“ได้”
“อะไรนะ?” อาจจะเป็เพราะว่าคำว่าได้ของกู้จวิ้นเฉินช่างอยู่เหนือความคาดหมายของหลี่ลั่ว จึงทำให้หลี่ลั่วนั้นตั้งตัวไม่ติด
กู้จวิ้นเฉินยื่นมือออกมา “มีดกับถ้วยเล่า”
“รอสักครู่นะพ่ะย่ะค่ะ” ต่อมาหลี่ลั่วก็วิ่งขึ้นบันไดดัง ‘ตึงๆๆ’ ออกไปจากห้องใต้ดิน
ผ่านไปครู่หนึ่ง หลี่ลั่วก็ถือถ้วยใบหนึ่งกลับมายังห้องใต้ดิน ในห้องใต้ดินนั้นมีมีดอยู่แล้ว หลี่ลั่ววางถ้วยลงบนโต๊ะแล้วยื่นมีดให้กับเขา
กู้จวิ้นเฉินรับมีดไปกรีดแขนตนเองอย่างไม่มีลังเลเลยแม้แต่น้อย เืสีแดงเข้มไหลหยดลงมาตามแขน หลี่ลั่วยื่นนิ้วออกไปนิ้วหนึ่ง แตะเืของเขา แล้วจากนั้นก็ส่งปลายนิ้วเข้าปากใช้ลิ้นแตะชิมหยดเืนั้น
ชั่วขณะนั้นเขาพลันขมวดคิ้ว เืนี้มีรสชาติ...
ท่าทางที่เด็กน้อยขมวดคิ้วนั้นเคร่งขรึมเป็งานเป็การอย่างยิ่ง ไม่เหมือนเด็กอายุห้าขวบเลยจริงๆ
“พอแล้วพ่ะย่ะค่ะ” หลี่ลั่วเห็นเืของกู้จวิ้นเฉินยังคงไหลอยู่จึงรีบห้ามไว้
กู้จวิ้นเฉินหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาผืนหนึ่ง “เ้าช่วยข้าพันแผลให้ข้าได้หรือไม่?”
“ได้พ่ะย่ะค่ะ” หลี่ลั่วพันแผลให้เขาด้วยท่าทางที่ชำนาญยิ่งนัก สุดท้ายยังผูกผ้าพันแผลเป็รูปโบว์ผีเสื้อที่น่ารักตัวหนึ่ง “งดงามหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” เมื่อพันแผลให้แล้วยังเอ่ยถามต่ออีกหนึ่งประโยค
สีหน้าของกู้จวิ้นเฉินนั้นไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น “งดงาม...เหล้านี้ข้าจะนำกลับไปด้วย ส่วนเื่การตรวจผลเื คงต้องรอท่านหมอเสี่ยวโหวเหฺยแล้ว”
ท่านหมอเสี่ยวโหวเหฺย การเรียกขานเช่นนี้ทำให้หลี่ลั่วฟังแล้วให้รู้สึกขัดเขินยิ่ง
“ได้พ่ะย่ะค่ะ” หลี่ลั่วรับคำ เขาไปส่งกู้จวิ้นเฉินที่ประตูทางเข้าแล้วมองเขาขึ้นรถม้าไปด้วยหัวใจที่รู้สึกหนักอึ้ง เขาวิเคราะห์ออกถึงพิษตะกั่วในเืของกู้จวิ้นเฉิน พอคิดมาถึงตรงนี้ หลี่ลั่วก็ไม่มีกะจิตกะใจกับงานเลี้ยงตอนนี้ต่ออีกแล้ว เขายังต้องพิสูจน์ให้มั่นใจอีกครั้งว่าใช่พิษตะกั่วในเืหรือไม่? ต่อให้ถอนออกมาได้ ก็มิใช่ว่าคนธรรมดาทั่วไปจะทำได้
และเขายังไม่สามารถวิเคราะห์ออกมาได้อีกว่าพิษของกู้จวิ้นเฉินนั้นเป็แบบเรื้อรังหรือแบบฉับพลันอีกด้วย
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้หลี่ลั่วจึงเอ่ยกับซินเป่าว่า “ไปหาพ่อบ้านจี้ บอกว่าข้า้าพบเขา”
“ขอรับ”
หลี่ลั่วไม่ได้ไปศาลาต้อนรับแขก แต่กลับไปยังห้องหนังสือของตน เขาพบพ่อบ้านจี้ตามลำพังในห้องหนังสือ
“เสี่ยวโหวเหฺย ท่านเรียกหาข้าหรือขอรับ?” พ่อบ้านจี้ปฏิบัติต่อหลี่ลั่วด้วยความเคารพ ไม่ว่าจะเป็การเสแสร้งเคารพหรือเคารพจากใจจริง อย่างน้อยบนใบหน้าก็ยังแสดงให้เห็นถึงความเคารพ
“ตอนนี้หมู่บ้านของข้าที่อยู่เขตชานเมืองทางเหนือสามารถให้คนเข้าไปอยู่อาศัยได้หรือไม่?” หลี่ลั่วถามออกไปตรงๆ
“เมื่อตอนที่ซื้อหมู่บ้านนั้น ข้าได้ให้คนเข้าไปปัดกวาดทำความสะอาดแล้วขอรับ แต่ในหมู่บ้านยังไม่มีคนอาศัยอยู่ เพราะไม่ทราบว่าเสี่ยวโหวเหฺย้าจะทำการอันใด” พ่อบ้านจี้ตอบ
หลี่ลั่วพยักหน้า “ท่านไปเตรียมการสักหน่อย ข้าจะไปหมู่บ้านตอนนี้เลย”
“ตอนนี้หรือขอรับ แต่ว่าตอนนี้...” หากจะออกจากจวนโหวในสถานการณ์เช่นนี้ เกรงว่าจะไม่ค่อยเหมาะสมเท่าใดนัก พ่อบ้านจี้รู้สึกลังเล
หลี่ลั่วเลิกคิ้ว “ข้าเพียงแต่สั่งการกับพ่อบ้านจี้เท่านั้น”
พ่อบ้านจี้กระวนกระวายใจยิ่งนัก เด็กน้อยอายุห้าขวบผู้นี้มักจะทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกกดดันอยู่เสมอ
“เช่นนั้น...เสี่ยวโหวเหฺยแจ้งเื่นี้แก่เหล่าฮูหยินก่อนดีหรือไม่ขอรับ?” พ่อบ้านจี้ออกความเห็น หากเหล่าฮูหยินเห็นชอบ เขาย่อมไม่มีความเห็นใดๆ
“ไปเชิญเหล่าฮูหยินมาเสีย”
หลี่หยางซื่อถูกผิงอันเชิญตัวมา เมื่อมาถึงหน้าห้องนอนของหลี่ลั่ว นางพลันพบว่าพ่อบ้านจี้ก็อยู่ที่นั่นด้วย นางเดินเข้าไปด้วยสีหน้าสงบราบเรียบจนมาถึงห้องหนังสือของหลี่ลั่ว
“มารดาขอรับ” เมื่อเห็นหลี่หยางซื่อเข้ามาหลี่ลั่วจึงลุกขึ้นต้อนรับ
“นี่มันเกิดอันใดขึ้นหรือ? เรียกมารดามากะทันหันเช่นนี้ นี่เกิดเื่อันใดขึ้นแล้วใช่หรือไม่?” หลี่หยางซื่อถาม
หลี่ลั่วพยักหน้า “มีเื่จะเรียนมารดาขอรับ อีกสักครู่ข้าจะไปหมู่บ้านเขตชานเมืองทางเหนือ และจะพักอยู่ที่นั่นสักระยะเวลาหนึ่งจึงจะกลับมาขอรับ”
หลี่หยางซื่อตกตะลึงยิ่ง “ไฉนจึงตัดสินใจไปหมู่บ้านในเมืองทางตอนเหนืออย่างกะทันหันเช่นนี้เล่า?” หมู่บ้านในเมืองด้านทิศเหนือของหลี่ลั่วนั้นนางรู้จัก เพราะพ่อบ้านจี้เป็คนไปจัดการซื้อมา แต่ต้องเดินทางไปยังหมู่บ้านชานเมืองทางตอนเหนือในวันที่จัดงานเลี้ยงเช่นนี้ นางกลับไม่เข้าใจอันใดเอาเสียเลย ทว่านางก็ยังคงปฏิบัติต่อหลี่ลั่วเป็อย่างดี หลี่หยางซื่อเป็คนที่มีมารยาทและขี้เกรงอกเกรงใจยิ่ง อาจจะเป็เพราะว่าระหว่างนางและหลี่ลั่วไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเื แต่พวกเขาต่างก็ถือได้ว่าได้ลงเรือลำเดียวกันแล้ว การปกป้องผลประโยชน์ของอีกฝ่ายหนึ่งให้ดีจึงจะเป็การดีต่อตนเองที่สุด