บทที่ 1 เกิดในร่างใหม่
ความเ็ป
นั่นคือสิ่งแรกที่ อันหนิงััได้ มันไม่ใช่ความเ็ปฉับพลันจากการถูกรถบรร ทุกพุ่งชนแต่เป็ความเ็ปที่กัดกินอยู่ภายในราวกับมีกองทัพมดนับหมื่นกำลังแทะเล็มอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย ความร้อนรุ่มเหมือนถูกจับโยนเข้ากองไฟสลับกับความ หนาวเหน็บเสียดกระดูกราวกับนอนเปลือยกายอยู่กลางทุ่งน้ำแข็ง
เปลือกตาหนักอึ้งราวกับถูกถ่วงด้วยแท่งเหล็ก เธอพยายามฝืนลืมตาขึ้นมาอย่างยากลำ บาก ภาพที่เห็นพร่าเลือนและหมุนคว้าง ก่อนจะค่อยๆ ปรับโฟกัสจนเห็นเป็ภาพหลัง คาไม้ผุพังที่มีรูโหว่ จนมองเห็นท้องฟ้าสีเทาหม่นเป็หย่อมๆ
ที่นี่ที่ไหน?
ไม่ใช่โรงพยาบาล ไม่ใช่ห้องพักของเธอ
กลิ่นอับชื้นของดินและไม้ผุผสมกับกลิ่นยาต้มราคาถูกลอยคลุ้งอยู่ในอากาศที่เย็นยะ เยือก เธอขยับตัวเล็กน้อย เสียงเตียงไม้เก่า ๆ ก็ลั่นเอี๊ยดอ๊าดประท้วงราวกับจะพังลงมา ทุกเมื่อ เมื่อกวาดสายตามองไปรอบตัวอย่างเชื่องช้า นี่มันกระท่อมดินชัด ๆ! ผนังดินเหลืองที่แตกระแหงมีลมหนาวลอดเข้ามาเป็ระยะ เฟอร์นิเจอร์หนึ่งเดียวใน ห้องนอกจากเตียงที่เธอนอนอยู่ก็คือโต๊ะไม้ขาเป๋ที่วางชามบิ่น ๆ ไว้ใบหนึ่ง
ความทรงจำสุดท้ายของเธอคือแสงไฟจ้าจากรถบรรทุกที่พุ่งฝ่าสายฝนเข้ามา แล้วภาพทุกอย่างก็ดับววูบไป
ติ๊ง!
พลันกฎเสียงใสราวกับหยดน้ำกระทบผิวน้ำดังขึ้นในหัว พร้อมกับหน้าจอสีฟ้า โปร่งแสง ปรากฏขึ้นตรงหน้าเธอ ราวกับภาพโฮโลแกรมมีตัวอักษรสีขาวลอยเด่นอยู่ ตรงกลาง
[กำลังเชื่อมต่อระบบโอสถทิพย์ เชื่อมต่อสำเร็จ 100%]
[ยินดีต้อนรับสู่โลกใบใหม่ โฮสต์ อันหนิง]
[กำลังทำการสแกนร่างกายโฮสต์เบื้องต้น]
อันหนิงเบิกตากว้างด้วยความตื่นตระหนก นี่มันอะไรกัน? ความฝัน? หรืออาการประสาทหลอนก่อนตาย?
[ผลการสแกน:
ชื่อ: อันหนิง
อายุ: 15 ปี
สถานะ: อยู่ในภาวะขาดสารอาหารรุนแรง มีไข้สูงจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ร่างกายอ่อนแอถึงขีดสุด มีโอกาสเสียชีวิตภายใน 12 ชั่วยาม]
หัวใจของเธอร่วงหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม นี่ไม่ใช่ความฝัน ความเ็ปนี้ ความหิวโหยนี้มันจริงเกินไป เธอทะลุมิติ! ทะลุมิติตามพล็อตนิยายที่เคยอ่านฆ่าเวลา มานับไม่ถ้วนแต่ทำไม์ถึงได้เล่นตลกกับเธอแบบนี้ส่งเธอมาอยู่ในร่างของเด็ก สาวที่กำลังจะตาย แถมยังดูยากจนข้นแค้นถึงเพียงนี้!
"กฎแห่งการทะลุมิติข้อหนึ่ง: ไม่มีเื่ไหนที่หมั่นโถวขึ้นราหนึ่งชิ้นแก้ปัญหาไม่ได้ ถ้ามี ก็แปลว่ายังหิวไม่พอ" อันหนิงพึมพำกับตัวเองด้วยน้ำเสียงแหบพร่า พยายามหาเื่ตลกมาปลอบใจ แต่กลับรู้สึกอยากจะร้องไห้มากกว่า
เสียงเปิดประตูดังขึ้นพร้อมกับเสียงลมหายใจที่เหนื่อยหอบ ร่างของหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินเข้ามาในห้อง นางสวมเสื้อผ้าผ้าป่านเนื้อหยาบที่ผ่านการปะชุนมานับครั้งไม่ถ้วน ใบหน้าซูบตอบ ดวงตาแดงก่ำและบวมช้ำจากการร้องไห้มาอย่างยาวนาน แต่แววตาที่มองมายังเธอนั้นกลับเปี่ยมไปด้วยความรักและห่วงใยจนสุดหัวใจ
"หนิงเอ๋อร์ ลูกแม่ ตื่นแล้วหรือลูก" น้ำเสียงของนางสั่นเครือ เดินเข้ามานั่งลงข้างเตียงอย่างระมัดระวังมือที่หยาบกร้านและเย็นเฉียบของนางเอื้อมมาอังหน้าผากของอันหนิงเบาๆ "ตัวยังร้อนจี๋อยู่เลย อดทนหน่อยนะลูก แม่ไปขอยาจากท่านหมอจางมาให้แล้ว"
ความทรงจำที่ไม่ใช่ของเธอก็เริ่มหลั่งไหลเข้ามาในหัวราวกับเขื่อนแตก เด็กสาวคนนี้ก็ชื่อ อันหนิง เช่นเดียวกับเธอ บิดาของนางชื่ออันจิน เคยเป็หมอเทวดาผู้มีชื่อเสียงที่สุดในเมือง แต่เมื่อครึ่งปีก่อน เขาถูกหอโอสถหมื่นปี ร้านยาคู่แข่งใส่ร้ายว่าจ่ายยาผิดจนทำให้คุณชายตระกูลใหญ่เสียชีวิต ไม่เพียงถูกทางการยึดป้ายหมอ ทำลายเส้นเอ็นที่ขาจนพิการเดินไม่ได้ ยังต้องชดใช้ค่าเสียหายจนสิ้นเนื้อประดาตัว แถมถูกขับไล่ออกจากเมืองให้มาอาศัยอยู่ ในกระท่อมท้ายหมู่บ้านแห่งนี้
ความสิ้นหวังถาโถมเข้าใส่ครอบครัวเล็ก ๆ บิดากลายเป็คนขี้เมาสิ้นหวัง มารดาชื่อหลี่ซือ ต้องทำงานรับจ้างเย็บปักถักร้อยจนดวงตาพร่ามัวเพื่อแลกกับเศษเงิน ประทังชีวิตส่วนอันหนิงเ้าของร่างเดิมก็ล้มป่วยเพราะร่างกายอ่อนแอและตรอมใจ ตายจนกระทั่งิญญาของเธอได้เข้ามาแทนที่
"ท่านแม่" อันหนิงเรียกออกมาเสียงแ่ความรู้สึกผูกพันและสงสารอย่างสุดซึ้งที่มา จากเ้าของร่างเดิมทำให้น้ำตาของเธอรินไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
หลี่ซือเห็นลูกสาวร้องไห้ก็ใจจะขาด นางรีบเช็ดน้ำตาให้อย่างแ่เบา "ไม่ร้องนะลูก ไม่ร้อง... ดื่มยาก่อนนะลูกนะ"
นางประคองอันหนิงให้ลุกขึ้นพิงหัวเตียงก่อนจะหยิบชามยาที่ส่งกลิ่นฉุนรุนแรงขึ้นมา เป่าเบาๆ "มาลูก อึกเดียวก็หมดแล้ว ดื่มแล้วจะได้หายไวๆ"
อันหนิงมองยาในชามด้วยสายตาของนักศึกษาแพทย์แผนจีน ยาถ้วยนี้มีแค่สมุนไพร ลดไข้ที่ฤทธิ์อ่อนที่สุดสองสามชนิดไม่มีตัวยาที่ช่วยฆ่าเชื้อหรือบำรุงร่างกายเลยแม้แต่น้อยดื่มเข้าไปก็แค่ช่วยให้สบายตัวขึ้นชั่วครู่ แต่ไม่ได้ช่วยรักษาต้นตอของโรคเลยแม้ แต่น้อย นี่มันก็แค่ยาประโลมใจเท่านั้น
แต่เธอก็ดื่มมันเข้าไปจนหมดเพราะนี่คือน้ำใจและความพยายามทั้งหมดที่มารดาผู้ยากไร้คนนี้จะหามาให้เธอได้
"เด็กดี นอนพักนะลูกนะ เดี๋ยวแม่จะไปดูว่ามีอะไรให้ลูกกินบ้าง" หลี่ซือพูดจบก็เดินออกไปพร้อมกับชามเปล่า
ไม่นานนัก เสียงทะเลาะวิวาทเบา ๆ ก็ดังมาจากนอกห้อง
"ท่านพี่! ท่านจะดื่มเหล้าอีกแล้วหรือ! นั่นเป็เงินก้อนสุดท้ายที่ข้ามีไว้ซื้อข้าวให้ ลูกนะ!"
"เอามาเถอะน่า! ข้ามันก็แค่ไอ้คนพิการไร้ค่า ให้ข้ากินเหล้าให้ตายๆ ไปซะก็สิ้นเื่!" เสียงทุ้มแหบพร่าของบุรุษะโกลับมาอย่างเกรี้ยวกราด ตามด้วยเสียงของตกแตก และเสียงสะอื้นไห้ของหลี่ซือ
อันหนิงกำหมัดแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในฝ่ามือ ความโกรธและความสงสารปะทุขึ้นใน ใจบิดาของเธอ อันจิน เขาไม่ได้ไร้ค่า เขาแค่ถูกทำลายจนจิตใจพังทลายและท้อแท้จน ไม่เหลือความหวัง!
เธอต้องทำอะไรสักอย่าง! เธอจะปล่อยให้ครอบครัวนี้ล่มสลายไปต่อหน้าต่อตาไม่ได้!
ติ๊ง!
[ภารกิจแรกเริ่ม: เอาชีวิตรอด]
[คำแนะนำ: โปรดใช้ฟังก์ชัน สแกนสภาพแวดล้อม เพื่อค้นหาวัตถุดิบที่สามารถใช้เป็ยาหรืออาหารได้ในรัศมี 10 เมตร]
ราวกับแสงสว่างที่ส่องลงมากลางความมืดมิด อันหนิงไม่ลังเลที่จะสั่งการในใจทันที "สแกนสภาพแวดล้อม!"
ทันใดนั้น ในมโนภาพของเธอ ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวก็กลายเป็ภาพโครงร่างสีเขียว ยกเว้นเพียงวัตถุไม่กี่ชิ้นที่ส่องแสงออกมาแตกต่างกัน
[ค้นพบ: หัวมันป่า (แห้งเหี่ยว) บริโภคได้ แต่มีสารอาหารต่ำมาก]
[ค้นพบ: รากดินซ่อนดาว (Starglitter Root) พืชวงศ์หญ้า ชาวบ้านมองว่าเป็วัชพืช แต่ส่วนรากมีฤทธิ์ต้านการอักเสบและลดไข้ได้ดีเยี่ยม อีกทั้งยังมีแป้งสะสมอยู่ สามารถใช้เป็อาหารในยามฉุกเฉินได้]
แสงสีทองสว่างวาบขึ้นมาจากพื้นดินใต้ถุนเตียงไม้เก่า ๆ!
อันหนิงกัดฟันแน่นจนกรามสั่น รวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีพยุงตัวเองลงจากเตียง ร่างกายที่อ่อนแอปวกเปียกแทบจะล้มลงไปกองกับพื้นในทันที เธอต้องใช้ขอบเตียงและผนังดินที่เย็นเฉียบเป็ที่ยึดเกาะ ค่อย ๆ ขยับร่างที่สั่นเทาของตนเองไปยังบานประตูที่ผุพัง ทุกย่างก้าวเปรียบดังการเดินบนคมมีด ลมหายใจหอบถี่และขาดห้วง
ลมหนาวที่พัดสวนเข้ามาทันทีที่แง้มประตู ทำให้เธอสะท้านไปทั้งร่างแทบสิ้นสติ อากาศภายนอกนั้นทั้งเย็นและชื้น กลิ่นดินหลังฝนพรำจาง ๆ ผสมกับกลิ่นใบไม้เน่า เปื่อยลอยมากระทบจมูก แต่แสงสีทองในมโนภาพของเธอกลับยังคงส่องสว่างแน่วแน่ ชี้ไปยังมุมอับข้างกระท่อม ตรงซอกกำแพงดินที่เริ่มพังทลายลงมา
เธอก้าวข้ามธรณีประตูออกไป เท้าเปล่าัักับพื้นดินที่เย็นชืดและเปียกชื้นจนน่า ขนลุก เธอมองไปยังจุดที่ระบบชี้เป้าตรงนั้นมีกอหญ้ารก ๆ ขึ้นอยู่หย่อมหนึ่งซึ่งดูไม่ ต่างจากวัชพืชไร้ค่าอื่น ๆ ที่พยายามดิ้นรนเอาชีวิตรอดในสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายนี้ เลยแม้แต่น้อย เธอทรุดกายนั่งลงกับพื้นดิน คว้ากิ่งไม้แห้งที่ตกอยู่ใกล้ ๆ มาเป็เครื่องมือค่อย ๆ ขุดคุ้ยพื้นดินที่แข็งกระด้างและจับตัวเป็ก้อนจากความชื้น อย่างทุลักทุเล เรี่ยวแรงของเธอมีน้อยเต็มที ทุกครั้งที่ออกแรงขุดแขนของเธอก็สั่นเทิ้ม จนแทบจะประคองกิ่งไม้ไว้ไม่ไหว เหงื่อกาฬไหลท่วมตัวราวกับอาบน้ำ ทั้งที่อากาศรอบกายนั้นหนาวเหน็บจนแทบจะแช่แข็งเืในกาย ความร้อนจากพิษไข้และความเย็นจากภายนอกปะทะกันอย่างรุนแรง ทำให้สติของเธอเริ่มเลือนราง แต่แววตาของเธอกลับมุ่งมั่นอย่างที่ไม่เคยเป็มาก่อน
ในที่สุด ปลายไม้ก็กระทบกับของแข็งบางอย่าง เธอใช้มือเปล่าโกยดินออกอย่างไม่คิด ชีวิต จนกระทั่งรากไม้รูปร่างคล้ายหัวมันฝรั่งขนาดเท่ากำปั้นเด็กปรากฏแก่สายตา ผิวของมันเป็สีน้ำตาลเข้ม แต่กลับมีจุดเล็ก ๆ สีขาวระยิบระยับคล้ายดวงดาวประ ปรายอยู่ทั่วทั้งหัวสมชื่อ รากดินซ่อนดาว
เธอถอนมันขึ้นมา กลิ่นดินสดชื่นลอยเข้าจมูก นี่คือความหวัง! คือฟางเส้นสุดท้ายของเธอและครอบครัว!
เธอใช้เรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายคลานกลับเข้ามาในกระท่อมพร้อมกับรากไม้ที่เปื้อนดินในมือ ยังไม่ทันจะได้พักหายใจ ทันใดนั้นประตูห้องก็ถูกกระชากเปิดออกอย่างแรง
ร่างสูงใหญ่แต่ซูบผอมของบุรุษผู้หนึ่งยืนอยู่ แสงสว่างจากภายนอกส่องย้อนจนเห็น เพียงเงาดำเขายืนพิงวงกบประตูในมือข้างหนึ่งถือไม้เท้าค้ำยันร่างกายที่โงนเงนเอาไว้ แต่กลิ่นเหล้าฉุนกึ้กที่โชยมาปะทะ จมูกกับแววตาที่แดงก่ำและว่างเปล่าสิ้นหวังคู่นั้น ทำให้อันหนิงรู้ได้ทันทีว่านี่คือบิดาของเธอ อันจิน
เขามองเธอด้วยสายตาตกตะลึง ก่อนจะเลื่อนลงไปมองรากไม้เปื้อนดินในมือของเธอ ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวด้วยความโกรธระคนสิ้นหวัง
"เ้า เ้าทำอะไร!" เขาตวาดลั่น เสียงดังจนกระท่อมแทบะเื "อดอยากจนสติฟั่นเฟือนไปแล้วรึ! ถึงได้ขุดรากไม้พิษขึ้นมากิน! คิดจะตายตามข้าไป หรือไง!"
หลี่ซือรีบวิ่งตามเข้ามา พอเห็นสภาพของลูกสาวและรากไม้ในมือก็หน้าซีดเผือด "หนิงเอ๋อร์! ทิ้งมันไปเดี๋ยวนี้ลูก! นั่นมันหญ้าพิษนะ กินไม่ได้!"
อันหนิงส่ายหน้าช้า ๆ เธอกอดรากไม้ไว้แน่นราวกับเป็สมบัติล้ำค่าที่สุดในโลก เธอมองลึกเข้าไปในดวงตาที่เคยปราดเปรื่องแต่บัดนี้เหลือเพียงความว่างเปล่าของบิดา แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่าแต่กลับหนักแน่นอย่างประหลาด
"ท่านพ่อ ท่านแม่ นี่มันไม่ใช่ยาพิษ " อันจินมองลึกลงไปในดวงตาของบุตรสาว แววตาคู่นั้น มันไม่ใช่แววตาของเด็กสาวขี้อายและอ่อนแอที่เขารู้จักอีกต่อไปแล้ว มันเป็แววตาที่สุขุมเด็ดเดี่ยวและมีความมั่นใจบางอย่างฉายชัดออกมาจนน่าประ หลาดใจ ราวกับเป็คนละคน
แต่ความสิ้นหวังที่กัดกินใจมานานเกินไปทำให้เขาไม่พร้อมจะเชื่อสิ่งใดอีกแล้ว ความกลัวที่จะต้องสูญเสียลูกสาวไปอีกคนทำให้เขาะเิอารมณ์ออกมา
"ไร้สาระ!" เขากระชากเสียง "ในเมื่อพวกเ้าอยากตายกันนัก ก็กินมันเข้าไปเลย! กินให้ตาย ๆ ไปซะ! ข้าจะได้ไม่ต้องทนดูพวกเ้าลำบากอีกต่อไป!"
พูดจบ เขาก็หันหลังกลับ กระแทกประตูเดินโซซัดโซเซออกไป ทิ้งไว้เพียงความเงียบที่น่าอึดอัดและเสียงสะอื้นไห้ของหลี่ซือที่ทรุดตัวลงกับพื้นอย่างหมดแรง
อันหนิงมองตามแผ่นหลังที่เคยสง่างามแต่บัดนี้กลับบอบช้ำและโดดเดี่ยวของบิดา น้ำตาหยดหนึ่งไหลลงมาอาบแก้ม ไม่เป็ไร เธอเข้าใจความเ็ปของเขา
เธอก้มลงมองรากดินซ่อนดาวในมือก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองมารดาที่กำลังร้องไห้
"ท่านแม่ ช่วยข้าต้มน้ำได้หรือไม่เ้าคะ"
คืนนี้ จะต้องมีใครสักคนในบ้านหลังนี้ที่ได้กินอิ่ม และมีแรงลุกขึ้นสู้ในวันพรุ่งนี้ และคนคนนั้น จะต้องเป็เธอ