ณ เชิงเขาจื่อจิน ได้มีกลุ่มม้าเหล็กกำลังวิ่งด้วยความเร็วสูงจนผืนดินต้องสั่นะเื
กลุ่มนี้มีประมาณ 30 คน ส่วนใหญ่สวมหน้ากากทองแดง ซึ่งหน้ากากนี้ได้ปกปิดใบหน้าไว้ เหลือเพียงดวงตาที่สามารถเห็นได้
นอกจากนี้ม้าศึกที่พวกเขาขี่อยู่นั้น ทั้งหมดล้วนเป็สีโลหิต เห็นได้ชัดว่าเป็ม้าศึกของเสวี่ยเยว่ นั่นคือกองทหารม้าโลหิตอันลือชื่อ
คนที่ควบม้านำหน้าพวกเขาแตกต่างจากทหารม้าโลหิตคนอื่น เพราะคนผู้นั้นเป็ผู้หญิงซึ่งสวมใส่ชุดสีขาวดูงามผุดผาด ผ้าคลุมหน้าผืนบางสีขาวที่ปกปิดใบหน้าไว้ กลับยิ่งทำให้นางดูบริสุทธิ์
ผู้หญิงที่อยู่ด้านหน้านั้นคือเมิ่งฉิง ในยามนี้นางสวมชุดกระโปรงสีขาว และด้วยผิวที่ขาวราวกับหิมะของเธอแล้ว มันยิ่งทำให้นางเหมือนกับเทพธิดา
กลุ่มคนที่ติดตามเมิ่งฉิงอยู่ด้านหลังคือกองกำลังดาบนภาโลหิต
หลังจากวันที่หลินเฟิงได้ไล่ล่าพันลี้ขณะอยู่ในาไปเพียงคนเดียว จากนั้นก็ไม่มีใครได้ข่าวคราวเกี่ยวกับเขาอีกเลย หลังจากจบากองกำลังดาบนภาโลหิตก็ติดตามเมิ่งฉิงเพื่อออกค้นหาหลินเฟิง ซึ่งหลังจากนั้นไม่กี่วัน ในที่สุดก็บังเอิญได้ยินข่าวจากหมู่บ้านจื่อเหวยว่า หลินเฟิงอยู่ที่ตระกูลจื่อที่อยู่บนยอดเขาจื่อจิน
นอกจากนี้เมิ่งฉิงและคนอื่นๆ กำลังควบม้าให้วิ่งเร็วขึ้นโดยไม่หยุดพัก
…
ในเวลาเดียวกันที่ตำหนักตระกูลจื่อ หลินเฟิงกำลังยืนอยู่หน้าประตูทางเข้าสู่เขตต้องห้าม เขาไม่เพียงแต่จะทำให้ผู้าุโตระกูลจื่อต้องล่าถอย แต่เขาไม่คิดหยุดอยู่แค่นั้น เขาคว้ามือต้วนซินเยี่ยและทะยานไปทางจื่ออิ่งขณะที่องค์หญิงยังอยู่ข้างเขา
“ไม่…”
จื่ออิ่งคำรามพลางกัดฟันกรอด เขาเป็ถึงผู้นำตระกูลจื่อแต่กลับอ่อนแอถึงเพียงนี้ ระหว่างที่หลินเฟิงละการต่อสู้กับผู้าุโเพื่อปรากฏตัวต่อหน้าเขานั้น ใช้เวลาเพียงวินาทีเดียว ทำให้ดูเหมือนว่าหลินเฟิงจะสามารถสังหารเขาได้ทุกเมื่อ จื่ออิ่งรู้สึกถึงความเหยียดหยามอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
เขาเป็ถึงผู้นำของตระกูลจื่อ เขาบรรลุขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 9 และเป็ที่เคารพนับถือของผู้คนทั่วภูมิภาคไม่มีใครเลยที่ไม่เคารพนับถือเขา
แต่วันนี้หลินเฟิงที่เป็เพียงแค่ผู้เยาว์กลับสังหารคนของตระกูลจื่อ และได้พูดจาข่มขู่จื่ออิ่งราวกับว่าเขาไม่มีอะไรเลยเมื่อเทียบกับหลินเฟิง หลินเฟิงกำลังจะสังหารเขาในขณะที่ยังต่อสู้กับผู้าุโตระกูลจื่อ
เงาสีม่วงอันน่าขนลุกทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ทำให้ท้องฟ้าสาดแสงสีม่วงไปทั่วปฐี ทั้งร่างของจื่ออิ่งก็ถูกปกคลุมไปด้วยลมปราณสีม่วง จากนั้นเขาก็ปล่อยหมัดออกไปอย่างบ้าคลั่ง
“ดาบสุริยัน!”
หลินเฟิงเอ่ยขึ้นอย่างไม่แยแสขณะฟันดาบออกไป แม้ดาบนี้จะไม่เจิดจรัส แต่มันก็ทำให้ผู้คนรู้สึกได้ถึงความอ้างว้างและเปล่าเปลี่ยว
วีรบุรุษผู้เืร้อน ทว่าทั้งโดดเดี่ยวและอ้างว้าง
เคยมีคนกล่าวไว้ว่า อัจฉริยะที่แข็งแกร่งนั้น หากยิ่งฝึกปรือฝีมือจนยิ่งเฉียบคมแล้ว มักจะกลายเป็บุคคลที่โดดเดี่ยวไร้ซึ่งมิตรสหายข้างกาย
ทว่าดาบสุริยันเปี่ยมไปด้วยพลังที่แข็งแกร่งสุดประมาณอย่างแท้จริง แล้วดูเหมือนว่าพละกำลังของดาบนี้จะยิ่งเพิ่มขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ดาบแผดเผานั้นทั้งเหี้ยมโหดและทรงพลัง ซึ่งเป็แสงที่เจิดจ้าราวกับดวงอาทิตย์และมันสามารถทำลายทุกสิ่งได้
ดาบสุริยัน ดาบแห่งสนธยา และดาบร่วงโรยก็เหมือนกับชีวิตที่กำลังรุ่งโรจน์ต้องจบสิ้น ไม่ว่าใครจะเจิดจ้าแค่ไหนก็จบสิ้นได้
จื่ออิ่งพลันเข้าใจถึงเพลงดาบเ่าั้จากก้นบึ้งหัวใจ เมื่อก่อนเขามีอำนาจเหนือกว่าอีกฝ่าย แต่วันนี้กลับถูกหลินเฟิงทั้งดูถูกและเหยียดหยาม ซึ่งมันเหมาะกับสถานะที่เป็อยู่ของเขาแล้วหรือ?
หัวใจของจื่ออิ่งกำลังสั่นระริก หมัดที่โจมตีพลันสลายไปหมดสิ้น ดูเหมือนว่าภายใต้คมดาบของหลินเฟิงแล้ว สิ่งใดที่ส่องประกายจะถูกบดบังจนสูญสิ้นไป
เมื่อดาบสุริยันตกสู่พื้น จื่ออิ่งค่อยๆ ล้มลงช้าๆ ทำให้หัวใจของผู้คนต้องเต้นระรัวอย่างลุ้นระทึกไปด้วย
จื่ออิ่งผู้เป็ถึงผู้นำของตระกูลจื่อ แต่เขากลับถูกสังหารลงเพียงดาบเดียว!
“แข็งแกร่ง!” ผู้คนต่างอึ้งงันกับภาพที่เห็น ตายแล้ว? จื่ออิ่งก็ถูกหลินเฟิงสังหาร ช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก
“ตูม!”
แสงสีม่วงอันเจิดจ้าปะทุออกมารอบๆ ร่างผู้าุโตระกูลจื่อ จากนั้นก็พุ่งทะยานสู่ท้องฟ้า
หลินเฟิงบังคับให้เขาล่าถอยจนมีเวลาละจากการต่อสู้ของเขา มิหนำซ้ำหลินเฟิงกลับใช้เวลาเพียงสั้นๆ ในการสังหารจื่ออิ่ง ซึ่งเป็ถึงผู้นำตระกูลจื่อในดาบเดียว
ไม่เพียงแต่หลินเฟิงสังหารลูกหลานของเขาเท่านั้น แต่นี่ยังเป็อีกหนึ่งความอัปยศของเขา เพราะหลินเฟิงกำลังทำให้ผู้าุโตระกูลจื่อต้องกลายเป็คนไร้ประโยชน์
“ข้าจะสับเ้าเป็พันๆ ชิ้น”
ใบหน้าของผู้าุโตระกูลจื่อดูน่าเกลียดและเยือกเย็น จากนั้นเขาก็ะโกลับไปที่ทางเดิน ทำให้ทางเดินต้องะเืราวกับกำลังจะพังทลายจากแรงกดดันที่เขาปลดปล่อย
“สับข้าเป็พันๆ ชิ้น?” แววตาของหลินเฟิงดูเยือกเย็นขณะกล่าวว่า “เมื่อเ้ามาถึงที่นี่ เ้าบอกข้าว่า ‘ข้าไม่มีแม้แต่โอกาสจะแตะต้องตัวเขาหากเ้าอยู่ที่นี่’ แล้วตอนนี้เป็อย่างไรล่ะ เพราะเขาก็ได้ตายไปแล้ว”
“เ้าจะถูกฝังอยู่ที่นี่กับเขา”
สิ้นเสียงเฉียบขาดของผู้าุโตระกูลจื่อ ขณะก้าวไปข้างหน้าอีกก้าว ผืนดินต้องสั่นไหว ทำให้หัวใจของหลินเฟิงสั่นะเืเช่นกัน ผู้าุโตระกูลจื่อผู้อยู่ขอบเขตลี้ลับกำลังโกรธเกรี้ยว
“ดี งั้นมาดูกันว่าผลลัพธ์จะเป็ยังไง”
หลินเฟิงปล่อยต้วนซินเยี่ยไว้ด้านหลังเขา และพุ่งไปข้างหน้าขณะปลดปล่อยเจตจำนงแห่งการต่อสู้
ขณะนั้นผู้คนต่างก็รู้สึกได้ถึงเจตจำนงแห่งการต่อสู้ของหลินเฟิงได้ชัดเจน แม้ว่าเขากำลังเผชิญหน้ากับผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ขอบเขตลี้ลับ แต่เขาก็ยังไม่ถอยหนีและไร้ความหวั่นเกรง มีเพียงเจตจำนงแห่งการต่อสู้อันดุเดือดที่ปะทุอยู่ในดวงตาเท่านั้น
นี่ถึงจะเรียกได้ว่าเป็ผู้ฝึกยุทธ์ที่แท้จริง จิตใจที่มั่นคงเช่นนี้จะไม่แข็งแกร่งได้อย่างไร ที่หลินเฟิงมีพลังอย่างในตอนนี้ได้ก็เพราะพร์ของเขาและการบ่มเพาะ
“ก็ได้!”
ผู้าุโตระกูลจื่อคำรามเมื่อเขาััได้ถึงเจตจำนงการต่อสู้ของหลินเฟิง เขาเริ่มวิ่งออกไปพลางรวบรวมพลังเอาไว้ที่กำปั้นจนหนาแน่น เจินหยวนสีม่วงพุ่งออกมาอย่างบ้าคลั่งผ่านอากาศตรงไปหาหลินเฟิง
“ดาบแห่งความตาย”
หลินเฟิงฟาดฟันดาบออกไป หลินเฟิงได้ใช้ทักษะดาบแห่งความตายอีกครั้ง ซึ่งไม่รู้ว่ามันจะแข็งแกร่งกว่าก่อนมากแค่ไหน และดาบนี้เป็การผสานกับพิภพและหลอมรวมกับเจตจำนงแห่งความตาย
“ตูม!!!”
เจินหยวนสีม่วงและดาบของหลินเฟิงเข้าปะทะกันด้วยพลังอันดุเดือด หลินเฟิงรู้สึกราวกับว่าตนเองกำลังพุ่งเข้าชนูเาที่ทั้งมั่นคงและแข็งแกร่ง
ผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ขอบเขตลี้ลับสามารถใช้เจินหยวนได้ ซึ่งเป็การควบแน่นพลังจากหยวนชี่ฟ้าดิน พลังของเจินหยวนนั้นจะแข็งแกร่งกว่าหยวนชี่ฟ้าดินมากกว่าหลายเท่า
ตอนที่ผู้าุโตระกูลจื่อะโอย่างกราดเกรี้ยว เขาได้ใช้เจินหยวนไปทั้งหมด ถึงแม้มันเป็เพียงการโจมตีเดียว แต่ก็ทำให้หลินเฟิงไม่อาจต้านทานเขาได้นานนัก มิหนำซ้ำยังทำให้แขนของเขาได้รับาเ็อย่างรุนแรง
“เ้าประเมินความสามารถของตัวเองสูงเกินไป”
ผู้าุโตระกูลจื่อกล่าวอย่างเ็า จากนั้นเขาเริ่มพุ่งออกไปอีกครั้ง
เป็อีกครั้งที่หมัดอันเปี่ยมไปด้วยพลังมหาศาล พุ่งเข้าหาหลินเฟิง
“ตูม!”
เสียงปะทะดังขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มีเสียงหลินเฟิงคร่ำครวญออกมาด้วยความเ็ป เขาคว้ามือต้วนซินเยี่ยและเดินถอยหลังอย่างไม่ลังเล ในยามนี้ผู้าุโตระกูลจื่อกำลังโกรธเกรี้ยวจนดูคล้ายกับปีศาจที่น่าหวาดกลัว
“นี่คือความแตกต่างระหว่างขอบเขตแห่งจิติญญาและขอบเขตลี้ลับอย่างนั้นหรือ พวกเขาไม่สามารถต่อสู้กันได้ระหว่างขอบเขตแห่งจิติญญาและขอบเขตลี้ลับ ลำดับขั้นมันห่างชั้นมากเกินไป”
หลินเฟิงพึมพำ การต่อสู้ถือเป็อีกหนึ่งประสบการณ์ การต่อสู้ระหว่างขอบเขตปฐีก็เป็หนทางที่ท้าทายและเพิ่มขีดความสามารถให้ตนเองได้เช่นกัน
ไม่ช้าก็เร็วเขาก็ต้องทะลวงผ่านขอบเขตลี้ลับ ประสบการณ์การต่อสู้กับขอบเขตลี้ลับจะเป็ประโยชน์ต่อเขาหลังจากที่บรรลุไปแล้ว
“อย่างไรก็ตามมันจะกลายเป็เื่เลวร้าย หากมันจบลงตรงนี้”
เจตจำนงการต่อสู้ที่เผาไหม้อยู่รอบตัวหลินเฟิง ในขณะเดียวกันเขาก็จ้องเขม็งไปที่ผู้าุโตระกูลจื่อ
“ไม่จำเป็ต้องมองข้าด้วยสายตาเช่นนั้นหรอก เมื่อเผชิญหน้ากับผู้ที่อยู่ขอบเขตลี้ลับ เ้าก็ไม่มีโอกาสโจมตีแล้ว เ้าทำได้เพียงรอความตายเท่านั้น”
ผู้าุโตระกูลจื่อกล่าวเสียงเย็น ขณะที่เจินหยวนสีม่วงได้ทวีความรุนแรงมากกว่าเดิม
“ใช่หรือ?”
หลินเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงแ่เบา ในขณะนั้นร่างของเขาก็วูบไหวไปกลายเป็เงาที่ไม่อาจจับต้องได้
“คิดว่ามันได้ผลเหรอ?”
ผู้าุโตระกูลจื่อกล่าวขณะยิ้มอย่างเ็า ความรู้สึกของผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตลี้ลับจะพัฒนาขึ้นมาก แม้ว่าทักษะของหลินเฟิงจะทรงพลังอย่างมาก แต่ความแข็งแกร่งของเขาก็อยู่แค่ขอบเขตแห่งจิติญญาเท่านั้น
แสงสีม่วงคำรามทำลายล้างทุกสิ่งที่ขัดขวาง อย่างไรก็ตามในตอนนี้ ดาบนั่นได้ฟาดฟันไปที่แสงสีม่วง ซึ่งเป็การโจมตีจากเงา
“ทิ้งดาบของเ้าเสีย!”
ผู้าุโตระกูลจื่อยิ้มอย่างเ็า ขณะที่ฝ่ามือกำลังสั่นไหวอย่างรุนแรง ทันใดนั้นดาบที่ถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีม่วงก็ได้จ่อที่ลำคอของเขา เขาจึงไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้แม้แต่ก้าวเดียว
ขณะนั้นหลินเฟิงปรากฏตัวออกมายืนเบื้องหน้าผู้าุโตระกูลจื่อ จากนั้นก็กล่าวอย่างเ็าว่า “ใครกันนะที่บอกว่า ผู้ที่อยู่ขอบเขตแห่งจิติญญาไม่สามารถทำลายผู้ที่อยู่ขอบเขตลี้ลับได้”
“เงาไม้กางเขนสังหาร!”
เมื่อหลินเฟิงใช้ทักษะนี้ ร่างของเขาจึงกลายเป็ดาบที่แหลมคม ซึ่งสามารถทำลายได้ทุกสิ่ง
หลินเฟิงฟาดฟันฝ่ามือไปในอากาศ พลันเกิดเงาไม้กางเขนเจิดจ้าขึ้นมา มันเคลื่อนไหวรวดเร็วเป็อย่างมาก ความเร็วเช่นนี้มันไม่อาจเป็ไปได้เลย รวดเร็วจนผู้คนต่างมองตามไม่ทันราวกับไม่มีตัวตนอยู่จริง แต่พวกเขาก็ล้วนเข้าใจดีว่า ทักษะเงาไม้กางเขนนี้เพิ่งปรากฏออกมาเพียงพริบตา
เมื่อสิ้นสุดเสียงของหลินเฟิง ผู้าุโตระกูลจื่อก็ััได้ถึงอันตราย ทันใดนั้นเขาก็ปล่อยเจินหยวนสีม่วงออกมาเพื่อป้องกัน ทว่ามันสายไปแล้ว เนื่องจากเงาไม้กางเขนได้พุ่งมาที่หน้าอกของเขา จนเสื้อผ้าของเขาต้องฉีกขาดและปรากฏรอยไม้กางเขนอันใหญ่บนหน้าอกอย่างชัดเจน
อีกนิดเดียวเท่านั้น… หากเขาอ่อนแอกว่านี้ล่ะก็ ไม้กางเขนนี้อาจคร่าชีวิตเขาไปแล้วก็ได้