“นายท่าน เกรงว่าเราคงรอไม่ถึงวันนั้นแล้ว” คนที่อยู่ข้างกายเอ่ยเตือนซูจื่อเยี่ย
“ข้ารู้!” ซูจื่อเยี่ยตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ จากนั้นเอ่ยอีกว่า “แล้วอย่างไร?”
ใช่สิ แล้วอย่างไรเล่า?
เขาคือซูจื่อเยี่ย เชื้อพระวงศ์ของราชวงศ์โจว!
หลังจากหลิวเต้าเซียงแยกกับซูจื่อเยี่ยและไปซื้อของ เวลาก็สายมากแล้ว จึงออกแรงแบกตะกร้าแล้วเร่งไปปากทางตำบล ระหว่างทางเดินผ่านร้านขายของกิน แล้วนึกถึงน้องสามที่กำลังมีฟันงอกออกมาสองซี่ จึงชะงักฝีเท้าแล้วซื้อซาลาเปาหมูตรงแผงไปสิบลูกใหญ่ แบ่งให้ท่านพ่อกับท่านแม่กินคนละสามลูก ส่วนนางกับพี่สาวกินคนละสองลูก จากนั้นก็ซื้อของกินให้น้องสามอีกเล็กน้อย
เมื่อนางกลับถึงบ้าน หลิวซานกุ้ยยังไม่กลับมา ได้ยินมารดาบอกว่าบิดาผู้แสนดีพาคนขึ้นไปหาต้นไม้บนเขา วันนี้ทำเครื่องหมายไว้ วันรุ่งขึ้นจะขึ้นไปตัดไม้
“ท่านแม่ เราทำไส้อั่วเค็มกินเถิด วันนี้โชคดี ซื้อได้สี่ชุด!” หลิวเต้าเซียงอยากทำไส้อั่วเค็มสีทองและใส่ต้นกล้ากระเทียม เพียงแค่คิดก็หอมแล้ว ทำให้น้ำย่อยในท้องเริ่มทำงาน
จางกุ้ยฮัวเห็นท่าทางน้ำลายสอของบุตรสาวก็ยิ่งใจอ่อน
นางนึกภาพที่ทั้งครอบครัวแออัดกันอยู่ในบ้านหลังเดิม ตอนนั้นหลิวฉีซื่อจะทำไส้อั่วเค็มทุกปีใหม่พร้อมกับแขวนตากไว้ทั่วบ้าน และมักจะกำชับให้บุตรสาวคนรองจับตาดูที่บ้านไม่ให้แมวแอบขโมยไปกิน
นางไม่เคยรู้มาก่อนว่าเดิมทีบุตรสาวคนรองเองก็ชื่นชอบการกินไส้อั่วเค็มตากแห้งมาก เมื่อนึกได้ ในใจจึงเจ็บแปลบเล็กน้อย ด้วยเหตุนี้จึงยิ่งสงสารหลิวเต้าเซียง “แต่ก่อนเพราะแม่ไม่ดีเอง ตกลง ลูกบอกว่าทำอะไรก็ทำอันนั้นกันเถิด”
“ท่านแม่ เมล็ดพันธุ์ข้าวโพดมาจากไหนกัน?” หลิวเต้าเซียงสังเกตเห็นว่ามีเมล็ดข้าวโพดสีทองกองเต็มอยู่ในกระด้งข้างเตาครัว
จางกุ้ยฮัวยิ้ม “สวนด้านนอกมีที่ดินรกร้างไม่กี่ไร่ไม่ใช่หรือ? หากว่าปลูกอย่างอื่นเกรงว่านกคงจะมาทำรัง เราปลูกข้าวโพดดีกว่า ทั้งยังให้ไก่กินแมลงได้ อีกทั้งยังสามารถเก็บข้าวโพดได้ด้วย ถึงอย่างไรก็คงประหยัดค่าใช้จ่ายได้บ้าง อาศัย่ที่เพิ่งเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิ รีบปลูกไว้ ไม่แน่ว่าปีหนึ่งอาจจะปลูกได้สองรอบ”
เขตชิงโจวตั้งอยู่ทางทิศใต้ ยามที่อากาศร้อน่กลางวันจะยาวนาน อากาศหนาว่กลางวันจะสั้น
ชั่วพริบตาก็ผ่านไปอีกหลายวัน วันนี้หลิวเต้าเซียงกำลังช่วยงานจางกุ้ยฮัว ไส้หมูที่ซื้อจากตำบลคราวที่แล้วก็หมักเสร็จเรียบร้อย สองแม่ลูกกำลังตั้งราวไม้ไผ่ไว้ตากไส้อั่วเค็ม เมื่อไส้อั่วเริ่มแห้งบ้างจะได้นำมารมควัน
“ไม่ทราบว่าที่นี่คือบ้านของนายท่านหลิว หลิวซานกุ้ยใช่หรือไม่?”
เสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้นที่ประตูลานบ้าน
ในชนบทไม่เหมือนตระกูลใหญ่โต ซึ่งถือเื่ระยะห่างของชายหญิง
หลิวเต้าเซียงได้ยินเสียงและมองออกไปทางประตูบ้าน ผู้มาเยือนอายุราวสามสิบถึงสี่สิบปี แต่งกายด้วยชุดผ้าฝ้ายละเอียดและรองเท้าผ้าฝ้ายละเอียดสีดำหนึ่งคู่ ดวงตาของเขาเปล่งประกาย
จางกุ้ยฮัวไม่รู้จักผู้มาเยือน จึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ไม่ทราบว่าพี่ชายท่านนี้ ท่านคือใครหรือ? ข้าคือคนในครอบครัวของหลิวซานกุ้ย”
“โอ้ ที่แท้ก็น้องสะใภ้นี่เอง” ผู้มาเยือนทราบได้ทันทีและรีบเดินเข้ามา
จากนั้นก็ได้ยินเขาเอ่ย “คราวที่แล้วคุณหนูรองได้เกริ่นเื่ซื้อที่นากับนายท่านจิ่ว หลังจากนายท่านจิ่วกลับไปจึงบอกกับลุงใหญ่ของข้า ข้าคือนายหน้าในตำบล น้องสะใภ้สะดวกก็เรียกข้าว่าพี่จาง น้องสะใภ้วางใจได้ ในละแวกนี้คนที่ซื้อขายที่นา ไม่มีผู้ใดไม่รู้จักนายหน้าจาง ข้านั้นเคยขึ้นทะเบียนกับทางหน่วยงานราชการ เป็นายหน้าที่ดูแลโดยหน่วยงานราชการ”
จางกุ้ยฮัวไม่ค่อยเข้าใจสิ่งเหล่านี้ จึงไม่รู้ว่านายหน้าก็มีการแบ่งหลายระดับชั้น
“ท่านแม่ คราวที่แล้วข้าเจอกับนายท่านจิ่ว จึงบอกเื่ที่ท่านยาย้าซื้อที่นา”
หลิวเต้าเซียงหันกลับมาหานายหน้าจาง ยิ้มแล้วเอ่ย “ลำบากท่านอาจางแล้ว รีบเข้าบ้านก่อนเถิด ข้าจะไปรินน้ำชามาให้ท่านอาจาง”
นายหน้าจางมองดูเงาด้านหลังของหลิวเต้าเซียงที่จากไป และเอ่ยชมเชย “น้องสะใภ้มีบุตรสาวที่ดียิ่งนัก ต่อไปต้องมีบุญวาสนาเป็แน่”
คำพูดที่น่าฟังใครๆ ก็ชื่นชอบ ยิ่งไปกว่านั้น นอกจากคนในหมู่บ้าน จางกุ้ยฮัวเมื่อได้รับคำชมจากคนนอกเป็หนแรกก็ยิ่งดีใจ รู้เพียงว่าการย้ายออกมาจากบ้านเดิมนั้นเป็เื่ที่ถูกต้อง
“ท่านพี่จางชมเชยเกินไปแล้ว”
จางกุ้ยฮัวเชื้อเชิญเขาเข้าไปในห้องโถง แล้วขนเก้าอี้ในห้องโถงมาวางตรงระเบียงพร้อมกับเชิญให้นั่งลง
หลิวเต้าเซียงอาศัยจังหวะที่ชงน้ำชาวิ่งไปทางประตูหลังที่มีผู้คนอยู่มากมายพร้อมกับะโเรียกบิดา
หลิวซานกุ้ยที่อยู่ท่ามกลางฝูงชนก็หันมาตอบรับ และถามนางว่าเกิดอะไรขึ้น หลิวเต้าเซียงบอกเพียงว่ามีคนมาหาเขา แต่ไม่ได้เอ่ยว่าผู้มาเยือนคือนายหน้าจางที่มาจากตำบล
นางหยิบชาที่ชงแล้วมามอบให้นายหน้าจาง “ท่านอาจางดื่มน้ำชาก่อนเถิด พ่อข้ากำลังยุ่งอยู่ด้านหลัง อีกเดี๋ยวก็คงรีบมา”
“ไม่รีบๆ ข้ากำลังกระหายพอดี นั่งพักดื่มน้ำก่อนก็ดี”
ล้อกันเล่นแล้ว ครอบครัวตรงหน้าเป็แขกของนายท่านจิ่ว เขาที่เป็เพียงนายหน้าตัวจิ๋วจะกล้าสร้างปัญหาได้อย่างไรกัน
เมื่อหลิวซานกุ้ยมาถึง ชาในมือของนายหน้าจางก็ดื่มไปแล้วกว่าครึ่ง
ทั้งสองทักทายกัน นายหน้าจางจึงชี้แจงจุดประสงค์ที่มาในครั้งนี้อีกครั้ง
“ตอนที่นายท่านจิ่ววานให้ท่านลุงของข้ามาส่งข่าว บังเอิญข้าก็มีรายการอยู่ในมือพอดี เพียงแต่ว่าตอนนั้นพ่อบ้านท่านนั้นไม่ได้อยู่ที่นี่ ข้าเกรงว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง จึงยังไม่ได้มารบกวนนายท่านสาม”
นายหน้าจางพบปะติดต่อกับผู้คนทุกประเภทมาหลายปีแล้ว นี่เป็ครั้งแรกที่เขามาที่บ้านตระกูลหลิว จึงแอบมองสำรวจโดยรอบ เป็เพียงบ้านเกษตรกรทั่วไป แต่กำแพงที่กำลังสร้างกลับครอบคลุมพื้นที่หลายไร่ เขามองปราดเดียวก็รู้ว่าครอบครัวนี้ไม่ใช่ครอบครัวเกษตรกรธรรมดา ด้วยเหตุนี้เขาจึงเรียกหลิวซานกุ้ยว่านายท่านสาม
มันหมายถึงการให้ความเคารพ
“แบบนี้ก็เท่ากับว่าที่นาที่เรา้าซื้อนั้นได้ข่าวคราวมาแล้วหรือ?” หลิวซานกุ้ยนึกดีใจ
หากว่าแม่ยายของตนได้ย้ายจากหมู่บ้านห้าสิบลี้ที่ห่างไกลมายังละแวกตำบล นับว่าสะดวกยิ่งนัก
เพราะจากบ้านของเขาห่างจากตำบลเพียงแค่หกลี้เท่านั้น
นายหน้าจางแอบแฝงความหมายโดยนัยทิ้งไว้ในคำพูด เมื่อเห็นสีหน้าดีใจของเขา จึงรู้ว่าครอบครัวนี้้าซื้อที่นาจำนวนนั้นจริงๆ อีกทั้งในเื่ของเงินก็น่าจะไม่มีปัญหา
หลังจากพินิจดูแล้วก็เกิดความคิดในใจ
“ที่ครอบครัวพวกท่าน้าคือที่นาดีเก้าไร่และที่ดินรกร้างหกไร่ เพียงแต่ที่นาขนาดกลางๆ ใช่ว่าจะซื้อก็ซื้อได้เลย เดิมทีในมือของข้ามีที่ดินกระจัดกระจายอยู่ ส่วนใหญ่จะมีพื้นที่ประมาณสามถึงห้าไร่ แต่สามารถรวบรวมเข้าด้วยกันได้และอยู่ห่างกันไม่มาก เพียงแต่ที่ดินรกร้างไม่ได้อยู่ทิศทางเดียวกับที่นาเหล่านี้ ความเป็จริงคืออยู่ทิศตะวันออกหนึ่งแปลง ทิศตะวันตกหนึ่งแปลง ข้าจึงคิดว่า พวกท่านคงจัดการดูแลลำบาก เพราะเช่นนี้ในมือของข้ามีรายการอยู่พอดี จึงนำมาถามพวกท่านก่อนว่า้าซื้อหรือไม่”
คำพูดของเขาเป็ความจริง ใครที่ซื้อที่ก็หวังให้เป็ผืนเดียวกันเพื่อให้ง่ายต่อการดูแล
หลิวเต้าเซียงเป็พวกกลัวความยุ่งยาก เมื่อได้ยินว่าเขายังมีคำพูดต่อท้ายอีก จึงรีบถาม “รายการที่ท่านบอกคือจำนวนใช่หรือไม่? หากว่าต่างกันมากเกินไป เกรงว่าพวกเราจะไม่มีกำลังซื้อ”
“แม่สาวน้อยไม่ต้องร้อนใจ” นายหน้าจางหัวเราะพร้อมกับโบกมือ แล้วเอ่ย “หากว่าต่างกันมาก ข้าเองก็คงไม่เสนอขึ้น พวกเราที่เป็นายหน้ามักจะ้าให้ผู้ซื้ออย่างพวกท่านพึงพอใจจึงจะถูก ที่ดินผืนนี้ตั้งอยู่ทิศตะวันตกของตำบล ซึ่งอยู่ขอบตำบล ออกจากปากทางก็ถึง พวกท่านเองก็รู้ว่าตำบลเรามีแม่น้ำอยู่สายหนึ่ง และที่ดินผืนนี้อยู่ใกล้แม่น้ำ พื้นที่ทั้งหมดคือที่นาดีสิบไร่ ที่ดินรกร้างอีกห้าไร่”
หลิวเต้าเซียงรู้สึกไม่กระจ่าง จึงถามอีก “ในเมื่อเป็ริมแม่น้ำ ที่นาตรงนั้นน่าจะขายดี ข้าจำไม่ได้ว่าทิศตะวันตกของตำบลมีที่ดินรกร้างด้วยนี่นา ตำแหน่งที่ใกล้แม่น้ำย่อมรดน้ำได้ง่าย เกรงว่าคงถูกแย่งกันไปหมดแล้ว”
“ถนนหลักของตำบลนั้นเชื่อมจากทิศใต้สู่ทิศเหนือ ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือไม่ไกลออกไปเชื่อมกับหมู่บ้านของพวกท่าน ส่วนถนนสายหลักนั้นกลับอ้อมไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ พวกท่านคงไม่รู้ว่า แม่น้ำตรงนั้นเมื่อออกจากปากทางตำบลทางด้านทิศตะวันตกและตรงไปทางทิศใต้ ที่นาสิบไร่ของบ้านนั้นใกล้กับริมแม่น้ำพอดี ถัดจากที่นาก็เป็เนินเล็กๆ ว่ากันว่ามีพื้นที่ห้าไร่ แต่ข้าว่าน่าจะมีเจ็ดถึงแปดไร่ ทำนาอาจจะไม่ได้ แต่พอจะเพาะปลูกฝรั่งอะไรเทือกนี้ได้ ส่วนข้าวโพดคงไม่ดีนัก”
ที่นานี้สำหรับคนอื่นอาจจะไม่คุ้มเท่าไร แต่เฉินซื่ออายุมากแล้ว ย่อมไม่อาจทำงานที่ตรากตรำเกินไป หากว่าให้นางเพาะปลูกมันเทศ ซึ่งเป็งานที่นางทำจนเคยชินอยู่แล้ว จะได้มีงานให้ทำบ้างเล็กน้อย
หลิวเต้าเซียงยิ้ม “ฟังดูเหมือนเป็ที่ดินที่ดี”
นายหน้าจางยิ้ม “เป็อย่างที่คุณหนูกล่าว เพราะข้าคิดว่า หากไม่ใช่เพราะเ้าของที่คนนั้นตรวจสอบบัญชีรายปีกะทันหัน ไม่แน่ว่าที่ดินนั้นคงปล่อยทิ้งไว้เฉยๆ เพราะบรรพบุรุษของบ้านนั้นเดิมทีพักอยู่ที่ตำบลเรา เพียงแต่ว่าต่อมาหลานได้ดี จึงอพยพไปอยู่ที่ตัวเขต ใครจะรู้ว่าพอตกทอดมารุ่นสู่รุ่น กลับลืมพื้นที่ตรงนี้ไปหมดสิ้น ปีที่แล้ว เ้าของที่พบว่ายังมีที่ดินตรงนี้อยู่อีก เพียงแต่พื้นที่เล็กๆ เขาย่อมไม่เหลียวแลอยู่แล้ว แต่จะลำบากส่งคนมาเก็บค่าเช่าที่ตรงนี้โดยเฉพาะก็ไม่คุ้ม จึงคิดว่าอยากขายที่ตรงนี้ หากไม่ใช่เพราะนายหน้าห้ามมีที่นาเป็ของตนเอง ข้าก็คิดอยากซื้อไว้เองด้วยซ้ำ”
เขาแอบแฝงนัยไว้ด้วย ที่เหลือก็ต้องดูว่าครอบครัวนี้จะฟังความนัยของเขาออกหรือไม่
หลิวเต้าเซียงวิเคราะห์และเข้าใจได้ “เห็นที เ้าของที่ผู้นั้นจะไม่เหลียวแลพื้นที่เล็กๆ ตรงนี้ เพียงแต่ไม่ทราบว่าเขาระบุราคาไว้อย่างไรบ้าง?”
“ที่นาดีตรงนี้ราคาไร่ละหกตำลึง ที่ดินรกร้างไร่ละหนึ่งตำลึง เพราะว่าพวกเราที่เป็นายหน้าเคยขึ้นทะเบียนกับหน่วยงานราชการ ทุกครั้งที่มีการซื้อขายจำต้องจ่ายภาษี ด้วยเหตุนี้ค่าใช้จ่ายจึงสูงกว่าทั่วไปเล็กน้อย ทว่าคุณหนูวางใจได้ การซื้อขายที่เคยลงบันทึกจะไม่สามารถโกหกหลอกลวงผู้ซื้อและผู้ขายได้ เงินนั้นไม่ได้ผ่านมือข้า รอหลังจากเจรจาค้าขายจบสิ้น ข้าจะเชิญนายท่านสามไปโอนย้ายที่ที่ว่าการอำเภอ ถึงตอนนั้น นายท่านสามอาจจะต้องนำเงินไปมากหน่อย เพราะการโอนย้ายโฉนดนั้นมีค่าใช้จ่ายต่างหาก และค่าใช้จ่ายนี้ต้องจ่ายให้กับเ้าหน้าที่ราชการโดยตรง”
หลิวเต้าเซียงฟังแล้วรู้สึกเลื่อมใส นายหน้าที่ขึ้นทะเบียนกับหน่วยงานราชการนั้นค่อนข้างน่าเชื่อถือ จากนั้นจึงขอความรู้จากนายหน้าจางว่า เมื่อเทียบกับนายหน้าทั่วไปที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนนั้นแตกต่างกันอย่างไรบ้าง
“แม่สาวน้อยถามได้ถูกคนแล้ว ข้าที่เคยขึ้นทะเบียนจะมีหนังสือที่ได้รับจากหน่วยงานราชการ ทุกๆ งานล้วนทำอย่างถูกต้องและเป็ทางการ ส่วนนายหน้าที่ไม่ได้รับการยอมรับจากหน่วยงานราชการ ส่วนใหญ่ละโมบนัก ทั้งขึ้นราคาและกดราคา และรับส่วนต่างตรงกลาง พวกเขานั้นมีลูกล่อลูกชนมากมาย ที่สำคัญที่สุดคือ นายหน้าที่ไม่ได้รับการยอมรับจะไม่สามารถช่วยผู้ใดทำโฉนดสีแดงได้ โฉนดที่ถึงมือผู้รับนั้นเป็เพียงโฉนดสีขาวเท่านั้น หากจะพูดกันตามจริง โฉนดเหล่านี้ไม่นับ”
หลิวเต้าเซียงตระหนักได้ทันทีว่า นี่เป็เหมือนการซื้อขายคอนโดมิเนียมกับห้องพักขนาดเล็กในยุคปัจจุบันนั่นเอง
ในความเป็จริง นางคิดไว้แล้วว่าน่าจะเป็เช่นนี้ แต่เหตุผลที่ถามก็เพราะ้าให้บิดามารดาของนางมีความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
ในอนาคตเมื่อถึงคราวที่ต้องซื้อขายที่นาหรือบ้าน จะได้รู้ว่าควรใช้คนแบบไหนจึงจะวางใจได้
-----
