ลานประลองอันกว้างใหญ่มีเงาชุดขาวชุดดำสองคนปรากฏ
ชุดขาวนั้นคือหลิงเซียวนั่นเอง ตอนนี้ชุดขาวนั้นราวกับเป็สัญลักษณ์ของเขาแล้ว ั้แ่ที่โหยวเสี่ยวโม่รู้จักกับเขามา ก็ไม่เคยเห็นเขาใส่เสื้อสีอื่นมาก่อน ส่วนชุดดำนั้นคือเหลยจวี้
เหลยจวี้เป็คนกร่างอวดดี แม้จะถูกจัดอันดับเป็ที่สองมาตลอด แต่ที่น่าทึ่งคือ เขาไม่เคยถอดใจ อีกทั้งยิ่งอยู่ยิ่งห้าวหาญ ทุกครั้งที่พ่ายให้กับหลินเซียว เขากลับฟื้นฟูตัวเองกลับมาได้ทุกรอบ จากนั้นยังคงท้าทายด้วยท่าทีอวดดีเสมอมา ช่างเหมือนกับแมลงสาบที่ตีอย่างไรก็ไม่ตาย
การประลองครั้งนี้ ในสายตาผู้อื่น เหลยจวี้อาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลิงเซียว แต่เขาไม่คิดเช่นนั้น
“หลินเซียว ข้ารอวันนี้มานานมากแล้ว ครั้งนี้ต้องให้เ้าได้เห็นฝีมือข้าแน่ แก้แค้นคราวที่แล้ว” เหลยจวี้แบกกระบองเขี้ยวหมาป่าไว้บนบ่า นี่คืออาวุธของเขา เพียงแต่เขานั้นพอมีฝีมือ โดยปกติจึงไม่ค่อยพกอาวุธเท่าไหร่
ครั้งนี้ประลองกับหลิงเซียว เขายังไม่มั่นใจถึงขั้นจะเอาชนะหลิงเซียวได้โดยไร้อาวุธ ดังนั้นจึงหยิบอาวุธออกมาแต่ทีแรก กระบองอันใหญ่ขนาดนั้น ใหญ่กว่าท่อนแขนเขาเสียอีก หากถูกฟาดคงได้กระดูกหักจนพิการแน่
หลิงเซียวควงกระบี่ในมือ จ้องสีหน้าท้าทายของเหลยจวี้แล้วยิ้ม “ข้าเชื่อว่าข้าได้เห็นแน่”
โหยวเสี่ยวโม่ที่อยู่ด้านล่างเวทีกุมหน้า ให้ความร่วมมือกับรอยยิ้มเริงร่าของหลิงเซียว เขารู้สึกได้ถึงความหมายที่แท้จริงของประโยคเมื่อกี้ว่า ‘ข้าเชื่อว่าเ้าจะต้องไม่ตายดีแน่’
วิชากระบี่ที่หลินเซียวฝึกฝนคือสายเดียวกับผู้าุโเจียง คือวิชากระบี่เหินฟ้า
วิชากระบี่เหินฟ้าในสำนักเทียนซินนับเป็วิชายุทธ์ที่ไม่เป็รอง แม้จะเป็วิชายุทธ์ระดับกลาง แต่ก็เป็วิชายุทธ์ระดับกลางขั้นสูง บรรดาศิษย์น้อยใหญ่และผู้าุโหลายท่านล้วนฝึกวิชากระบี่สายนี้ แต่ที่เหมือนเหลยจวี้ก็มีบ้าง เขาฝึกวิชากระบอง ต่างคนต่างมีการต่อยอดวิชาของตัวเอง
เซียวซานประกาศเริ่มการประลอง เหลยจวี้ก็ควงกระบองเขี้ยวหมาป่าพุ่งเข้าหาหลิงเซียว พลังแรงม้ามหาศาล ผู้ชมด้านล่างเวทียังรู้สึกได้ สายลมพัดรุนแรงผ่านหน้า จนผู้ชมสะดุ้งเกือบเด้งขึ้นจากเก้าอี้
วิ้ง!!!
เสียงปะทะกันดังแสบแก้วหู กระบองเขี้ยวหมาป่าที่เหลยจวี้ฟาดไปนั้นถูกหลิงเซียวใช้กระบี่ตั้งรับไว้ได้ เห็นท่าทีไม่ดี ร่างกำยำจึงรีบถอยกลับมาสองสามเมตรเพื่อตั้งหลักใหม่ จนมั่นใจว่าอยู่ในจุดปลอดภัย แววตาเหี้ยมโหดจ้องมองหลิงเซียว ราวกับจะมองหาจุดอ่อนให้เจอ
เทียบกับท่าทีระมัดระวังตัวของเหลยจวี้ หลิงเซียวนั้นท่าทีนิ่งสงบกว่ามาก ปลายกระบี่ชี้ไปทางเหลยจวี้ ใบหน้าไร้ความรู้สึกราวกับจริงจังกับการต่อสู้นี้มาก
เมื่อเห็นสีหน้าหลิงเซียวเช่นนี้ เหลยจวีคำรามฮึ่ม
คนอื่นอาจไม่ทันสังเกต แต่เขารู้ได้ว่าหลิงเซียวเสียพลังในการตั้งรับไปแล้วแปดส่วน อย่าคิดว่าเขาไม่รู้ เมื่อครู่แขนเขาสั่นระริก เห็นท่าทีหลิงเซียวเช่นนี้ จึงนึกว่ากำลังแสร้งทำทีว่าเข้มแข็ง
ด้านหลังหลิงเซียวคือทังฝานและเหล่าผู้าุโ ่ครู่ที่ส่อแววตาเ้าเล่ห์ ย่อตัวลง ขณะที่เหลยจวี้เตรียมออกกระบวนท่าที่สองนั้น ตรงเท้ามีลมก่อตัวขึ้นจากนั้นพุ่งตัวไปยังเหลยจวี้ ความไวนั้นแทบบรรยายไม่ถูก หรือจะพูดก็คือพริบตาเดียวก็เห็นเขาพุ่งมาอยู่หน้าเหลยจวี้แล้ว กระบี่ในนั้นฟาดโค้งลงไป
เหลยจวี้ตะลึงงัน ในตอนนี้จะหลบก็คงไม่ทัน จึงรีบเงื้อมกระบองเขี้ยวหมาป่าขึ้นกันตั้งรับไว้
เสียงปะทะดังขึ้นอีกครั้งนึงแสบแก้วหูนัก แววตาเหลยจวี้ฉายแววดีใจ
หลิงเซียวมุมปากยกสูงขึ้น พอดีกับเหลยจวี้นั้นทันสังเกตเห็น ในใจพลันหวิวๆ ทันใดขาสูงยาวมีพลังก็ฟาดเต็มแรงเข้า่เอวด้านขวาที่เปิดช่องโหว่ไว้ เพราะเขาใช้กระบองเขี้ยวหมาป่ารับการโจมตี ทำให้่ตัวด้านขวาไม่ได้ป้องกัน ผลคือหลิงเซียวใช้จังหวะนี้ เตะเข้าให้ ่เอวนั้นปกติแล้วเป็จุดอ่อนของมนุษย์ทุกคน อีกอย่างการเตะของหลิงเซียวนั้นหาได้ปรานี
เหลยจวี้ไถลไปทางซ้ายหลายก้าว อาการาเ็กระจายไปทั่วร่าง หากไม่ใช่ว่าเขาทนทานเหนือคนอื่น ครั้งนี้คงยืนต่อแทบไม่ไหว เมื่อเขาหันกลับมา ปลายกระบี่ของหลิงเซียวก็ชี้อยู่ตรงหน้าอกเขาแล้ว
เหลยจวี้จ้องหลิงเซียวตาถมึงทึง แววตาโมโหกราดเกรี้ยว
เขานึกออกแล้ว ที่แท้ท่าทีพวกนี้นั้นเหมือนของใคร เพราะคราวก่อนที่เขาแพ้ให้หลินเซียวก็เพราะกระบวนท่าพวกนี้ ตอนนั้นเขารู้สึกว่าช่างน่าอับอายที่สุด จึงสาบานกับตนเองว่าจะต้องล้างมลทินครั้งนั้นให้ได้ แต่ไม่คิดว่า หลินเซียนกลับใช้วิธีนี้เอาชนะเขาอีกจนได้!
“จบการแข่งขัน ผู้ชนะคือหลินเซียว” เซียวซานกลัวหลิงเซียวจะทำร้ายเหลยจวี้าเ็ จึงรีบประกาศผลแพ้ชนะ
หลิงเซียวเก็บกระบี่ จ้องเหลยจวี้มุมปากยกสูงท่าทางยิ้มกริ่ม จากนั้นยกมือคำนับเหลยจวี้ที่มองเขาอย่างเดือดดาลพร้อมเอ่ยเสียงนุ่มนวล “ศิษย์น้องเหลย ข้าได้เห็นฝีมือที่แท้จริงของเ้าแล้ว!”
ใบหน้าเหลี่ยมหยาบกร้านของเหลยจวี้โกรธจนหน้าเขียว
เซียวซานที่อยู่ฝั่งผู้าุโนั้นสีหน้าดูไม่จืด หลินเซียวก็ช่างโหดร้าย จบการแข่งขันแล้วยังจะจี้ใจดำ ตั้งใจยั่วโมโหกันชัดๆ!
พูดจบประโยค หลิงเซียวก็เดินยิ้มกริ่มลงจากเวที กลับไปหาโหยวเสี่ยวโม่
โหยวเสี่ยวโม่ที่เห็นเขาเดินมา รีบปรี่ไปกระซิบถามเบาๆ “ศิษย์พี่หลิง ท่านเอาชนะเขาได้เร็วเช่นนี้ จะเป็การเผยพิรุธหรือเปล่า?” ในสายตาเขา สองคนนั้นต่อสู้กันไม่กี่กระบวนท่าเอง
หลิงเซียวก้มหน้าดูท่าทีระมัดระวังของโหยวเสี่ยวโม่ จึงค่อยๆ ยิ้มออกมา “ไม่ต้องกังวล ครั้งก่อนที่หลินเซียวกับเหลยจวี้ประลองกัน หลินเซียวก็ใช้กระบวนท่าพวกนี้เอาชนะเขา”
โหยวเสี่ยวโม่อ้าปากเหวอ วิธีนี้ช่างโเี้ที่สุด!
หนึ่งคือทำให้คนอื่นเลิกสงสัยว่าเขาไม่ใช่หลินเซียวตัวจริง สองคือสามารถสั่งสอนบทเรียนดีๆ ให้เหลยจวี้และจี้ใจดำเขา ที่พ่ายแพ้ให้กับกระบวนท่าเดิมซ้ำสองรอบ แม้ว่าจิตใจของเหลยจวี้จะแข็งแกร่งเพียงใด ก็คงเจ็บกระดองใจมากทีเดียว เพราะที่เขากล่าวประโยคแสนอวดดีไว้ตอนเริ่มประลอง ปรากฏว่าเริ่มประลองเพียงครู่เดียวก็พ่ายแพ้หมดรูป นี่มันเกินกว่าคำว่าอับอายมากโขเลย!
เหลยจวี้ผู้น่าสงสาร อีกหน่อยคงเหลือรอยบอบช้ำในจิตใจ
ทว่าไม่มีใครคาดคิด ว่าหลิงเซียวจะใช้กระบวนท่าเดิมของหลินเซียวมาต่อสู้ รวมถึงเ้าตัวเหลยจวี้เองก็นึกไม่ถึง ไม่อย่างนั้นเขาก็คงจะไม่มาพึ่งนึกได้ตอนแพ้แน่ ใจร้ายเสียจริง โดยเฉพาะคำพูดทิ้งท้ายนั่น ช่างใจดำอำมหิต!
หลังจากเหลยจวี้ลงจากเวที คนที่พักห้องเดียวกับเขา เจียวหลิว ที่ช่วยรักษาอาการาเ็ให้
เจียงหลิวให้เหลยจวี้ถอดเสื้อออก จะให้วินิจฉัยอาการาเ็ได้ แม้ว่าเหลยจวี้จะไม่อยากทำแบบนั้นต่อหน้าคนเยอะแยะมากมาย แต่ก็ทนอาการเจ็บไม่ไหว ลังเลชั่วครู่ก่อนจะถอดเสื้อท่อนบนออก
เจียงหลิวพอเห็นเท่านั้น พลันหายใจดังเฮือก
เหลยจวี้ได้ยินเสียงหายใจของเขา จึงก้มลงมอง สีหน้าขมุกขมัวกว่าตอนแรกเสียอีก
คิดไม่ถึงว่าหลิงเซียวจะโหดขนาดนี้ ลูกเตะนั่นไม่รู้ว่าใช้พลังปราณไปกี่ส่วน ท่อนเอวนั้นดำช้ำเป็วงกว้าง เจียงหลิวเพียงััเบาๆ เหลยจวี้ถึงขั้นสะดุ้งเฮือก สีหน้าดูไม่จืดเอาซะเลย จนสุดท้ายก็ฝืนกล้ำกลืนความเจ็บนั้นลงไป ข่มเสียงต่ำเยือกเย็น “หลินเซียวเ้าทำไว้แสบมาก วันหน้าข้าจะล้างแค้นนี้กับเ้าให้ได้!”
เจียงหลิวที่อยู่ใกล้ ได้ยินคำพูดไม่ประมาณตนพวกนี้ชัดถ้อยชัดคำ ได้แต่ก้มหน้า
…………….
หลังจากเหลยจวี้พ่ายแพ้ การประลองก็ดำเนินต่อ
ศิษย์คนอื่นๆ ล้วนฝีมือยอดเยี่ยม คนที่ลอยลำผ่านเข้ารอบคนสุดท้ายคือตั้นไถเมี่ยวอิ๋น หญิงหนึ่งเดียวในสิบสามคน
นักฝึกตนนั้นโดยส่วนมากก็มีแต่ผู้ชาย แม้ว่าผู้หญิงสามารถฝึกวิชาได้ แต่ความเร็วในการฝึกวิชานั้นเทียบกับผู้ชายไม่ได้ คงเพราะผู้หญิงชอบคิดซับซ้อน ทำให้การฝึกฝนนั้นเชื่องช้า แน่นอนว่าก็เกี่ยวข้องกับศักยภาพด้วย
เท่านี้ การประลองรอบที่สี่ก็เหลือเพียงเจ็ดคนเท่านั้น
ทังฝานและผู้าุโท่านอื่นประชุมกัน จากนั้นลงเสียงกันว่าคนที่ลอยลำเข้ารอบนั้นควรเป็หลิงเซียว
ฝีมือของเขาห่างชั้นกับศิษย์คนอื่นมากนัก เข้ารอบได้แน่นอน ดังนั้นเพื่อเป็การให้โอกาสกับทุกคน จึงยกสิทธิ์นี้ให้กับเขา ตั้นไถเมี่ยวอิ๋นและอีกห้าคนก็ไม่ได้แย้งอะไร เพราะสำหรับพวกเขาแล้ว การยกสิทธิ์ให้หลิงเซียวก็เท่ากับว่าพวกเขาไม่ต้องประลองกับหลิงเซียว
เพื่อเลี่ยงเื่ราวร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้นอีก หลังเกิดเื่กับผู้าุโเจียงขึ้น ทังฝานจึงตัดสินใจประลองให้ได้ผู้ชนะวันนี้ แม้ว่าจากรูปการณ์ตอนนี้ คนที่น่าจะชนะคือหลิงเซียว
เพื่อที่จะแย่งชิงสามอันดับแรกนั้น ศิษย์ทั้งหกคนใช้ความสามารถกันเต็มที่ หนึ่งในนั้นที่เข้ารอบก่อนก็คือตั้นไถเมี่ยวอิ๋น
แม้ว่ารอบที่แล้วตั้นไถเมี่ยวอิ๋นจะลอยลำเข้ารอบ แต่ไม่ได้แปลว่านางอ่อนแอแต่อย่างใด กลับกัน นางเปรียบเสมือนม้ามืดที่ไต่มาจนถึงรอบตัดสิน แม้คนที่แพ้ให้กับนางจะไม่สามารถเข้ารอบตัดสินได้ ทว่าการแข่งขันสี่รอบนั้นก็เป็เกียรติอย่างยิ่งแล้ว อีกอย่าง หากนางเอาชนะศิษย์อีกคนได้ เท่ากับนางได้เป็อันดับสาม
สำนักเทียนซินนั้นมีรางวัลชิ้นโตสำหรับสามอันดับแรก
อันดับสาม จะได้รับยาเซียนตันขั้นสี่หนึ่งเม็ดและขั้นห้าสองเม็ด
อันดับสอง จะได้รับยาเซียนตันขั้นห้าสองเม็ดและขั้นหกหนึ่งเม็ด
อันดับหนึ่ง จะได้รับยาเซียนตันขั้นหกสามเม็ด นอกจากนี้ ยังสามารถเลือกหญ้าเซียนั้แ่ขั้นหกลงไปได้สามต้น สำหรับเหตุผลว่าทำไมถึงให้หญ้าเซียนสามต้นนั้นแก่นักฝึกตนนั้น เป็ความรู้ที่ยิ่งใหญ่มาก