เมื่อพวกของสู่อ๋องซื่อจื่อไปกันแล้ว ชาวบ้านก็เริ่มสลายตัวกันไปเช่นกัน เสวียหลิงเฟิงถึงได้พูดกับหยางหนิงว่า “ซื่อจื่อไม่รู้จักสู่อ๋องซื่อจื่อหรือ?”
“ทำไมข้าต้องรู้จักเขาด้วย?” หยางหนิงพูดอย่างสง่างามว่า “หากอุดดมการณ์ไม่เหมือนกัน ก็อย่ามาคบค้าสมาคมกันเลย”
เสวียหลิงเฟิงยิ้มแล้วพูดว่า “นิสัยของซื่อจื่อ เหมือนท่านแม่ทัพมาก” เมื่อพูดถึงฉีจิ่ง สีหน้าของเสวียหลิงเฟิงดูเศร้าสลด ไม่รอให้หยางหนิงพูดอะไรก่อน แล้วพูดว่า “่นี้ในเมืองหลวงประกาศใช้กฎอัยการศึกอยู่ หากท่านซื่อจื่อไม่มีเื่สำคัญอันใด ก็อย่าออกมาข้างนอกเลย”
หยางหนิงรู้ว่าเสวียหลิงเฟิงหวังดีกับตน ในใจก็คิดว่าค่ายหู่เสินก็ถือเป็ของอย่างหนึ่งที่จิ่นอีโหวทิ้งเอาไว้ เขาพยักหน้าแล้วพูดว่า “ขอบคุณท่านอาเสวียที่เป็ห่วง ข้าจะจำเอาไว้”
เสวียหลิงรู้สึกชื่นชมเขายิ่งนัก เขาไม่พูดอะไรมาก พาคนของเขาเดินจากไปเลย
หลังจากเสวียหลิงเฟิงไปแล้ว เหล่ยหยงหู่ก็เดินเข้ามา เขาดูเคารพนอบน้อมมากกว่าก่อนหน้านี้เสียอีก ยกมือขึ้นคำนับแล้วพูดว่า “ท่านซื่อ... ซื่อจื่อ ฮูหยินท่านไม่สะดวกอยู่ที่นี่นานนัก นางบอกว่าไว้อีกสองสามวันจะเข้าไปขอบคุณท่านที่จวนด้วยตัวเอง”
หยางหนิงก็รู้แล้วว่าหญิงคนนั้นอุ้มลูกชายของนางไปแล้ว เขายิ้มแล้วพูดว่า “เื่เล็กน้อย ไม่ต้องลำบากหรอก”
“นี่มันไม่ใช่เื่เล็กน้อย” เหล่ยหยงหู่พูดอย่างจริงจัง “นั่นมันสู่อ๋องซื่อจื่อเลยนะ หากว่าเขาชนคุณชายน้อยของเราขึ้นมาจริงๆ เขา...เขาอาจจะไม่ยอมทำตามกฎหมาย”
เมื่อเขาพูดจบ หยวนหรงพูดขึ้นมาจากข้างๆ “น้องชาย ครั้งนี้เ้าทำให้สู่อ๋องไม่พอใจแล้ว จริงๆ ”
“ทำไม พี่หยวนกลัวรึ?” หยางหนิงเหลือบไปมองหยวนหรง แอบคิดในใจว่าเมื่อครู่นี้หดหัวไม่กล้ายืนข้างหน้า แสดงว่ากลัวสู่อ๋องแน่ๆ ก็เลยพูดด้วยน้ำเสียงอารมณ์ไม่ดีว่า “สู่อ๋องซื่อจื่อนั่นใช้แส้ฟาดเ้ากลางตลาดเลยนะ ข้าเห็นเ้าไม่ได้คิดจะเอาเื่เลย ดูท่าพี่หยวนนี่ใจกว้างใช้ได้เลยนะ”
หยวนหรงฟังออกว่าหยางหนิงกำลังประชดประชันเขาอยู่ เขาทำได้แค่ยิ้มแห้งๆ ไม่พูดอะไรมาก
เหล่ยหยงหู่คำนับหยางหนิงอีกสามครั้ง จากนั้นก็พาคนของเขากลับไป หยางหนิงก็เลยหันไปถามหยวนหรงว่า “เหล่ยหยงหู่เป็คนของจวนไหน?”
“ข้าก็ไม่เคยเห็นเขานะ” หยวนหรงส่ายหัวแล้วพูดว่า “แต่ว่าเมื่อครู่นี้เขาพาคนของท่านผู้ว่าการมา แต่ไมใช่คนของจวนผู้ว่าการ คิดว่าน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับกรมอาญาแน่นอน”
“หา?” หยางหนิงคิดในใจว่าในดินแดนใต้จมูกฮ่องเต้แบบนี้ ไปที่ไหนก็มีแต่เ้าหน้าที่ทางการเต็มไปหมด หากไม่ระวังอาจจะไปล่วงเกินใครเข้าก็ได้
ทันใดนั้นเองเขาก็เหมือนคิดอะไรออก เขามองไปรอบๆ หยวนหรงเห็นหยางหนิงมองไปรอบๆ ก็ถามด้วยความแปลกใจว่า “น้องชายเ้ามองหาใครกัน?”
“ข้า... ก่อนหน้านี้เหมือนข้าจะชนใครคนหนึ่งเข้า น่าจะเป็ผู้หญิง...!” หยางหนิงมองเห็นคนเดินไปเดินมาบนถนนมากมาย ก็ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เวลานี้ก็มองอะไรไม่ชัดแล้ว ถึงอย่างไรข้าก็ต้องขอโทษเขา”
หยวนหรงหลุดหัวเราะออกมาแล้วพูดว่า “น้องชายในตอนนี้ ดูไม่เหมือนคนของจวนจิ่นอีโหวเลยนะ แต่เหมือนคนของกรมพิธีการมากกว่า เพิ่งจะบีบให้สู่อ๋องซื่อจื่อขอโทษชาวบ้าน ตอนนี้ก็จะให้ตัวเองไปขอโทษคนอื่น หากท่านปู่ของข้ารู้ล่ะก็ จะต้องชมเ้าไม่ขาดปากแน่นอน”
“จริงสิ แล้วที่มาที่ไปของสู่อ๋องซื่อจื่อเป็อย่างไร ทำไมถึงกล้ายโสโอหังในเมืองหลวงแบบนี้?” หยางหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “แล้วคนที่ชื่อซีเหมินนั่นอีกใครกัน?”
เขาสนใจในตัวของซีเหมินมากกว่าสู่อ๋องซื่อจื่อซะอีก ซีเหมินสามารถโยนเขาไปได้หลายเมตรอย่างง่ายดาย วรยุทธ์ต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
หยวนหรงพูดด้วยน้ำเสียงเบาๆ ว่า “สู่อ๋องเป็อ๋องของซีชวน หลายร้อยปีมานี้ คนที่ครองดินแดนอาณาเขตซีชวนคือคนตระกูลหลี่ จนถึงสู่อ๋องรุ่นปัจจุบัน เป็รุ่นที่สี่ของตระกูลหลี่ แต่ว่า... หลี่หงซิ่นสู่อ๋องคนปัจจุบันเพิ่งจะเป็สู่อ๋องคนแรกที่ได้รับการแต่งตั้งบรรดาศักดิ์จากราชสำนัก ก่อนหน้านี้ทุกรุ่น สถาปนาตนเองเป็อ๋องโดยไม่ได้รับแต่งตั้งมาตลอด”
หยางหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “พูดแบบนี้ หลี่หงซิ่นคือผู้ปกครองแคว้นซีชวนอย่างนั้นหรือ?”
“เื่นี้เราจะรู้กันแค่สองคน ถึงแม้ว่าตอนนี้ดินแดนของซีชวนจะถือเป็เขตชายแดนของต้าฉู่ของเรา แต่ว่าหลี่หงซิ่นกลับเป็ฮ่องเต้โดยกำเนิดของซีชวน” หยวนหรงพูดด้วยน้ำเสียงต่ำลงแล้วพูดว่า “หากจะพูดถึงหลี่หงซิ่นท่านนี้ จริงๆ แล้วความสัมพันธ์หลี่หงซิ่นกับบ้านตระกูลฉีของพวกเ้าก็ไม่น้อยเลยนะ”
“มีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี?” หยางหนิงเริ่มสนใจ “หมายความว่าอย่างไร?”
หยวนหรงยิ้มแล้วพูดว่า “ดูท่าน้องชายจะไม่ค่อยรู้ถึงความยิ่งใหญ่ที่ผ่านมาของตระกูลฉีเลยนะ หลังจากที่ต้าฉู่กับเป่ยฮั่นแยกตัวปกครอง ปาสู่ซีชวนก็กลายเป็เหมือนโรคเรื้อรังของราชสำนัก ยี่สิบกว่าปีก่อน ตอนท่านเหล่าโหวของพวกเ้ายังมีชีวิตอยู่ พ่อของหลี่หงซิ่นเองก็เพิ่งจะจากไป สถานการณ์ของซีชวนไม่มั่นคง ราชสำนักก็เลยรีบส่งทหารหนึ่งแสนนายออกไป โดยมีท่านเหล่าโหวเป็คนนำทัพ เพื่อกวาดล้างซีชวน”
“ท่านปู่นำทัพเอง ต้องได้รับชัยชนะกลับมาอย่างแน่นอน!”
“แน่นอน” หยวนหรงยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านเหล่าโหวฝ่าด่านสังหารแม่ทัพไปเรื่อยๆ ถึงแม้จะไม่ง่ายเหมือนหักไม้ไผ่ แต่ก็นับว่าราบรื่นไปด้วยดี”
“ในเมื่อเป็อย่างนั้น ทำไมตระกูลหลี่ที่ซีชวนยังคงอยู่ถึงตอนนี้ล่ะ?” หยางหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “แล้วทำไมตระกูลหลี่ถึงได้ตั้งตัวเป็ฮ่องเต้ในดินแดนของตัวเองในตอนนี้ได้อีกล่ะ?”
“ตอนนั้นหลี่หงซิ่นยังอยู่ใน่ไว้ทุกข์ ทัพใหญ่ของเราก็บุกเข้าไป หลี่หงซิ่นก็รีบโยกทหาร ตระกูลหลี่มาตั้งรากฐานที่ซีชวน พวกเขาก็รวบรวมทหารหลายหมื่นนายมารับมือ” หยวนหรงพูดว่า “ซีชวนตั้งอยู่บนยอดเขา สถานที่อันตรายมีอยู่มาก ถึงแม้ในตอนนั้นหลี่หงซิ่นอายุจะยังน้อย แต่เขาสามารถจัดระเบียบทหารได้เก่งมาก เขาแบ่งทหารเฝ้าประจำการในแต่ละพื้นที่ ได้ยินมาว่าเขายังเอาเงินทองของตระกูลหลี่ออกมาใช้ด้วย เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้กับทหาร พอท่านปู่เหล่าโหวตีฝ่าด่านเมืองทีละด่านเข้าไปเรื่อยๆ การศึกมันก็ยากลำบากไปเรื่อยๆ”
เส้นทางแคว้นสู่ต่างสลับซับซ้อน ยากที่จะเข้าไปได้ เมืองเฉิงตูของซีชวนเป็พื้นที่ราบ รอบๆ ล้อมไว้ด้วยูเา คิดจะฝ่าออกมามันไม่ง่าย แต่ว่าจะฝ่าเข้าไปยากยิ่งกว่า
“ศึกซีชวนในครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายสูญเสียไพร่พลไปมาก แต่ว่าหากซีชวนคิดจะสู้กับต้าฉู่ ถือว่าโง่มาก หากจะสู้กันจริงๆ แล้ว ท่านปู่เหล่าโหวจะต้องเอาชนะได้แน่นอน” หยวนหรงค่อยๆ พูดต่อไปว่า “ราชสำนักตัดสินใจที่จะกำราบซีชวนให้ได้ ท่านปู่เหล่าโหวยกทัพไปทำศึกกว่าครึ่งปี รบไปจนใกล้ถึงเมืองเฉิงตู เห็นเฉิงตูกำลังจะพ่ายแพ้แล้ว ในตอนนี้เองชาวเป่ยฮั่นก็ยกทหารมาช่วยซีชวนกับตระกูลหลี่เอาไว้”
“เป่ยฮั่น?”
“ใช่ เป่ยฮั่นเห็นราชสำนักใช้ทหารไปกับซีชวน ก็คิดว่านี่จะเป็โอกาสที่ดี ที่จะยกทัพลงใต้” หยวนหรงยิ้มแล้วพูดว่า “ต้าฉู่ของเราถนัดรบทางน้ำอยู่แล้ว ข้าได้ยินมาว่า ในตอนนั้นราชสำนักไม่อยากให้ชาวเป่ยฮั่นบุกเข้ามาแล้วทิ้งศึกของซีชวนไป ก็เตรียมรับมือที่จวี้ซุ่ย ตั้งใจยึดเฉิงตูให้ได้ก่อนแล้วค่อยบุกขึ้นทางเหนือ” จากนั้นก็หัวเราะเบาๆ “แต่ว่าหลี่หงซิ่นก็รู้ว่าซีชวนจะมี่ที่ขาดแคลนน้ำ จากนั้นเขาก็เลยโบกธงขอยอมแพ้กับราชสำนัก ศึกที่จวี้ซุ่ยสำคัญมากกว่า ราชสำนักเองก็ยอมรับการขอยอมแพ้ของหลี่หงซิ่น จากนั้นก็แต่งตั้งให้เขาเป็สู่อ๋อง จากนั้นก็ยกทัพขึ้นเหนือ”
หยางหนิงถึงเข้าใจที่มาที่ไปแล้วพูดว่า “ที่แท้ก็เป็อย่างนี้นี่เอง ดินแดนสู่ก็ไม่ได้ถูกกวาดล้างไปนี่เอง”
“ดังนั้นตระกูลหลี่ก็ไม่ได้มีความทรงจำที่ดีเท่าไรกับตระกูลฉีของพวกเ้า” หยวนหรงพูดด้วยเสียงเบาๆ “ศึกซีชวนในครั้งนั้น ทหารฉู่สังหารคนในตระกูลของหลี่หงซิ่นไปไม่น้อย ส่วนทหารชวนเองก็สังหารทหารของท่านเหล่าโหวไปไม่น้อย ั้แ่ตอนนั้นเป็ต้นมา ตระกูลฉีของเ้ากับตระกูลหลี่ก็ไม่เคยมองกันแบบมิตรเลย” มองซ้ายมองขวา พูดเสียงเบาๆ ว่า “เสวียหลิงเฟิงแห่งค่ายหู่เสินเป็ลูกน้องเก่าในสังกัดพ่อเ้า พ่อของเขาตอนนั้นก็ติดตามท่านปู่เหล่าโหวไปทำศึกซีชวน เพราะศึกในครั้งนั้นทำให้เขาได้รับาเ็ ทำให้ตาบอดไปข้างหนึ่ง แบบนี้แล้วเ้าว่าเสวียหลิงเฟิงจะเกรงใจตระกูลหลี่จากซีชวนอย่างนั้นหรือ?”
หยางหนิงถึงได้เข้าใจ มิน่าล่ะเสวียหลิงเฟิงถึงได้เข้าข้างตัวเขา ส่วนท่านซีเหมินเองก็ค่อนข้างระวังเสวียหลิงเฟิงไม่น้อย ที่แท้ทั้งคู่ก็มีความแค้นต่อกันนี่เอง
หยวนหรงเหมือนอยากจะอธิบายต่อ ทันใดนั้นเองก็เห็นสายตาของหยางหนิงมองไปที่ๆ หนึ่ง แบบไม่กะพริบตาเลย เขาอดไม่ได้ที่จะมองตาม เห็นหยางหนิงกำลังมองไปที่ร้านดอกไม้ร้านหนึ่ง เขาแอบคิดในใจว่าทั้งถนนเต็มไปด้วยร้านดอกไม้ อะไรทำให้หยางหนิงสนใจร้านดอกไม้ร้านนั้น เมื่อมองไปอย่างละเอียด ก็พบว่าหน้าร้านนั้นมีผู้หญิงคนหนึ่งยืนชมดอกไม้อยู่ นางสวมชุดสีเขียวธรรมดา ผู้หญิงคนนั้นผิวไม่ได้ขาวมาก แต่ว่ามองแล้วดูสบายตาและดูมีสง่าราศีมาก
หยวนหรงยิ้ม แล้วเข้าไปที่ข้างหูของหยางหนิง กระซิบว่า “น้องชายสนใจแม่นางคนนั้นรึ? สายตาไม่เลวเลยนะ นางดูสดใสดี”
หยางหนิงมองหยวนหรงด้วยสายตาดุดัน แล้วรีบเดินไป หยวนหรงรีบพูดขึ้นว่า “เหตุใดใจร้อนแบบนี้ล่ะ น้องหยางหนิง จีบผู้หญิงจะเข้าไปตรงๆ ทื่อๆ แบบนั้นไม่ได้หรอกนะ มาให้ข้าสอนก่อน” จากนั้นก็พูดอีกว่า “ไหนว่าจะไปจวนอู่เซียงโหวไม่ใช่หรือ? พวกเรายังจะไปกันอยู่หรือไม่?”
หยางหนิงไม่ได้สนใจเขาเลย เดินผ่านถนนไปถึงหน้าร้านดอกไม้ร้านนั้น กลิ่นดอกไม้หอมโชยมา ทำให้สบาย ร้านดอกไม้ร้านนี้ก็เหมือนกับร้านอื่นๆ ไม่มีการกั้นรั้วหน้าร้าน ด้านในดอกไม้บานเต็มไปหมด คนขายดอกไม้เป็ชายแก่คนหนึ่ง หน้าตาก็เหมือนดินที่ไว้ใช้ปลูกดอกไม้นั่นแหละ เมื่อเห็นหยางหนิงเดินมา ก็รีบเดินขึ้นมาทักทาย “ซื่อจื่อ ท่านจะซื้อดอกไม้หรือ? ดอกไม้ของที่นี่เป็ดอกไม้ชั้นดี ท่านเลือกได้เลยนะ”
ก่อนหน้านี้หยางหนิงมีเื่กับสู่อ๋องซื่อจื่อ มีคนมากมายที่เห็น แล้วก็มีไม่น้อยที่รู้ว่าหยางหนิงคือใคร เื่เกิดไม่ใกล้ไม่ไกลจากตรงนี้ ชายแก่ขายดอกไม้ก่อนหน้านี้ก็เป็หนึ่งคนที่ไปมุงดู ตอนนี้เห็นหยางหนิงเดินเข้ามา ก็เลยรู้สึกดีใจ ในเมืองหลวงขุนนางชนชั้นสูงมีมากราวกับขนวัว บรรดาคุณชายจึงมีอยู่มากมาย ถึงแม้หยางหนิงจะเป็ซื่อจื่อ แต่ในเมืองหลวงแห่งนี้ ชาวบ้านมองว่ามันก็ไม่ใช่เื่แปลกใหม่อะไร
“ข้าขอดูก่อนนะ” หยางหนิงยิ้ม แล้วเดินไปหยุดตรงหน้ากระถางดอกไม้กระถางหนึ่ง ซึ่งห่างจากผู้หญิงคนนั้นไม่กี่ก้าว เมื่อมองไปแล้ว เห็นผู้หญิงคนนั้นท่วงท่าสง่างาม อายุน่าจะราวสิบห้าสิบหกปี สวมชุดสีเขียวอ่อนๆ ดูสบายตา ซึ่งมันเหมาะกับตัวนางอย่างไม่ต้องปรุงแต่งอะไรเลย
“ซื่อจื่อ ร้านของเรามีทั้งจื่อจินผาน เตี๋ยชุ่ยโหลว ไป๋วี่ปิง ด้านในยังมีหมั่นถังหง ทั้งหมดนี่ถือเป็ของขึ้นชื่อของร้านข้าเลย” ชายแก่แนะนำ “หากว่าซื่อจื่อสนใจ ข้าจะให้คนส่งไปที่จวน เอาไปตกแต่งในจวนจะต้องสวยมากแน่ๆ ซื่อจื่อท่านอยากจะให้เท่าไรก็แล้วแต่ท่านเลย”
หยางหนิงตอบไปสั้นๆ ว่า “อ่อ” แอบคิดในใจว่าคนขายดอกไม้นี่ก็ตั้งชื่อได้น่าสนใจดี แต่ละชื่อก็ดูประณีตดี ทำให้คนสนใจได้
ชายแก่พูดไปพลางแนะนำไปพลาง จื่อจินผานดอกสีม่วงทองอร่าม เตี๋ยชุ่ยโหลวก็ทับซ้อนกันเป็ชั้นๆ ไป๋อวี่ปิงดอกสีขาวนวล แต่ละอย่างนั้นสีสันสวยงาม แต่เสียดายหยางหนิงมีความรู้เื่ดอกไม้น้อยมาก ชายแก่พูดไปพลาง เขาก็แกล้งทำเป็รู้เื่ แต่จริงๆ ไม่รู้ว่าเขาหมายถึงดอกอะไร เขาแอบมองผู้หญิงคนนั้นเป็ระยะๆ เห็นผู้หญิงคนนั้นกำลังชมดอกไม้อยู่ ดอกไม้ต้นนั้นมีดอกสีทอง แต่มีเกสรสีขาว
“เถ้าแก่ จินจั่นอิ่นไถกระถางนี้ราคาเท่าไร?” ผู้หญิงคนนั้นเงยหน้าขึ้นมา แล้วมองไปที่ชายแก่ ตอนนี้นางเห็นหยางหนิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ชายแก่ ซึ่งพอดีกับที่หยางหนิงกำลังมองนางอยู่พอดี ทั้งสองสบตากัน แม่นางนางนั้นรู้สึกตื่นเต้นทำอะไรไม่ถูก จากนั้นก็รีบหลบตาทันที
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้