“ท่านอนุญาตให้ข้าไปที่เรือนใหญ่แล้วได้แล้วงั้นเหรอ”
“ก็เ้าอยากเขียนวรรณกรรมมิใช่รึ” เขาถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ก่อนหญิงสาวจะรีบเดินเข้าไปย่อตัวนั่งดังเดิม
“ท่านอนุญาตข้าแล้วจริง ๆ ไม่ได้แกล้งข้าให้ดีใจเล่นใช่หรือไม่” เขาพับกระดาษตรงหน้า แล้วจับจ้องมายังอีกฝ่ายด้วยสายตาจริงจัง
“ข้ามิเคยพูดเล่น”
“ท่านใจดีที่สุด” หญิงสาวเอ่ยชมพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะเบี่ยงตัวเดินจากไปท่ามกลาง สายลมอ่อนพัดโชยมาปะทะกาย ปล่อยให้ชายหนุ่มนั่งนิ่งทบทวนสิ่งต่าง ๆ จู่ ๆ คำชมของนางก็สะกิดใจเขาขึ้นมา
“เมื่อครู่ข้าเห็นนายท่านนั่งคุยกับฮูหยินด้วยล่ะ” ทหารนายหนึ่งเดินเข้ามาบอกเพื่อนที่ยืนเฝ้าหน้าจวน
“เป็ไปไม่ได้ นายท่านน่ะรึ จะคุยกับฮูหยิน”
“แต่ข้าเห็นเต็มสองตา พวกเขาไม่ได้ทะเลาะกัน พูดคุยด้วยน้ำเสียงปกติดีทุกอย่าง”
“เ้าน่ะตาฝาด”
“หากข้าตาฝาด เช่นนั้นเ้าคงลืมวันที่นายท่าน จูบกับฮูหยินแล้วกระมัง” อีกฝ่ายแน่นิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วหันมาถามเพื่อน
“หรือว่านายท่านจะใจอ่อนกับฮูหยินเสี่ยวเฟยแล้วจริง ๆ” ทั้งสองสบตาแล้วแน่นิ่ง ท่ามกลางความสับสนของคนในจวน
“นายหญิงบอกว่า นายท่านอนุญาตให้ไปที่เรือนใหญ่ได้งั้นเหรอเ้าคะ” มู่เลี่ยนวางอาหารในมือลงแล้วเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ
“ใช่ ข้าจะรีบกินแล้วจะรีบไปที่เรือนใหญ่”
“ไปทำไมเ้าคะ แล้วเหตุใดนายท่านจึงอนุญาตง่ายดายเช่นนั้น ไม่ใช่เพราะนายท่าน้าจับผิดฮูหยินเื่ความจำสูญสิ้นหรอกเหรอ” เสี่ยวเฟยหยิบตะเกียบแล้วคีบอาหารใส่ปาก พลันขบคิด
“อาจเป็ไปได้ เพราะวันก่อนเขาพูดถึงเื่นี้อยู่เช่นกัน แต่เ้าไม่ต้องห่วง ต่อให้เขา้าจับผิดเช่นไร ข้าก็จะไม่ยอมให้เขาจับได้เป็อันขาด”
“เช่นนั้นข้าไปด้วย” มู่เลี่ยนเอ่ยด้วยน้ำเสียงตั้งมั่น
“ไม่ต้อง ข้า้าใช้สมาธิในการเขียนวรรณกรรม ที่เรือนใหญ่มีอุปกรณ์ครบครัน และที่นั่นก็เงียบสงบเหมาะแก่การจินตนาการ หากเ้าไปด้วย ข้าจะเสียสมาธิ” มู่เลี่ยนยืนส่งนายหญิงอยู่หน้าเรือนด้วยความเป็ห่วง ทว่าไม่อาจขัดใจนางได้จึงจำต้องปล่อยนางไปที่เรือนใหญ่ตามลำพัง
สองเท้าของนางชะงักเมื่อทหารที่เฝ้าหน้าเรือนใหญ่เข้ามาขวางไว้ด้วยสีหน้าเข้มงวด
“หากไม่ได้รับอนุญาตจากนายท่าน ฮูหยินก็เข้าไม่ได้ขอรับ” หญิงสาวยกมือขึ้นกอดอก จับจ้องไปทหารสองคนแล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ข้าได้รับอนุญาตแล้ว ข้าถึงกล้ามา หากพวกเ้าไม่เชื่อก็ไปถามนายท่านของพวกเ้าดู” นายทหารสองคนมองหน้ากันอย่างไม่เชื่อนัก
“นายท่านอนุญาตเมื่อใด”
“เมื่อวาน ตอนที่อยู่สวนไผ่ขาว” นายทหารคนหนึ่ง ที่เห็นกับตา ว่าโม่โฉวกับฮูหยินเสี่ยวเฟยพูดคุยกันอยู่ที่สวนไผ่ขาว จึงค่อย ๆ เบี่ยงกายหลบอย่างว่าง่าย
“หากเป็เช่นนั้น เชิญฮูหญิงเข้าไปที่เรือนใหญ่ได้ขอรับ” นายทหารสองคนปล่อยให้หญิงสาวเดินเข้าเรือนไปอย่างง่ายดาย ก่อนสายตาของเสี่ยวเฟยจะเลื่อนมองทุกอย่างรอบตัวด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“แจกันรึ งามนัก” นางหยิบแจกันขึ้นแล้วหมุนไปมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น ก่อนจะเบี่ยงหน้าไปยังโต๊ะทำงานของโม่โฉวที่ตั้งเด่นอยู่
“กระดาษกับพู่กันคงอยู่ที่นั่น” นางนึกได้ดังนั้นจึงเดินดุ่ม ๆ เข้าไป แล้วรื้อหากระดาษเปล่ากับพู่กันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเสียงของใครบางคนจะดังขึ้น
“เ้าทำอันใด” โม่โฉวยืนนิ่งมองกิริยาของนางอย่างเงียบ ๆ
“ท่านมาแล้วเหรอ ข้ากำลังหากระดาษกับพู่กัน เพื่อที่จะเขียนงานวรรณกรรมเ้าค่ะ” หญิงสาวส่งสายตาว่างเปล่าให้เขาดังเดิม ก่อนชายหนุ่มจะเดินไปยังลิ้นชักที่เก็บอุปกรณ์ แล้วค้นหาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบออกมา แล้วยื่นให้อีกฝ่ายด้วยท่าทางสุขุม
“เท่านี้เพียงพอหรือไม่” เขาถาม ก่อนหญิงสาวจะยิ้มกว้าง
“เท่านี้พอแล้วเ้าค่ะ แต่ว่า...” นางลังเลจะพูด
“มีอะไรก็พูดมา”
“ข้าเห็นว่าที่เรือนใหญ่มีบริเวณกว้างขวาง อยากใช้เป็ที่เขียนวรรณกรรมของข้าได้หรือไม่” เขาเลื่อนสายตาไปยังสระน้ำที่ตั้งอยู่ด้านหน้า
“เช่นนั้นเ้าไปนั่งเขียนตรงนั้น” หญิงสาวหันมองตามมือเขา พบว่าเป็สระน้ำเล็ก ๆ มีดอกบัวขึ้นสี่ห้าดอกพอให้สดชื่น
“เ้าค่ะ” นางตอบแล้วเบี่ยงตัวเดินจากไป ด้วยท่าทางมีความสุข
โม่โฉวยืนมองกิริยาของเสี่ยวเฟย ก่อนจะเบี่ยงตัวเดินกลับเข้าห้องไป ก่อนเสี่ยวเฟยจะหันมองไปยังเขาแล้วมุ่ยหน้า
“ถึงก่อนหน้าไม่ชอบข้า แต่ก็นับได้ว่ายังมีเมตตาอยู่บ้าง” เสี่ยวเฟยพูดจบ ก็ค่อย ๆ บรรจงตัวหนังสือลงกระดาษช้า ๆ เมื่อเขียนไปได้สองสามหน้าก็หยุด แล้วมองดอกบัวที่ชูช่ออยู่ตรงหน้า พลันก้มหน้าเขียนต่อ พร้อมสายลมอ่อนพัดโชยมาเป็ระยะ
“นายท่านขอรับ เหตุใดจึงยอมให้ฮูหยินเข้ามาที่เรือนใหญ่ทั้งที่ก่อนหน้า ท่านเข้มงวดกับกฎระเบียบนี้มาก” เจาเจ่าเดินเข้ามาแล้วเอ่ยถาม ก่อนเขาจะนิ่งเงียบ แล้วหันใบหน้าหล่อเหลามายังคนสนิท
“ข้า้าพิสูจน์ ว่าเสี่ยวเฟยความจำสูญสิ้นแล้วอย่างที่ข้าเข้าใจหรือไม่”
