต้องแล้ว…” ผู้เฒ่าชราได้ยินดังนั้นก็พยักหน้ารับ ก่อนจะเหม่อมองไปยังบึงน้ำกว้างใหญ่
“ดังนั้นข้าเลยสร้างโคมเขียวดวงนั้นขึ้นมา หวังว่าจะสะกดแรงอาฆาตนั่นเอาไว้ได้ แต่น่าเสียดายที่มีเวลาไม่มากพอ จึงหลอมโคมเขียวนั้นออกมาได้แค่มนต์สะกดห้าสิบสี่สายเท่านั้น ซึ่งไม่เพียงพอจะกดข่มแรงอาฆาตนั้นเอาไว้ได้…”
“มนต์สะกดห้าสิบสี่สายงั้นหรือ?”
หลินเฟยได้ยินเช่นนั้นก็ชะงักทันที
‘แล้วทำไมถึงมีแค่ห้าสิบสี่สายกันเล่า?’
‘เพราะจิงต้าไห่บอกว่า เพียงลำแสงของโคมสาดส่องลงมา ก็จะทำให้เหล่าอสุรกายในทะเลอูไห่มากมายแตกสลายกลายเป็ผุยผง แม้แต่าาอสุรกายกุ่ยตี้ที่ร้ายกาจยังไม่กล้าต่อกรด้วยซ้ำ พลังระดับนี้จะต้องใกล้ขั้นเซียนเทียนเป็แน่ แล้วจะมีมนต์สะกดเพียงห้าสิบสี่สายได้อย่างไร?’
“ภายหลังข้ายังได้ให้คนสร้างโลงศพหินนั่น…” ดูเหมือนผู้เฒ่าจะดูออกว่าหลินเฟยมีเื่ที่ยังคงสงสัยอยู่ จึงเอ่ยเสริมต่อ
“บริเวณเหนือโลงศพ มีเจินหลิงของัอยู่สามตนคอยบงการโคมเขียวเอาไว้ เช่นนั้นจึงมีพลังร้ายกาจเทียบเท่ามนต์สะกดเจ็ดสิบสองสาย…”
“อ่า เป็เช่นนี้นี่เอง…”
หลินเฟยได้ยินดังนั้น ก็เข้าใจขึ้นทันที…
ที่แท้ก็ใช้เจินหลิงของัทั้งสามบงการโคมเขียวเอาไว้ มิน่า เพียงลำแสงสาดส่องก็สามารถทำลายอสุรกายมหาศาลได้แล้ว สมกับผู้บำเพ็ญขั้นฟ่าเซินจริงๆ มีฝืมือที่แกร่งกล้านัก…
“แล้วทำไมหลังจากนั้นถึง…”
“ในตอนหลัง ก็มีสิ่งชั่วร้ายถือกำเนิดขึ้นภายในโลงศพหินนั่น แต่ก็ยังดีที่มีโคมเขียวและโลงศพหินคอยกดข่มเอาไว้ ทำให้สิ่งชั่วร้ายนี้ไม่สามารถหลุดออกมาได้…” เมื่อพูดถึงตรงนี้ ผู้เฒ่าชราก็แค่นหัวเราะออกมา
“และก็เป็เช่นนี้อยู่นาน กระทั่งมีผู้บำเพ็ญหนุ่มปรากฏขึ้น และเขาก็เห็นโลงศพหินกับโคมเขียวนั่น…”
“ผู้บำเพ็ญหนุ่มงั้นหรือ?” หลินเฟยได้ยินดังนั้นก็ใจกระตุกขึ้นมา ก่อนจะเอ่ยถามออกไป
“เื่นี้เกิดขึ้นั้แ่เมื่อใดกัน?”
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------