“ในเมื่อเป็เช่นนี้ พฤติกรรมของโค่วฉีนั้นทำผิดกฎหมายอยู่ก่อนหรือไม่? นี่คือข้อที่หนึ่ง” หลี่ลั่วกล่าวขึ้นอีก “ข้อที่สอง เขาร้องเรียนขุนนางขั้นสูงกว่าตนเอง ถือเป็ความผิดอีกหนึ่งข้อ หากว่ากันตามกฎหมายของรัชสมัย ต้องโทษโบยหนึ่งร้อยไม้ ถูกต้องหรือไม่?”
“ถูกต้อง” เสนาบดีกรมยุติธรรมกล่าว
“มิผิด” ต้าหลี่ซื่อชิงกล่าวเสริม
หลี่ลั่วเอามือปิดปากแอบหัวเราะ “ฝ่าา เสี่ยวเฉินยังคาดเดาได้อีกอย่างหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ”
“คาดเดาอันใด?”
“ั้แ่โบราณมา เสี่ยวเฉินเคยได้ยินว่ามีคนเลียนแบบตัวอักษรของผู้อื่นได้ร้ายกาจอย่างยิ่ง หากเป็ผู้ที่เก่งกาจจะมองไม่ออกถึงพิรุธใดๆ เื่การร้องเรียนนี้ดูเหมือนเป็การใส่ร้ายป้ายสี แค่จดหมายฉบับหนึ่ง อาจเป็ไปได้ว่าเป็การลอกเลียนแบบ ใครจะรู้เล่าพ่ะย่ะค่ะ”
“เ้า...เสี่ยวโหวเหฺยพูดจาให้ร้ายผู้อื่น” โค่วฉีโมโหแทบตาย เ้าบรรพบุรุษตัวน้อยนี่มาจากที่ใดกัน? เหตุใดท่าทางฝ่าาจึงดูเอ็นดูเป็พิเศษ? โค่วฉีมองไปทางเสนาบดีฉิน เสนาบดีฉินส่ายหน้า เพราะคำพูดของหลี่ลั่วนั้นมีเหตุผลทุกประโยค เขาก้าวออกมาไม่ได้
โค่วฉี เป็คนของเสนาบดีฉิน
เสนาบดีฉินรู้สึกคาดไม่ถึงเช่นกัน คิดไม่ถึงว่ากับดักในวันนี้ แผนการที่เขาใช้เวลาเนิ่นนานในการวางหมาก กลับถูกเด็กน้อยอายุห้าขวบทำให้เสียการ เดิมทีสถานการณ์ควรจะเป็ประโยชน์ต่อฝ่ายพวกเขา เกรงว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเสียแล้ว
“ชู่ว์” ความหมายของหลี่ลั่วคืออย่าก่อความวุ่นวาย “ท่านได้สอบเคอจวี่นี่นา ปฏิบัติและคิดบัญชีกับผู้บังคับบัญชาของตนเอง ผู้ใดเลยจะกล้าเชื่อถือคนเช่นท่าน? และต่อให้แม่ทัพน้อยอวี๋จะมีปัญหาจริงๆ ท่านสามารถเขียนหนังสือมาแจ้งความสงสัยของท่านได้ แล้วส่งมาให้เสนาบดีกรมยุติธรรม เ้าร้องเรียนข้ามขั้น เ้าเอาเสนาบดีกรมยุติธรรมไปไว้ที่ไหนกัน?”
ผู้ที่ถูกนำไปไว้ที่ไหนสักที่เช่นเสนาบดีกรมยุติธรรมได้ยินคำพูดประโยคนี้ของหลี่ลั่วแล้ว หน้าดำทะมึนทันที ต่อให้เขากระจ่างแจ้งว่าหลี่เสี่ยวโหวเหฺยผู้ฉลาดเฉลียวท่านนี้เจตนาให้เขาก้าวออกมา ก็เกรงว่าเขาคงจะไม่ก้าวออกมาพูดจาไม่ได้เสียแล้ว “เสี่ยวโหวเหฺยช่างเข้าใจกฎหมายได้ลึกซึ้งยิ่ง”
“ขอรับ เปิ่นโหวสาบานเอาไว้ั้แ่เล็กว่าจะเป็คนดีที่รู้กฎหมายและเคารพกฎหมายขอรับ” หลี่ลั่วตอบคำ
มุมปากของเสนาบดีกรมยุติธรรมกระตุกขึ้นครั้งหนึ่ง ความรู้สึกของเขานั้นเสี่ยวโหวเหฺยในเวลานี้ราวกับไม่ใช่เด็กน้อย
“และต่อให้ไม่เขียนจดหมายนำส่งให้กับเสนาบดีกรมยุติธรรม ก็ยังสามารถส่งให้จดหมายให้กับผู้บังคับบัญชาโดยตรงของเ้าเช่นท่านใต้เท้าตุลาการสูงสุด ผู้ตรวจการเป็หน่วยงานที่อยู่ภายใต้ฝ่ายตรวจการทั้งปวง ใช่หรือไม่?” หลี่ลั่วกล่าวขึ้นอีก
ตุลาการสูงสุดยืนอยู่ดีๆ ก็ถูกลากเข้าไปด้วย เขาเคียดแค้นชิงชังโค่วฉีหลายส่วนเลยทีเดียว จะร้องเรียนใครไม่ว่า ไฉนจึงต้องร้องเรียนแม่ทัพน้อยอวี๋ ไม่รู้หรือไรว่าแม่ทัพน้อยอวี๋เป็พี่ชายของฉีอ๋อง? ไม่รู้หรือไรว่าอาจารย์ของฝ่าานั้นออกมาจากสกุลอวี๋? คนอะไรร้องเรียนผู้บังคับบัญชาของตนเช่นนี้
นับจากวันนี้ไป หลี่เสี่ยวโหวเหฺยผู้มีฝีปากเป็เลิศจึงได้มีชื่อเสียงเรียงนามอันน่าอัศจรรย์ เด็กน้อยอายุห้าขวบพูดถกประเด็นอภิปรายไม่หยุดถึงเหตุผลต่างๆ นานา พูดจาไหลลื่นจนทำให้ขุนนางทั้งราชสำนักต้องปากอ้าตาค้าง
บางคนรู้สึกว่าในยุคนี้จะไม่มีอะไรก็ได้ แต่ถ้าไม่มีฝีปากที่ดีนั้นไม่ได้
“เด็กๆ”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าา?”
“จับกุมตัวโค่วฉีไว้ ร้องเรียนผู้บังคับบัญชาข้ามขั้นตอน ให้โบยตามกฎหนึ่งร้อยไม้ ฝ่ายตรวจการ กรมยุติธรรม ศาลต้าหลี่ ทั้งสามส่วนตรวจสอบผู้ตรวจการซีเป่ยบุกรุกจวนแม่ทัพซีเป่ย ขโมยสารลับเป็อีกเื่หนึ่ง” ฝ่าามีราชโองการลงมา
“กรมยุติธรรมรับราชโองการพ่ะย่ะค่ะ”
“ศาลต้าหลี่รับราชโองการพ่ะย่ะค่ะ”
“ฝ่ายตรวจการรับราชโองการพ่ะย่ะค่ะ”
“รีบลากตัวคนผู้นี้ออกไปเดี๋ยวนี้”
“ลากตัวออกไปซะ...รีบๆ ลากตัวออกไป” ไห่กงกงเข้าไปสั่งการ
“ช้าก่อน” ในเวลานี้เอง กู้จวิ้นเฉินเอ่ยปากขึ้น “เสด็จอา ในเมื่อผู้ตรวจการชายแดนซีเป่ยร้องเรียนว่าแม่ทัพอวี๋สมคบคิดกับแคว้นฝูชิว ความเห็นของหลานเห็นว่าไม่สู้ส่งคนไปตรวจสอบที่ซีเป่ยสักครั้งพ่ะย่ะค่ะ”
จ้าวหนิงฮ่องเต้หรี่ตาลง “เช่นนั้นตามความเห็นของเ้า ผู้ใดเหมาะสมที่สุด? ทั้งสามส่วนร่วมสอบสวน กรมยุติธรรม ศาลต้าหลี่ และฝ่ายตรวจการนั้นไม่มีคนที่จะออกไป
กู้จวิ้นเฉินคุกเข่าลง “หลานไม่มีความสามารถ ยินดีที่จะไปแนวหน้าพ่ะย่ะค่ะ”
“จวิ้นเฉิน” จ้าวหนิงฮ่องเต้ทนไม่ไหวร้องเรียกเสียงสูงออกมา
“น้องสี่ เกรงว่าสุขภาพของเ้าจะรับไม่ไหว มิสู้ให้พี่ใหญ่ไปแทนเ้า” องค์ชายใหญ่รีบกล่าว
“น้องสี่ พี่รองยินดีที่จะไปแนวหน้าแทนเ้า” องค์ชายรองรีบตามเข้ามาเอ่ยปาก
“น้องสี่ ยังมีพี่สาม พี่สาม...”
“ความปรารถนาดีของพี่ๆ ทั้งสาม จวิ้นเฉินรับไว้ด้วยใจแล้ว” กู้จวิ้นเฉินขัดคำพูดของพวกเขา “เสด็จอา นอกจากตัวเวยเฉินแล้ว เวยเฉินไม่ไว้ใจผู้ใดพ่ะย่ะค่ะ ซีเป่ยเป็จุดยุทธศาสตร์ ครั้งนั้นเสด็จอาอยู่ที่นั่นยี่สิบกว่าปี ปราบปรามแคว้นฝูชิวไม่สำเร็จ เห็นได้ว่าแม้แคว้นฝูชิวจะเป็แคว้นเล็กๆ แคว้นหนึ่ง แต่เราจะประมาทไม่ได้ ดังนั้น เวยเฉินในฐานะที่เป็น้องชายของแม่ทัพอวี๋ ย่อมอยากจะเป็ผู้ยืนยันความบริสุทธิ์ของเขามากกว่าผู้ใด เวยเฉินเป็ลูกหลานสกุลกู้ ย่อมคิดจะปกป้องคุ้มครองแผ่นดินของสกุลกู้พ่ะย่ะค่ะ”
นี่เป็ครั้งแรกที่กู้จวิ้นเฉินใช้คำว่า ‘เวยเฉิน’ เรียกแทนตัวเองต่อหน้าจ้าวหนิงฮ่องเต้ แต่ทว่าเวยเฉินสองคำนี้ทำให้จ้าวหนิงฮ่องเต้ตกตะลึงเสียเนิ่นนาน ถูกต้อง ขุนนางฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ต่างรู้ว่าสกุลอวี๋นั้นเป็ตัวแทนของฉีอ๋อง เื่ของแม่ทัพอวี๋แห่งซีเป่ย มีเพียงกู้จวิ้นเฉินเท่านั้นที่เหมาะสมที่สุด “อนุญาต”
“ขอบพระทัยเสด็จอาพ่ะย่ะค่ะ” กู้จวิ้นเฉินพูดต่อว่า “สามวันหลังจากนี้หลานจะออกเดินทางพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม” รับปากแล้วเขาจึงกลับมาแทนตัวเองว่าหลาน ไม่รับปากเขาแทนตัวเองว่าเวยเฉิน ช่าง...เป็เด็กที่เอาแต่ใจอะไรเช่นนี้
หลี่ลั่วจะพูดแล้วก็ต้องหยุดพร้อมกับมองไปทางกู้จวิ้นเฉิน เขา...จะไปซีเป่ย รู้ทั้งรู้ว่าเป้าหมายคือสกุลอวี๋ เป็กลลวงที่พุ่งมาหาเขา เขาก็ยังจะไปซีเป่ย เขาไม่รู้หรือไรว่าเื่นี้มันอันตรายเพียงใด? เขาเลอะเลือนไปแล้วหรือไร?
หลี่ลั่วเป็ทุกข์ อยากจะกระโจนเข้าไปข่วนหน้าเขาให้ลายไปเลย
กู้จวิ้นเฉินประสานสายตากับหลี่ลั่ว มองแววตาที่มีความกังวลอย่างไม่ปิดบัง กู้จวิ้นเฉินสั่นสะท้าน เขาคิดมาตลอดว่าตัวเองนั้นตัวคนเดียว ไม่มีห่วง แต่ครั้งนี้ เขากลับพบว่าเขาไม่ได้ตัวคนเดียวเสียแล้ว เขาไปอย่างสง่าผ่าเผย ทว่ากลับลืมไปว่าข้างหลังเขายังมีผู้ที่เอาใจใส่ต่อเขา
ความรู้สึกของการมีคนเอาใจใส่นั้น ได้โอบล้อมหัวใจของเขาเอาไว้ ลั่วเอ๋อร์... “การแสดงของเสี่ยวโหวเหฺย ยังไม่ได้เริ่มเลย” ในที่สุด กู้จวิ้นเฉินก็สบตาและย้ำเตือน
ให้ตายสิ
หลี่ลั่วโมโหจะตายอยู่แล้ว
“จงหย่งโหว เมื่อสักครู่เ้าบอกว่าจะแสดงอันใด? จะเป่าเพลงอะไรรึ?” จ้าวหนิงฮ่องเต้ทอดพระเนตรไปยังหลี่ลั่ว
“เสี่ยวเฉินเป่าขลุ่ยพ่ะย่ะค่ะ เชิญหลี่ฉางเฉิงรำกระบี่” หลี่ลั่วคิดออกแล้วว่าจะเป่าเพลงอะไรดี ถือเป็...การส่งกู้จวิ้นเฉิน “บิดาของเสี่ยวเฉินนั้นถือกำเนิดจากค่ายทหารซีเป่ย เคยได้รับความรักและดูแลจากฝ่าา รวมไปถึงความน่าเชื่อใจ บทเพลงของเสี่ยวเฉินถือเป็ตัวแทนของแม่ทัพค่ายทหารซีเป่ย อวยพรให้ฝ่าาอายุยืนหมื่นปีหมื่นๆ ปีพ่ะย่ะค่ะ”
จ้าวหนิงฮ่องเต้รู้สึกซาบซึ้ง ในเวลานี้ เด็กน้อยกับคำพูดเช่นนี้ เพื่อเป็การพูดแทนแม่ทัพอวี๋หรือไม่
“ดี เจิ้นอยากลองฟังดู”
หลี่ลั่วไม่ได้พูดคุยเื่นี้กับหลี่ฉางเฉิงมาก่อน แต่เื่ที่หลี่ลั่วจะเป่าขลุ่ยนั้นหลี่ฉางเฉิงรู้อยู่แล้ว ด้วยเหตุที่ก่อนหน้านี้หลี่ลั่วฝึกฝนมาโดยตลอด “เ้ารำกระบี่ของเ้าไปเรื่อยๆ ไม่ต้องสนใจการเป่าขลุ่ยของข้า”
“โหวเหฺยโปรดวางใจขอรับ” ถ้าจะให้บอกว่าหลี่ฉางเฉิงไม่ตื่นเต้นนั้นคือโกหกทั้งเพ การแสดงหน้าพระที่นั่ง แต่เขาจะให้โหวเหฺยผิดหวังไม่ได้
หลี่ลั่วยิ้มบางๆ เขาวางใจ เพราะวรยุทธ์ของหลี่ฉางเฉิงนั้นดีเยี่ยม ไม่ใช่ประเภทมาออกหมัดเพื่อความสวยงาม ดังนั้นเขาจึงไม่กังวลใจ
สำหรับเครื่องดนตรีแล้วนั้น นอกจากเปียโน ที่หลี่ลั่วชำนาญที่สุดก็คือขลุ่ย พ่อแม่ในยุคปัจจุบันนั้นมีความตั้งใจจริงในการอบรมสั่งสอนบุตรหลานของตน หลี่ลั่วก็ถูกการอบรมสั่งสอนนี้ทำร้ายมาก่อน ทุกวันนอกจากเรียนพิเศษแล้ว ยังต้องเรียนเครื่องดนตรีอีก ที่น่ากลัวที่สุดก็คือครอบครัวใดบอกว่าลูกของตนนั้นรู้เื่ไปหมดทุกอย่าง คุณปู่ของหลี่ลั่วเป็คนของกองทัพ ท่านชื่นชอบในเครื่องดนตรีประเภทขลุ่ยยิ่งนัก แต่สำหรับเปียโนนั้นไม่ค่อยพึงพอใจเท่าใดนัก
เสียงขลุ่ยดังขึ้น พลังเสียงแข็งแกร่งยิ่ง ผู้ที่ได้ยินต่างตกตะลึง ใครเลยจะคาดคิดว่าเด็กน้อยอายุเพียงห้าขวบสามารถเปล่าขลุ่ยได้ไพเราะจับใจคนขนาดนี้
กระบี่ของหลี่ฉางเฉิงเริ่มตวัดร่ายรำ ผู้ชายรำกระบี่ไม่เหมือนผู้หญิงรำกระบี่ ผู้หญิงนั้นอ่อนหวาน ที่ชื่นชมคือท่วงท่า งดงามก็พอแล้ว แต่ผู้ชายต้องแข็งแกร่ง สิ่งที่้าเห็นคือเข้มแข็งยิ่งใหญ่อย่างไม่ลังเลใดๆ
หลี่ลั่วเป่าขลุ่ยไปด้วย ท่องกลอนไปด้วย
‘กลุ่มควันลอยคละคลุ้ง มองแผ่นดินทางทิศเหนือ ธงัสะบัดพลิ้ว เสียงม้าร้องข่มเกรียงไกร คมกระบี่ดุจน้ำแข็ง’
‘ในใจนั้นเสมือนสายน้ำในแม่น้ำเหลือง ยี่สิบปีขึ้นเขาสูงที่ราบกว้างใหญ่ใครกันเล่ากล้าเผชิญหน้า’
(จ้าวหนิงฮ่องเต้ปราบปรามฝูชิว ณ ซีเป่ย เป็เวลายี่สิบปี หลี่ซวี่เข้าร่วมกับกองทัพั้แ่อายุสิบขวบ จนกระทั่งอายุได้สามสิบสามปีจึงมาเสียชีวิตเพราะจ้าวหนิงฮ่องเต้ ก็อยู่ด้วยกันมาร่วมยี่สิบกว่าปีเช่นกัน กลอนบทนี้สรรเสริญผู้ใดกัน? จ้าวหนิงฮ่องเต้ หลี่ซวี่ หรือนักรบสกุลอวี๋ หรือทหารจำนวนสิบหมื่นที่ปกป้องรักษาชายแดนซีเป่ย)
(หลี่ลั่วเคยพูดเอาไว้ เขาขอเป็ตัวแทนทหารซีเป่ย อวยพรให้ฝ่าาอายุยืนหมื่นปี หมื่นๆ ปี)
(ยามนี้ขุนนางทั้งหลายจึงเข้าใจถึงความทุ่มเทและความในใจของเด็กน้อย)
(หลี่ลั่ว บุตรชายหลี่ซวี่ ตามที่พูดกันว่าจ้าวหนิงฮ่องเต้มีพระประสงค์ให้เลี้ยงเอาไว้ข้างนอก สามขวบปูพื้นฐาน ห้าขวบเขียนบทกวี ย่อมไม่ใช่เพียงคำแอบอ้างเล่าลือ)
‘โกรธและคลั่ง ดาบยาวชี้ไปข้างหน้า คนมากมายเท่าใดที่สิ้นชีพต่างบ้านต่างเมือง’
‘น่าเสียดายนักการตายเพื่อแผ่นดิน อดทนทอดถอนใจ ไร้คำบรรยาย น้ำตาเืหลั่งรินเต็มดวงตา’
‘เสียงเกือกม้ามุ่งสู่ทิศใต้ คนมองมุ่งไปทิศเหนือ คนมองมุ่งไปทิศเหนือ หญ้าเขียวขจี ฝุ่นธุลีคละคลุ้ง’
‘ตัวข้ามุ่งมั่นพิทักษ์ผืนแผ่นดินปลดชายแดนแคว้น นำผู้มีเกียรติทั่วทั้งสี่ทิศมาอวยพร...ให้แคว้นเรา’
เสียงขลุ่ยของหลี่ลั่วยังคงบรรเลงต่อเนื่อง น้ำเสียงใสกังวานของเขา ยังคงดังก้องอยู่ในโสตประสาทของทุกคน การร่ายรำกระบี่ของหลี่ฉางเฉิงรวดเร็วดุดันยิ่งขึ้น กลอนบทนี้ จะถูกส่งต่อไปถึงอีกแว่นแคว้นหนึ่ง และจะถูกผู้คนสรรเสริญ
เขาสรรเสริญคนทุกคนที่ตายอย่างไม่เสียดายชีวิต นักรบผู้กล้าที่ปกป้องรักษาแนวชายแดน ถูกต้อง พวกเขาไม่ใช่ทหาร พวกเขาเป็นักรบ เป็นักรบผู้กล้า
เสียงขลุ่ยหยุดลง กระบี่ถูกเก็บเข้าฝัก หลี่ลั่วยืดตัวยืนขึ้น ราวกับที่ยืนอยู่ตรงนั้นไม่ใช่เด็กน้อยห้าขวบอีกต่อไป แต่เป็เด็กหนุ่ม กานหลัว ที่สามารถรั้งตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีในวัยสิบสองขวบได้ เขาหลี่ลั่วย่อมเป็ใต้เท้าได้เช่นกัน
แต่ในความเป็จริงแล้ว คำพูดประโยคนี้ออกมาจากปากเด็กน้อยอายุห้าขวบ
จ้าวหนิงฮ่องเต้ลุกขึ้นยืน แปะๆๆ...เสียงปรบมือเสียงดังก้อง ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำ มีความรู้สึกตื่นเต้นอย่างยากที่จะควบคุมเอาไว้ได้ “เป่าได้ดี บทกลอนเป็เลิศ กระบี่รำได้งดงามนัก นี่คือกระบี่สกุลอวี๋ ครั้งนั้นเจิ้นติดตามแม่ทัพผู้เฒ่าอวี๋ แม่ทัพผู้เฒ่าอวี๋ได้ถ่ายทอดการรำกระบี่ชุดนี้ให้เจิ้นเช่นกัน เวลาผ่านมาหลายปี...หกปีแล้ว เจิ้นไม่ได้เห็นกระบี่ชุดนี้มากว่าหกปีแล้ว”
“ฝ่าา” ไห่กงกงกังวลใจเล็กน้อย
หกปีก่อน ประจวบเหมาะมีการก่อฏ หลังจากนั้นจ้าวหนิงฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ ไฉนเลยจะมีเวลาสำหรับการร่ายรำกระบี่
“ต้าไห่ ไปหยิบกระบี่เล่มนั้นของเจิ้นมา ให้หลี่ฉางเฉิง”
“ฝ่าา...พ่ะย่ะค่ะ” กระบี่เล่มนั้นเป็กระบี่ที่จ้าวหนิงฮ่องเต้พกติดตัวตลอดเวลาที่อยู่ซีเป่ย ไท่จื่อเยี่ยนสั่งให้คนตีขึ้นเป็พิเศษ เขาตัดใจใช้ไม่ลงมาโดยตลอด วันนี้กลับพระราชทานให้กับหลี่ฉางเฉิง จะให้ไห่กงกงไม่ตกตะลึงได้เช่นใดกัน?
“ขอบพระทัยฝ่าาพ่ะย่ะค่ะ” หลี่ฉางเฉิงรีบคุกเข่าลง
“เ้าวรยุทธ์เป็เลิศ และมีพลัง เ้ามีความปรารถนาใดหรือไม่? เช่นเป็แม่ทัพ หรือเข้ากองทัพหลวง?” จ้าวหนิงฮ่องเต้ตรัสถาม
ทุกคนที่อยู่ที่นั่นต่างตกตะลึงพรึงเพริด นี่เป็พระมหากรุณาธิคุณอย่างใหญ่หลวง กองทัพหลวงนั้นยืนอารักขาหน้าพระพักตร์ เท่ากับเป็คนของฮ่องเต้แล้ว