น้ำตกเล็กๆ ไหลลงมาเกิดเสียงดังซู่ซ่า หยาดน้ำใสดุจผลึกหยกทอประกายเจ็ดสีภายใต้แสงตะวัน
เซวียเสี่ยวหรั่นะโจากโขดหินลงไปเอง
"ว่ายน้ำเป็หรือ" น้ำเสียงนุ่มนวลตามมาจากด้านหลัง
"เป็นิดหน่อย" เซวียเสี่ยวหรั่นว่ายได้ไม่แข็งมาก ดีกว่าสุนัขลอยคอในน้ำเล็กน้อย
"อยากลงไปหรือไม่" เสียงของเขาอยู่ใกล้มากราวกับอยู่แค่ข้างหู
เซวียเสี่ยวหรั่นเอี้ยวศีรษะกลับไป เขายืนอยู่หลังเธอ ทั้งสองห่างกันเพียงครึ่ง่แขนเท่านั้น
แสงตะวันยามรุ่งอรุณสาดส่องแนวเฉียงลงมาด้านหลังทำให้เรือนร่างสูงใหญ่แลดูเลือนรางพร่ามัว
เขาอยู่ใกล้เพียงนี้ ใกล้จนหัวใจของเซวียเสี่ยวหรั่นเต้นรัว อดไม่ได้ที่จะถอยไปด้านหลัง
"ระวัง" เขาเอื้อมมือมาดึงแขนของเธอจากริมขอบสระ
ฝ่ามือนั้นราวกับติดไฟ ทะลุผ่านเสื้อผ้าบางๆ เข้ามาลวกผิวของเซวียเสี่ยวหรั่น
พวงแก้มพลันอาบย้อมไปด้วยสีชมพูระเรื่อ เซวียเสี่ยวหรั่นพลันกระอักกระอ่วนใจ นึกโทษว่าเป็เพราะเขาเข้ามาใกล้ตนเองเกินไป
"แฮ่ม พวกเราจะเดินทางอยู่แล้ว มีเวลาเที่ยวเล่นที่ไหนกันล่ะ"
เซวียเสี่ยวหรั่นขยับไปด้านข้างอย่างระมัดระวัง
"ไม่เป็ไร ตอนนี้พวกเขายังตามมาไม่ทันหรอก" เหลียนเซวียนปล่อยแขนเรียวของนาง ใบหน้าสงบนิ่งเผยรอยยิ้ม
"ถึงกระนั้นก็มิอาจเถลไถลอยู่ที่นี่ต่อ ป่านนี้พวกเสี่ยวเหล่ยคงร้อนใจแย่แล้ว" แต่เซวียเสี่ยวเหล่ยกลับไม่นิ่งเหมือนเขา
เหลียนเซวียนเลิกคิ้ว เอาเถอะ อย่างไรเสียตอนนี้ก็ไม่ใช่โอกาสดีในการเล่นน้ำ
เขาหันข้างเล็กน้อย ก่อนย่อเข่าลง "ขึ้นมา"
"อ๋า? ข้า... ข้าเดินเองได้" เซวียเสี่ยวหรั่นพูดอึกอัก
เหตุการณ์เมื่อคืนค่อนข้างกะทันหัน ให้เขาแบกขึ้นหลังก็แล้วไปเถอะ แต่ตอนนี้เธอเดินเองได้แล้วกระมัง
"ด้วยความเร็วในการเดินของเ้า ถ้าอยากออกจากป่า เกรงว่าต้องใช้เวลาสามถึงห้าวัน" เหลียนเซวียนมองนางเรียบๆ
"อื้อ" ที่เขาพูดมาก็ความจริงทั้งนั้น เซวียเสี่ยวหรั่นเลยจำเป็ต้องขึ้นหลังผู้อื่นอีกครา
พอร่างกายอ่อนนุ่มปีนขึ้นมาบนตัวเขา ดวงตาของเหลียนเซวียนก็ฉายแววละมุนละไม ยกตัวนางขึ้น
หลังจากนั้นก็ตบเท้าวิ่งจากตะวันตกเฉียงเหนือ
เหลิ่งอีจะต้องวางกำลังซุ่มโจมตีทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือเป็แน่ เขาพาเซวียเสี่ยวหรั่นมาด้วย ไม่อาจปะทะกับพวกเขาโดยตรง เดินทางอ้อมสักเล็กหน่อย ค่อยหาทางออกภายหลัง
เทือกเขามีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล พวกเขาไม่มีกำลังเพียงพอจะปิดล้อมได้ทุกหนแห่ง
เขาเร่งฝีเท้าขึ้นอีก เซวียเสี่ยวหรั่นซึ่งเกาะอยู่บนหลังมองทิวทัศน์สองด้านซึ่งผ่านไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว ก็ตกตะลึงไม่เว้นวาย
สมกับเป็ยอดฝีมือโดยแท้ ดูจากความเร็ว ไล่ตามรถยนต์คันเล็กได้สบาย
แม้จะะโขึ้นลงซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่ความเร็วกลับไม่ช้าลงเลย
เมื่อคืนรอบด้านมืดสนิท ไม่อาจมองเห็นสิ่งใดชัดเจน วันนี้ได้ััอีกครั้ง ก็รู้สึกตื่นตาตื่นใจมาก เหลียวซ้ายแลขวาตลอดเวลา
เหลียนเซวียนเคลื่อนที่ตลอดเวลา ขณะเดียวกันก็สังเกตคนบนหลังไปด้วย เห็นความตื่นเต้นของนางแล้ว ก็อดหัวเราะเสียงต่ำออกมาไม่ได้
เส้นทางูเาขรุขระเดินลำบาก แต่ความเร็วของเหลียนเซวียนยังไม่ตก
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม ดวงตะวันลอยสูงขึ้น อากาศเริ่มร้อนอบอ้าว
เซวียเสี่ยวหรั่นหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวเช็ดเหงื่อที่หน้าผากให้เหลียนเซวียน
"ไม่อย่างนั้น ให้ข้าลงเดินสักครู่ดีเถอะ อากาศร้อนเหลือเกิน"
แผ่นหลังของเหลียนเซวียนเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ เธอหยิบใบเผือกป่าใบใหญ่มาบังแดด แต่ก็ยังร้อนจนเหงื่อโชกอยู่เหมือนเดิม
"ผ่านทุ่งหญ้าผืนใหญ่นั่นไปพวกเราจะพักผ่อนสักครู่"
พวกเขาเพิ่งผ่านช่องเขามา ออกจากเขตป่า พื้นที่เบื้องหน้าเปลี่ยนเป็ทางโล่ง
ทุ่งหญ้าเขียวขจีกว้างใหญ่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าสายตา ปลายทางทุ่งหญ้าเป็ป่าดึกดำบรรพ์ต้นไม้สูงตระหง่าน
ดวงตะวันใกล้เที่ยงแรงกล้า
เหลียนเซวียนะโในแนวดิ่งสองสามครั้ง ก่อนที่จะเข้าไปในเขตทุ่งหญ้า
เซวียเสี่ยวหรั่นประคองใบเผือกป่าอย่างทุลักทุเล ขณะคิดจะเช็ดเหงื่อให้เขา กลับพบว่าแววตาสงบนิ่งผุดประกายเฉียบคมดุจพญาเหยี่ยว
เหลียนเซวียนหยุดเคลื่อนไหว สีหน้าราวกับถูกฉาบด้วยน้ำค้างแข็ง
"ออกมา!"
เซวียเสี่ยวหรั่นหัวใจเต้นระรัว มองตามสายตาเขาไป
หลังต้นไม้ใหญ่เขียวชอุ่ม มีคนชุดดำกลุ่มหนึ่งปรากฏตัว
"เหลิ่งอี ข้าควรจะชมเชยเ้าสักประโยคหรือไม่"
เหลียนเซวียนวางเซวียเสี่ยวหรั่นลงเบาๆ พลิกมือชักกระบี่ยาวออกมา กลิ่นอายเย็นะเือันน่าขนลุกกำจายจากทั่วร่าง
ไม่นึกว่าเหลิ่งอีจะรู้จักเขาดียิ่งกว่าที่จินตนาการไว้
เนื้อร้ายอันตรายเช่นนี้เอาไว้มิได้เป็อันขาด
ประกายเยียบเย็นในแววตาผุดวาบดั่งน้ำค้างเหมันต์
เหลิ่งอีซึ่งซุ่มอยู่ในหมู่คนชุดดำคาดผ้าสีดำอำพรางใบหน้ายังคงไม่เปล่งเสียง แต่โบกข้อมือเบาๆ
ทันใดนั้นคนชุดดำจากรอบทิศก็บุกเข้ามา
"เสี่ยวหรั่นทนหน่อยนะ" เหลียนเซวียนใช้มือซ้ายรวบที่ต้นขาแล้วจับนางขึ้นพาดบ่า
จากนั้นก็เหาะทะยานไปทางซ้าย
เซวียเสี่ยวหรั่นกอดเขาไว้แน่น จดจ้องไปด้านหลังเห็นคนชุดดำกลุ่มหนึ่งถืออาวุธโชนแสงเย็นวาบ วิ่งไล่ตามเขาและเธอมาอย่างดุเดือด
หัวใจของเธอเต้นโครมครามตลอดเวลา แต่ไม่กล้าเปล่งเสียงสักคำ
คนชุดดำไล่ตามมาอย่างกระชั้นชิด เหลียนเซวียนทิ้งระยะห่างไว้เล็กน้อย แต่อีกไม่ช้าก็จะตามทัน
เสียงอาวุธพกระทบกันดังโช้งเช้งอยู่ข้างหู
พอเหลียนเซวียนเข้าไปในป่าด้านซ้าย ก็ประมือกับคนชุดดำที่ดักซุ่มโจมตีอยู่ที่นั่น
เหลียนเซวียนโกรธจัดจนหัวเราะออกมา กระบี่ในมือขวาสะบัดอย่างว่องไวปานงูวิเศษร่ายรำ เพียงชั่วพริบตาก็ฟันถูกแขนซ้ายของคนชุดดำจนเืสาด
เซวียเสี่ยวหรั่นเห็นการนองเืต่อหน้าต่อตาก็ใจนปากซีด
กระบี่ในมือของเหลียนเซวียนไม่หยุด จ้วงแทงคนชุดดำอีกคนหนึ่ง
กระบี่ไวยิ่งกว่าสายฟ้าแทงเข้าที่อกของคนผู้นั้น หลังเปล่งเสียงโหยหวนก็ถูกเหลียนเซวียนถีบกระเด็นออกไป
"พวกเขาล้อมเข้ามาแล้ว" เมื่อเห็นคนชุดดำซึ่งติดตามมาอย่างกระชั้นชิดกำลังจะมาถึง เซวียเสี่ยวหรั่นก็ร้องเตือนอย่างอดไม่ได้
เหลียนเซวียนอาศัย่จังหวะนั้นวาบหายเข้าไปในป่าราวกับดาวตก
คนชุดดำกลุ่มใหญ่ยังคงกัดไม่ปล่อย กรูเข้ามาในป่าเช่นกัน
เซวียเสี่ยวหรั่นเห็นคนชุดดำล้อมไว้รอบด้าน ร่างกายก็แข็งค้าง
พวกเขาถูกล้อมอย่างแ่า ต้องเผชิญหน้าเพียงลำพัง ไร้คนให้พึ่งพา เห็นทีครานี้จะลำบากเสียแล้ว
"อย่ากลัว" เหลียนเซวียนปล่อยนางลง แล้วปกป้องไว้ด้านหลัง
เสียงคำสั่งดังขึ้น คนชุดดำทั้งหมดควงอาวุธพุ่งเข้าหาพวกเขาทันที
เหลียนเซวียนสีหน้าเหี้ยมเกรียม ปล่อยพลังออกมาทั้งหมด
กระบี่ยาวในมือเขาตวัดออกไปอย่างดุดันและรุนแรง พลังจากคมกระบี่ฟันเข้าที่แขนของชายชุดดำที่อยู่หน้าสุด
เพียงชั่วกะพริบตาก็สะบัดไปทางซ้ายแทงเข้าที่อกของคนชุดดำอีกคน แล้วดึงกระบี่ออกมิได้หยุดพัก ปลิดชีวิตศัตรูคนต่อไปทีละคน
เพียงไม่กี่อึดใจ เงาสีดำก็ล้มลงเกลื่อนกลาด กลิ่นคาวเืเข้มข้นฟุ้งไปในอากาศ
"ยิงธนู" น้ำเสียงหยาบกระด้างดังขึ้นในป่า
ใบหน้าเ็าของเหลียนเซวียนพลันถอดสี ไม่ห่วงคมอาวุธที่โจมตีจากด้านหลัง พุ่งทะยานเข้าหาเซวียเสี่ยวหรั่นซึ่งยืนอยู่ใกล้หน้าผาทันที
"ฟิ้วๆๆ" เสียงเกาทัณฑ์แหลมคมแหวกอากาศโจมตีเข้ามาอย่างรวดเร็ว
เหลียนเซวียนอุ้มเซวียเสี่ยวหรั่นซึ่งหน้าซีดเผือด แล้วะโลงไปจากหน้าผา
เกาทัณฑ์คมกล้าเฉียดใต้ฝ่าเท้าของพวกเขาไปเพียงนิดเดียว
