บทที่ 133 คนที่ห่วงหา
“ฮ่าๆ!” เมื่อมองไปที่ฉู่อวิ๋นที่กำลังตั้งท่าต่อกร โม่ซิวก็หัวเราะด้วยความโกรธ
ชายหนุ่มผู้หยิ่งผยองคนนี้สูงส่งกว่าใครั้แ่ยังเด็ก พร์ด้านกระบี่ของเขาไร้ใครเทียบ เชี่ยวชาญทักษะลับสงัดนิรันดร์อันเป็เอกลักษณ์ของเคหาสน์เขากระบี่ โดดเด่นอย่างยิ่ง
โม่ซิวประหลาดใจ ทั้งชีวิตไม่เคยพบใครที่หาญกล้าคิดจะแข่งขันกับเขาแบบตัวต่อตัว แต่คนป่าตรงหน้ากลับกล้ามาท้าทายเขา
“เ้าเด็กนี่บังอาจนัก ถึงคุณหนูฉู่จะเยาะเย้ยก็เป็เื่สมควร แต่เ้าคนป่านี่คิดว่าตัวเองเป็ใคร? ถึงกล้าเข้ามาสมทบ ตอนนี้เตรียมรับผลกรรมเถอะ สมน้ำหน้า!”
“ช่วยไม่ได้ คนป่าไม่มีสมอง มีแต่ความวู่วาม คงคิดจะอวดฉลาดต่อหน้าคุณหนูฉู่ แต่สุดท้ายก็ไปยั่วโม่ซิวเข้า โง่จริงๆ”
ทุกคนต่างยินดีกับความโชคร้ายนี้ เพราะไม่พอใจฉู่อวิ๋นมานานแล้ว ที่อาศัยอำนาจของตระกูลเสวี่ยแย่งที่นั่งแถวหน้าไปครอง
และตอนนี้ โม่ซิวและฉู่อวิ๋นขัดแย้งกัน หลายคนจึงแอบสนุกตามไปด้วย
“เหตุใดขยะในขยะเช่นเ้าถึงได้คิดมาเทียบเทียมกับข้า? กล้าดีอย่างไรถึงได้มาเผชิญหน้ากับข้าเช่นนี้?” โม่ซิวเชิดคางขึ้นสูงและมองลงไปที่ฉู่อวิ๋นด้วยสายตาที่หยิ่งผยองอย่างยิ่ง
“เ้าตีความบทเพลงนี้ผิดเอง แต่กลับมาโกรธข้าแทน เ้านี่เห็นแก่ตัวจริงๆ ไม่กลัวถูกหัวเราะเยาะหรือไร?” ฉู่อวิ๋นกล่าวอย่างเหน็บแนม
“ข้าตีความผิดแล้วเกี่ยวอันใดกับเ้า?! ไม่ต้องให้คนป่าอย่างเ้ามายุ่ง!” โม่ซิวโกรธกริ้ว เขาเตะโต๊ะไม้บนพื้นล้มอย่างเอาแต่ใจ
ฉู่อวิ๋นยกมือขึ้นกอดอก ยกมุมปากแล้วเยาะเย้ย “ข้าแค่นเสียงหนึ่งทีก็หาว่ายุ่งเื่เ้า เช่นนั้นถ้าเดินไปตลาดแล้วสุ่มเลือกใครสักคนมาแค่นเสียงก็แปลว่าเขายุ่งเื่ของเ้าเช่นนั้นหรือ? เ้าขาดความรักหรือ? เหงามากหรือ? ถึงได้อยากให้คนอื่นมายุ่งด้วยถึงเพียงนี้”
“เ้า... เ้า!” โม่ซิวโกรธมาก วางมือบนด้ามกระบี่แล้วพูดอย่างเคร่งขรึม “เ้าคิดว่าข้าไม่กล้าฆ่าคนที่นี่หรือ?”
“เชอะ?” ฉู่อวิ๋นมองตอบอย่างจริงจังเช่นกัน พลังปราณของเขาพุ่งสูงขึ้น “เ้าจะลองดูหรือไม่เล่า?”
ในยามนี้ ทั้งคู่ประจันหน้ากัน สีหน้าเคร่งเครียดคล้ายจะก่อศึก ทุกคนจึงรู้สึกกังวล
เพราะจุดประสงค์หลักของงานเลี้ยงนี้คือการสนทนากันอย่างเป็มิตร ทั้งในลานยังมีคนงามไม่น้อย จะให้มาเปื้อนเืก็คงไม่ดีนัก
ในขณะเดียวกัน ทุกคนต่างก็สงสัย เพราะพวกเขาพบว่าฉู่อวิ๋นคนป่าคนนี้สามารถต้านกระแสพลังจากกระบี่ของโม่ซิวได้ ทั้งยังดูยังแข็งแกร่ง มิไหวหวั่นดั่งขุนเขา
ทันใดนั้น พวกเขาคล้ายเกิดภาพลวงตาว่าฉู่อวิ๋นมีพลังเพิ่มขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง จนคล้ายไม่มีที่สิ้นสุด น่างุนงงอย่างมาก
“คุณชายโม่ เหตุใดต้องไปโต้เถียงกับคนป่าคนหนึ่งด้วยเล่า จอมยุทธ์อวิ๋นเป็แขกผู้มีเกียรติของจวนตระกูลเสวี่ยของข้า หากมีความคับข้องใจใดๆ ค่อยมาสะสางกันทีหลังเถอะ”
ในเวลานี้ เสวี่ยหานเฟยยิ้มและสะบัดพัดขนนกเบาๆ เพื่อให้ทุกอย่างยุติลง
“ใช่แล้ว คุณชายอวิ๋นเองก็ไม่ได้ตั้งใจ อีกอย่างถ้าเราปล่อยให้คุณหนูฉู่ยังรออยู่ มันจะเป็ความผิดของเรา
“แล้วถ้าคุณชายโม่ยังไม่รามือ ก็จะมีคนไม่ไว้หน้าเ้าแล้วเช่นกัน”
เสวี่ยหรูเยียนพูดต่อพลางเหลือบมองฉู่อวิ๋น ดวงตาของนางสุกใส เชื่อใจเขาที่สุด คู่แท้ของนางจะผิดได้อย่างไร?
ทุกคนต่างก็ร้อนใจ ด้วยกลัวว่าขืนล่าช้าต่อไป ฉู่ซินเหยาจะไม่พอใจ ดังนั้นพวกเขาจึงเริ่มโน้มใจกันต่อ
โม่ซิวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงคืนกระบี่เข้าฝัก ชี้ไปที่ฉู่อวิ๋นแล้วพูดว่า "อย่าให้ข้าเห็นเ้าข้างนอกเชียว! เ้าขยะ!"
จากนั้นเขาก็กลับมานั่ง อกกระเพื่อมด้วยความโมโห
“แปลกคน” ฉู่อวิ๋นพูดอย่างเ็าและมองไปที่ม่าน
ลานขนาดใหญ่นี้กลับมาสงบอีกครั้ง แต่ก็ยังคงมีไฟโทสะคุกรุ่นอยู่บ้าง
หลังจากนั้นไม่นาน หลายคนก็เดาความหมายในเพลงของฉู่ซินเหยาออกมา แต่พวกเขากลับไม่ได้รับคำตอบ ราวกับกำลังหลงทางในทะเล
ทุกคนเริ่มรู้สึกหงุดหงิดและวิตก หรือเทพธิดาจงใจทำให้พวกเขาสับสน
ในตอนท้าย คนที่นั่งแถวหน้าก็พูดขึ้นอีกครั้ง นั่นคือตงฟางสยงผู้มากตัณหา
เขานั่งอยู่ด้วยท่าทางที่องอาจ จ้องมองเข้าไปในม่าน ยกยิ้มอย่างโรคจิตและพูดว่า “ฮ่าๆ ตรงกันข้ามกับคุณชายโม่ ข้าคิดว่าบทเพลงของคุณหนูฉู่เป็ศูนย์รวมของพลังอันไม่มีที่สิ้นสุด!"
“พลังอันไม่มีที่สิ้นสุด?” ทุกคนงงงวย เพราะต่างรู้ว่าตงฟางสยงเป็ผู้ชายแปลกๆ ที่มัวเมาแต่เื่ผู้หญิงและการฝึกฝนเท่านั้น ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมีความรู้สึกทางศิลปะด้วย
“เ้าขยะสยง พูดอะไรระวังด้วย อย่าทำให้คุณหนูฉู่ต้องโกรธ ไม่เช่นนั้นข้าไม่ไว้เ้าแน่” โม่ซิวถือกระบี่พลางมองไปด้านข้างที่ตงฟางสยงกำลังพยายามรักษาภาพลักษณ์ของเขา
ตงฟางสยงรู้จักโม่ซิวมานานแล้ว จึงไม่ใส่ใจในเื่นี้ เขาแค่ยิ้มและพูดว่า “ฮ่าๆ ข้าเก่งแต่เื่ใต้สะดือ ความคิดความอ่านจึงเรียบง่ายและหยาบคายไปหน่อย”
หลังจากได้ยิน บนหน้าผากของทุกคนคล้ายปรากฏเส้นสีดำ[1] รู้สึกแย่ยิ่งนัก
ฉู่อวิ๋นเองก็ขมวดคิ้วเช่นกัน เขาเองก็จับจ้องตงฟางสยงมานานแล้ว พอจะรู้ว่าสายตาของอีกฝ่ายไม่เคยละไปจากม่าน เอาแต่เฝ้ามองดูฉู่ซินเหยา บางครั้งก็คอยเช็ดน้ำลายด้วยสีหน้าหื่นกระหาย
ตงฟางสยงยิ้ม จากนั้นลุกขึ้นและพูดอย่างมีเลศนัย “ฮ่าๆ สิ่งที่เรียกว่าพลังอันไม่มีที่สิ้นสุด ย่อมหมายถึงการให้กำเนิดลูก และถ้า้ามีลูก ก็ต้องเข้าหอ!”
“โธ่เอ๊ย คุณหนูฉู่ ที่แท้ท่านก็้าความรักถึงเพียงนี้? ดูท่าจะเปล่าเปลี่ยวไม่น้อย ข้าที่เป็คนรู้ใจสามารถปลอบโยนท่านได้นะ ฮิๆๆ”
“ตึง!”
ทุกคนตกตะลึงและโกรธจัดตบโต๊ะลุกขึ้นยืน ตงฟางสยงผู้นี้มากตัณหายิ่งนัก ไม่มีทางพูดอะไรดีๆ ออกมา!
ผ่านไปครู่หนึ่ง ยังไร้เสียงใดๆ เล็ดลอดออกมาจากม่านดามคาด ทุกคนต่างมองหน้ากัน เกาหัวด้วยความไม่สบายใจ
ไม่มีคำอธิบายสำหรับเื่นี้เลยหรือ? ต้องรออย่างเดียวหรือ
“พวกเ้าไม่เข้าใจอะไรเลย”
ทันใดนั้น ฉู่อวิ๋นก็ยืนขึ้น มองไปรอบๆ และพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“คนป่าเถื่อนเช่นเ้าจะรู้อะไร? วางท่าอยู่ได้ กลับไปที่ถ้ำของเ้าเถอะ!” โม่ซิวเป็คนแรกที่ด่าว่าฉู่อวิ๋นอย่างไม่พอใจยิ่ง
“ฮะๆ คนป่าก็มีความคิดเห็นของตัวเอง ข้าเองก็อยากได้ยินเช่นกัน”
เสวี่ยหานเฟยหรี่ตาลงและยิ้มน้อยๆ อยากเห็นฉู่อวิ๋นทำตัวโง่เขลา เพราะเมื่อครู่เขาเพิ่งออกความเห็นออกไป แต่ฉู่ซินเหยาก็ยังคงเมินเฉย ซึ่งทำให้เขาไม่พอใจ
“เด็กป่าคนนี้จะไปรู้อะไรกัน?”
“กลับไปร้องเพลงพื้นบ้านที่ถ้ำเ้าเถอะ!”
ทันใดนั้นก็มีเสียงะโและคำก่นด่าปะทุขึ้น ทุกคนโกรธมากที่ถูกคนป่าเช่นนี้ดูิ่ แม้ว่าพวกเขาจะคาดเดาความหมายของเพลงได้ไม่ถูกต้อง แต่ก็ไม่คิดอนุญาตให้ฉู่อวิ๋นมามีสิทธิ์มีเสียงที่นี่
ทว่าท่ามกลางเสียงดุด่าจากรอบทิศ ฉู่อวิ๋นกลับไม่รู้สึกรู้สาใดๆ เขาก้าวไปข้างหน้า และจ้องมองไปยังร่างอันคุ้นเคยหลังม่าน
ผ่านไปสักพักเขาก็หายใจเข้าลึกๆ เปลี่ยนเสียงแล้วถามว่า “คุณหนูฉู่ ท่าน... กำลังคิดถึงใครบางคนอยู่หรือเปล่า?”
เมื่อได้ยินคำนี้ ร่างหลังม่านก็สั่นสะท้านเล็กน้อย แต่ก็ยังคงไม่แสดงออก
“ลิงหลอกเ้า เ้าหนู! ถ้าไม่เข้าใจดนตรีก็อย่าพูดมั่วซั่ว!” มีคนหัวเราะเยาะดังขึ้นมา คิดว่าฉู่อวิ๋นแสร้งทำเป็จริงจังด้วยอยากเข้าใกล้ฉู่ซินเหยา
กระนั้น ฉู่อวิ๋นยังคงไม่สะทกสะท้าน ราวกับตัดขาดจากโลกภายนอก มองเห็นได้เพียงคนหลังม่านเท่านั้น
เขาก้าวไปข้างหน้าอีกก้าวแล้วพูด “คนๆ นั้นสำคัญกับท่านมาก แต่ท่านจากเขามา จึงเสียใจยิ่งนัก ทำสิ่งใดก็ไม่ได้ ได้แต่แสดงความรักต่อความทรงจำในอดีตเท่านั้นใช่หรือไม่?”
“อืม…”
ทว่าหลังม่าน ฉู่ซินเหยากลับไม่อาจกลั้นน้ำตาได้ พยักหน้าหงึกๆ และกระซิบคำหนึ่งคำ
ทุกคนใอย่างยิ่ง เด็กหนุ่มคนนี้สามารถเข้าใจจิตใจของคนงามได้หรือ?!
ฉู่อวิ๋นเดินเข้าไปใกล้อีกก้าวแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้ม “บทเพลงของท่านดูเหมือนจะเต็มไปด้วยพลัง แต่ความจริงแล้วเป็การคะนึงถึงวันวานอันแสนสุข ััได้ถึงความเศร้าโศก ท่านกำลังรำลึกถึง่เวลาแห่งความสุขนั้นกับใครคนนั้นใช่หรือไม่?”
ทันทีที่พูดจบ ทุกคนต่างก็จ้องไปที่ม่านด้วย้าสังเกตปฏิกิริยาของฉู่ซินเหยา
“คุณชาย... ท่าน... ท่านพูดถูกแล้ว คนๆ นั้น... จากข้าไปไกลแล้ว...”
หลังจากนั้นไม่นาน เสียงผู้หญิงที่แว่วหวานไพเราะเคล้าเสียงสะอื้นก็ดังออกมา ทำลายความเงียบที่นี่ลงในทันที
ทุกคนอ้าปากค้างตกตะลึง หรือว่า... เด็กป่าคนนั้นกำลังหลอกถามความหมายของเพลง?
หลังจากได้ยินคำพูดนี้ ฉู่อวิ๋นย่อมรับรู้ได้ทันทีว่าพี่สาวซินเหยาเป็ห่วงเขา!
ในใจก็พลันเ็ปขึ้นมา เขาสูดหายใจและตัดสินใจให้ความหวังกับฉู่ซินเหยา โดยพูดว่า “คุณหนูฉู่ อย่าเพิ่งเศร้าไป บางที... คนที่ท่านรักอาจจะกลับมาหาท่านในเร็ววัน”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉู่ซินเหยาก็ฉายสีหน้าเศร้าสร้อย น้ำเสียงหม่นหมอง และกระซิบเบาๆ “คุณชาย ท่านคงไม่รู้อะไร คนๆ นี้ ที่หญิงเช่นข้าคนนี้รักมากที่สุด เขาไม่... ไม่อยู่บนโลกใบนี้อีกแล้ว”
หลังจากพูดจบ ฉู่ซินเหยาก็รู้สึกแสบจมูก ั์ตาคู่งามของนางรื้นไปด้วยน้ำตา โศกเศร้ายิ่งนัก
ยามนี้ ดวงตาของฉู่อวิ๋นเบิกกว้าง สีหน้าตกตะลึง ร่างกายสั่นเทา
อะไรนะ? เขาตายแล้ว เขายืนทนโท่อยู่ตรงนี้ไง! เขาจะตายได้อย่างไร?
ทว่าหลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ฉู่อวิ๋นก็คิดได้ว่าเหตุใดฉู่ซินเหยาจึงดูซีดเซียว ดวงตาหมองคล้ำเช่นนั้น
ที่แท้พี่ซินเหยาคิดว่าเขาตายแล้ว!
เมื่อนึกถึงการต่อสู้ในปากของราชันย์ราชสีห์เขี้ยวโลหิต ฉู่อวิ๋นก็ตระหนักได้ว่าคงเป็คนจากตระกูลมู่หรงที่ไปแจ้งข่าว เพราะดูจากสถานการณ์ในตอนนั้น เขาได้ตายไปแล้วจริงๆ
แต่ใครก็คาดไม่ถึงว่าชะตาเขาจะแข็งยิ่งนัก รอดชีวิตมาได้โดยบังเอิญ ทั้งตอนนี้ยังเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ความแข็งแกร่งก็เพิ่มมากขึ้น
“คุณชายท่านนี้ ท่าน... ท่านชื่ออะไร?”
ยามนี้ ฉู่ซินเหยาเริ่มถามก่อน แปลกใจยิ่งนักที่คนป่าคนนี้ทำให้นางรู้สึกอยากเข้าใกล้เขา
“ข้า... ข้า...”
ฉู่อวิ๋นอยากรีบพุ่งเข้าไปยอมรับตนเองกับฉู่ซินเหยา ปลอบนางให้ไม่ต้องเศร้าอีก
แต่ฉู่เจิ้นหนานอยู่ไม่ไกลจากศาลาและมีผู้แข็งแกร่งหลายคนคอยปกป้องอยู่ใกล้ๆ หากตัวตนของเขาถูกเปิดเผย ย่อมถูกฆ่าทันทีอย่างแน่นอน
นี่ไม่ใช่โอกาสดีที่จะได้รู้จักกัน!
ชั่วเวลาครู่เดียว ฉู่อวิ๋นก็คิดได้หลายอย่าง ในที่สุดเขาก็กัดฟัน ควบคุมน้ำเสียง และเอ่ยอย่างใจเย็น “ข้าเป็เพียงคนป่า ชื่อใดไม่สำคัญ”
“กลับเป็ท่าน คุณหนูฉู่ ลมหายใจของท่านอ่อนแรง ร่างกายก็อ่อนแอ ท่านควรดูแลตัวเองให้ดี ความทรงจำอันเ็ปเ่าั้และคนที่ท่านรัก ท่าน... ลืมมันไปเสียเถิด!”
ในตอนท้ายของประโยค ฉู่อวิ๋นเกือบจะควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ ทำได้เพียงจบคำพูดอย่างแข็งกร้าว
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ ดวงตาคู่งามของฉู่ซินเหยาก็อ่อนลง มือหยกของนางลูบสายกู่ฉินพร้อมพูดเบาๆ “ลำบากคุณชายมาปลอบใจแล้ว แต่มีบางเื่ บางคนที่ข้าจะไม่มีวันลืม”
“ถึงแม้เขาจะไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้ว แต่ก็จะอยู่ในใจของข้าตลอดไป”
“ข้าเคยบอกเขาคนนั้นว่าขอเพียงเขาสบายดี วันนั้นจะเป็วันที่สดใสของข้า”
“แต่ตอนนี้...” ดวงตาฉู่ซินเหยาเต็มไปด้วยความโศกเศร้าปริ่มน้ำตา เสียงของนางหลุดสะอื้น “สำหรับข้าแล้ว ไม่มีวันที่สดใสในโลกนี้อีกแล้ว ไม่มี อีกแล้ว...”
ขณะที่พูด นางก็หลั่งน้ำตาด้วยความปวดใจ
เมื่อได้ยินเสียงสะอื้นคร่ำครวญ ฉู่อวิ๋นก็เจ็บแปลบหน้าอกและกำหมัดแน่น
เขาอยากจะะโออกไปว่า “พี่ซินเหยา ข้าอยู่ตรงนี้แล้ว!” แล้วรีบเข้าไปกอดนางแน่นๆ เช็ดน้ำตาให้นาง
แต่ตอนนี้เขาทำไม่ได้ นี่ทำให้ฉู่อวิ๋นกังวลและไม่เต็มใจอย่างยิ่ง
“ไม่ว่าอย่างไร คุณหนูฉู่ ท่าน...ดูแลตัวเองด้วย!”
ในที่สุด ฉู่อวิ๋นก็ตัดสินใจพูดออกไป แล้วก็หันกลับไปยังที่นั่งของตัวเอง
เขาเริ่มหาวิธีซ่อนตัวตนของเขาจากผู้อื่นและทำความรู้จักกับฉู่ซินเหยาขึ้นมา
จะปล่อยให้นางเศร้าต่อไปไม่ได้!
-----------
[1] หมายถึงความรู้สึกพูดไม่ออกกับสิ่งที่คนอื่นพูด