“ขอรับ คุณหนูใหญ่”
เฉิ่นหยางก้มหน้ารับคำเพราะกลัวตาย
ดินแดนกาฬวาตเป็เสมือนการปกครองที่ใหญ่ที่สุดในเขตเหนือส่วนถังเชวียหรานก็บังเอิญเป็ลูกสาวคนเดียวของถังอานหลีซึ่งเป็หัวหน้าอีกต่างหากโดยตระกูลถังมีทั้งนายพลเอกและพลโทเป็ลูกน้องอยู่มากมายส่วนเฉิ่นหยางเป็แค่พลตรีที่ไม่ได้มีบทบาทสำคัญอะไรทำให้คำพูดของถังเชวียหรานเป็เหมือนคำสั่งจากพระเ้า
เฉิ่นหยางยกมือขึ้นโบกสั่งการนายทหารที่อยู่ด้านหลัง “แยกย้ายแล้วพาคนเจ็บไปด้วย!”
ปู้เสวียนยินที่ยืนดูเหตุการณ์พูดขึ้น “ช้าก่อน!ข้าบอกให้พวกท่านกลับได้แล้วอย่างนั้นเหรอ?”
เฉิ่นหยางถามอย่างสงสัย “ท่านปู้เสวียนยินท่านจะเอาอย่างไรอีก?”
“พวกท่านมาปิดล้อมสำนักแบบนี้ทำให้สำนักเสื่อมเสียชื่อเสียงดังนั้นท่านจะต้องขอโทษทางสำนักแก่สาธารณชนเพื่อกู้หน้าให้กับทางสำนัก อืม...เพื่อไม่ให้เ้าต้องลำบากใจเอาเป็ว่านำคำขอโทษของเ้าไปลงในหนังสือพิมพ์ของเมืองหลินเสี่ยเฉิงก็แล้วกัน”
“แต่ว่า...”เขาถึงกับขมวดคิ้วขึ้น
ถังเชวียหรานที่เห็นแบบนั้นจึงพูดเสริม “ทำตามนี้!”
“ข้าน้อยทราบแล้วขอรับคุณหนูใหญ่...”
...
หลังจากเฉิ่นหยางพาทหารกลับไปแล้วถังเชวียหรานก็เดินออกมาบอกกับปู้อี้เชวียนเสียงเบา “ท่านรองเ้าสำนักทหารของตระกูลเราทำเกินไปจริงๆ เื่นี้ข้าจะกลับไปรายงานท่านพ่อให้รับรู้แน่นอน”
“ไม่จำเป็”
ปู้เสวียนยินว่าพลางส่ายหน้าแล้วยิ้มขึ้น “เื่นี้ต้องขอบใจเ้ามากเพราะถ้าไม่ได้เ้าช่วยไว้เื่คงไม่จบง่ายๆข้าต้องขอบคุณเ้าแทนเสี่ยวเชวียนด้วยนะ”
ถังเชวียหรานหันมามองข้าก่อนจะพูดขึ้น “ข้ากับปู้อี้เชวียนต่างก็เป็เพื่อนกันการช่วยเหลือกันจึงเป็สิ่งที่ข้าควรทำ แล้วท่านจะจัดการกับเื่นี้ต่อไปอย่างไร?”
“ไม่เห็นจะยากก็ตักเตือนปู้อี้เชวียนเื่การทะเลาะวิวาท รวมทั้งสามคนนั้นและเชวียนหยวนจิ้นด้วยส่วนจวงเหิงซิ่งเฉิ่นลั้งและหวินยู่เคยทำร้ายคนไม่มีทางสู้มาก่อนจะต้องถูกปรับคนละสามแสนเหรียญหลงหลิงโดยจะต้องนำเงินมาให้ภายในสามวัน ไม่อย่างนั้นจะต้องถูกไล่ออก”
“ฮะ?”
ถังเชวียหรานอ้าปากค้าง “สามคนนั้นถูกอัดแล้วยังถูกปรับอีกเหรอ?”
“ใช่”
ปู้เสวียนยินยิ้มแล้วพูดต่อ “จากคำขวัญของสำนักที่ทุกคนต่างรู้กันดีคือถ้าผู้ที่มีระดับเดียวกันเกิดเื่ทะเลาะวิวาทจะถือว่าเป็แค่การทะเลาะวิวาทธรรมดาแต่คราวนี้เป็เื่ของผู้ที่อยู่ขั้นสูงกว่ามาทำร้ายคนที่อ่อนแอกว่าดังนั้นบทลงโทษจึงต้องหนักขึ้นเป็ธรรมดา”
“แฮ่ๆท่านรองเ้าสำนักปราดเปรื่องที่สุด!”
“เอาล่ะแยกย้ายกันไปเรียนได้แล้ว”
“ค่ะ ท่านรองเ้าสำนัก”
“เสี่ยวเชีวยน เ้ามากับข้า”
“อ้อ!...”
...
ณ ห้องของรองเ้าสำนัก
“เฉิ่นหยางไม่มีทางรามือง่ายๆ แน่ดังนั้นหลังจากนี้เ้าจะต้องระมัดระวังตัวให้มาก”
พี่เสวียนยินยกชาขึ้นจิบก่อนจะพูดต่อด้วยสีหน้าครุ่นคิด “พวกทหารในดินแดนกาฬวาตชักจะมีนิสัยใจคอแย่ลงไปทุกวันคนอย่างถังอานหลีไม่ได้เข้มงวดกับการทหารถึงตอนนี้ข้ายังนึกสงสัยอยู่เลยว่าเฉิ่นหยางจะกลับไปขอความช่วยเหลือจากถังอานหลีให้ยื่นมือเข้ามายุ่งกับเื่นี้ด้วยหรือเปล่า?”
“พี่เสวียนยินท่านหมายถึงการแหกกฎทหารอย่างนั้นเหรอ?” ข้าถามขึ้น
ปู้เสวียนยินพยักหน้ารับก่อนจะพูดต่อ “บางทีอาจจะใช่หรือบางทีอาจจะไม่ จะว่าไปแล้วพวกเราก็เป็ประชาชนของดินแดนกาฬวาตดังนั้นถ้าพวกนั้นคิดจะเล่นงานพวกเราจริงๆต่อให้ข้าเป็เทพศาสตราวุธก็คงจะมีชีวิตที่ไม่ดีเท่าไร ทว่า...ถังเชวียหรานดูจะสนใจเ้าไม่น้อยหากมีนางอยู่ เฉิ่นหยางก็น่าจะอ่อนข้อลงบ้าง”
ข้าได้ยินแล้วก็รู้สึกเขินอายเล็กน้อยก่อนจะตอบไป “ท่านพี่ข้ากับถังเชวียหรานไม่ได้มีอะไรสักหน่อย ท่านอย่าเพิ่งคิดไปเรื่อยเปื่อยสิ”
นางอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “ไม่เป็ไรหรอกน่า เพราะพวกเ้ายังเด็ก แถมถังเชวียหรานทั้งสวยและหุ่นดีการที่เ้าจะชอบนางก็เป็เื่ธรรมดาอยู่แล้ว”
ข้าได้ยินแล้วจึงอธิบาย “เพราะเราสองคนไปฝึกที่หุบเขาหลิงหยุนครั้งก่อนจึงสนิทกันต่างหากไม่ใช่แบบที่ท่านคิดสักหน่อย และอีกอย่าง...ถ้าจะพูดเื่ความสวยแล้วละก็เหมือนว่านางจะสวยน้อยกว่าท่านนิดหน่อย...”
ปู้เสวียนยินได้ยินจึงก้มหน้ากลั้นขำจนไหล่สั่น
“ท่านเป็อะไรน่ะ?”
นางที่ได้ยินเงยหน้าขึ้นก่อนจะเก็บใบหน้าที่เพิ่งดีใจจนออกนอกหน้าไว้แล้วยืดอกตูมๆนั่นขึ้น “ถือว่าเ้ายังพอรู้จักบุญคุณเอาล่ะ รีบกลับไปเรียนได้แล้ว และอย่าลืมระวังตัวด้วยล่ะวันหลังก็พยายามอย่าไปหาเื่พวกสามปราชญ์นั่นอีก”
“ท่านวางใจเถอะน่า เพราะข้าไม่มีทางไปหาเื่พวกนั้นอยู่แล้วแต่ถ้าเกิดพวกนั้นมาหาเื่ข้าก่อนล่ะ จะทำยังไง?”
“ก็ซัดให้หมอบไปเลยสิ!ยังต้องให้ข้าสอนอีกหรือไง? ถึงอย่างไรเป็คนลงมือย่อมดีกว่าถูกคนอื่นซัดจนหมอบถ้าเกิดมีปัญหาขึ้นอีกข้าจะช่วยจัดการเอง”
...
่บ่าย ข้ากลับไปเข้าเรียนในห้องสองเหมือนเดิมแต่ครั้งนี้สายตาของเพื่อนร่วมห้องกลับมีหลากหลายอารมณ์ต่างกันไปทั้งเคารพนับถือและอิจฉาริษยาเพราะตอนนี้คนในสำนักรู้หมดแล้วว่าข้าเป็น้องชายของปู้เสวียนยินที่เป็ถึงรองเ้าสำนักซึ่งเป็ทั้งเื่ดีที่ต่อไปนี้จะมีเพียงไม่กี่คนที่กล้าเข้ามาหาเื่แต่ก็มีเื่แย่ๆที่ต่อจากนี้เมื่อได้ประลองกับใครข้าก็คงจะชนะเพราะคู่ต่อสู้ออมมือให้เนื่องจากเกรงใจมากกว่า
“เข้าแถวมาเรียนเพลงกระบี่วายุสังหารได้แล้ว!”
หลันเท้อว่าแล้ววาดมือขึ้นกลายเป็พลังที่รวมตัวกันเป็กระบี่เพียงชั่วพริบตาก็พุ่งตรงไปยังหุ่นเหล็กที่ใช้ฝึกซ้อมพร้อมกับแสงอันเปล่งประกายก่อนที่หุ่นตัวนั้นจะแตกกระจายเป็เสี่ยงๆ
ศิษย์แต่ละคนต่างยืนอ้าปากค้างกับภาพตรงหน้านึกไม่ถึงว่าเขาใช้เพียงมือส่งพลังของเพลงกระบี่วายุสังหารออกไปจะรุนแรงได้ขนาดนี้
หลันเท้อพูดขึ้น “ประโยชน์ของเพลงกระบี่วายุสังหารมีมากกว่าที่พวกเ้าคิดเอาไว้มากข้าจะบอกความจริงให้แล้วกันว่าเมื่อคู่ต่อสู้ตั้งเกราะกำบังแล้วพุ่งเข้ามาโจมตีเพลงกระบี่ชนิดนี้จะทะลวงเกราะกำบังนั้นได้เป็อย่างดีโดยเพลงกระบี่ขั้นที่สิบสามารถส่งพลังิญญาออกไปได้ไกลถึงสามเมตรหากเจอกับคู่ต่อสู้ที่อึด ตายยาก และมีเกราะกำบังที่แ่าทั้งยังมีวงล้อมพลังที่ค่อนข้างไกลแล้วถ้าพวกเ้าไม่ใช้เพลงกระบี่วายุสังหารแล้วจะฆ่าคู่ต่อสู้แบบนั้นได้ยังไง? ดังนั้นวิชานี้จึงเป็ภาคบังคับที่ทุกคนต้องรู้และนำไปใช้ประโยชน์ได้!”
“รับทราบแล้วขอรับ/ค่ะ อาจารย์!”
ศิษย์แต่ละคนต่างฝึกฝนอย่างจริงจังส่วนหลันเท้อเดินหลบไปนั่งดื่มเครื่องดื่มอัดลมอยู่ใต้ต้นไม้ไม่ไกลนัก
ภายใต้แสงอาทิตย์ที่ส่องลงมาซูเหยียนกับหลิวถงเอ๋อร์กำลังฝึกฝนกันอย่างขะมักเขม้น ส่วนตั้นไถเหยากับถังเชวียหรานซึ่งไม่ใช่นักดาบจึงไปนั่งฝึกวิชาลมหายใจักันอยู่ไม่ไกล
ข้าจับกระบี่ขึ้นมาก่อนจะรวบรวมพลังให้แน่วแน่และเริ่มฝึกเพลงกระบี่วายุสังหารทำให้อากาศโดยรอบกลายเป็ระลอกคลื่นจนซูเหยียนและหลิวถงเอ๋อร์ต่างไม่ชอบใจเพราะกระโปรงของพวกนางสะบัดปลิวขึ้นตามแรงลม
หลังจากฝึกฝนมาตลอดครึ่งบ่ายเพลงกระบี่วายุสังหารของข้าก็ก้าวข้ามไปถึงขั้นที่สามตามความชำนาญที่เพิ่มขึ้น
สวบ! พลังิญญาในร่างกายเหมือนหลุดการควบคุมพร้อมกับแสงสีขาวที่เปล่งประกายเจิดจ้าในตัวกระบี่ก่อนจะพุ่งออกไปกว่าสามเมตรการที่เพลงกระบี่วายุสังหารระดับสามดุดันขนาดนี้เพราะเมื่อครู่ข้าได้ใส่พลังของเคล็ดวิชาาลงไปด้วยเล็กน้อยจึงทำให้พลังเต็มเปี่ยม
หลันเท้อเดินเข้ามาและมองข้าพักหนึ่งแล้วพูดขึ้น “ไม่เลวเหมือนกันนี่เลิกเรียนได้!”
พอเลิกเรียนก็หมายความว่าถึงเวลากินข้าวศิษย์แต่ละคนจึงมุ่งตรงไปยังโรงอาหาร
...
ในตอนดึก ข้า ซ้งเชียนและจ้าวห้าวนั่งเรียงเป็แถวเพื่อฝึกวิชาลมหายใจัอยู่ที่โรงเกลากระบี่ในท่าเดียวกันจะต่างก็เพียงแต่ข้าอยู่ในขั้นที่เจ็ด จ้าวห้าวอยู่ในขั้นที่หก ส่วนซ้งเชียนอยู่ในขั้นที่สองเท่านั้นจึงทำให้พลังที่ออกมาต่างกันไป
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไรแต่โสมโลหิตที่เตรียมไว้ลดลงไปอย่างน่าใ
ใช้เวลาเพียงแค่สามวันโสมโลหิตที่ได้มาจากหยางเซี้ยนซึ่งเป็โสมที่มีอายุสี่ร้อยปีและห้าร้อยปีถูกกินจนหมดตอนนี้จึงเหลือแค่โสมโลหิตเก้าร้อยปีเพียงอันเดียวเท่านั้นแม้ว่าโสมโลหิตจะลดลงไปมาก แต่พลังที่ได้จากการฝึกฝนก็เพิ่มขึ้นมากไม่แพ้กัน
ลมในตอนดึกพัดเข้ามาปะทะร่างที่ผ่านการเคลื่อนพลังไปหลายรอบจู่ๆ ก็รู้สึกถึงพลังที่กำลังโหมกระหน่ำอยู่ตรงหน้าอกเมื่อใช้ตาทิพย์มองลงไปก็เห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับพลังเทพัยอดสิงขร ลำแสงเป็เส้นๆพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าพร้อมกับพลังของลมหายใจัที่เพิ่มยิ่งขึ้นพลังนั้นมากเสียจนมองเห็นพลังิญญาที่เรืองรองเป็แสงสีทองเวียนวนอยู่รอบตัวอย่างชัดเจน
ก้อนหินแห่งนภาซึ่งเป็บ่อเกิดของพลังค่อยๆเปลี่ยนเป็สีทองและกลายเป็ูเาอันเรืองรองลูกใหญ่โดยมีเทพัที่พลังิญญาลุกท่วมกำลังแหวกว่ายอยู่ตรงกลางอย่างน่ามหัศจรรย์
นี่มันพลังกรวดหินประกายทอง ซึ่งเป็สัญลักษณ์ของระดับสูงสุดในขั้นที่เจ็ดของวิชาลมหายใจั!
พลังยังคงหมุนเวียนอยู่ในร่างกายและมากขึ้นจนเกินต้านไหวราวกับว่าทุกส่วนเซลล์กำลังส่งพลังออกมาอย่างไม่หยุดหย่อนทำให้ข้าต้องปล่อยพลังขึ้นสู่ท้องฟ้าหลายหมื่นลี้
ซ้งเชียนกับจ้าวห้าวที่นั่งอยู่ข้างๆต่างก็มองอย่างตกตะลึง
จ้าวห้าวพูดไม่เชื่อสายตา “พระเ้าช่วย...บรรลุขั้นเทพัยอดสิงขรเร็วขนาดนี้เลยเหรอ? ข้าว่าเ้าจะบรรลุเร็วเกินไปแล้วนะปู้อี้เชวียนขนาดศิษย์ในสามสำนักใหญ่ยังมีไม่กี่คนด้วยซ้ำที่มีพลังลมหายใจัขั้นที่เจ็ด...”
ซ้งเชียนพูดด้วยความดีใจ “ดีใจด้วยนะพี่เชวียน!”
ข้าพยักหน้ารับก่อนจะกัดกินส่วนที่เหลือของโสมโลหิตห้าร้อยปีไม่นานลมปราณที่สูญเสียไปจากการฝึกฝนก็กลับมาเต็มเปี่ยมอีกครั้งยิ่งฝึกฝนจนถึงขั้นสูงๆ ข้าก็ยิ่งรู้คุณค่าของยาพวกนี้มากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะขั้นสูงอย่างข้าซึ่งตอนนี้พวกปะการังเืถือว่าใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไปแล้วเมื่อมีการฝึกฝนในขั้นที่สูงกว่าจะทำให้สูญเสียลมปราณมากขึ้นตามไปด้วยการกินปะการังเืจะต้องรอให้ร่างกายดูดซึมผ่านกระบวนการหลายอย่างไม่ต่ำกว่าหนึ่งชั่วโมงแต่ถ้ากินโสมโลหิตห้าร้อยปีจะสามารถฝึกฝนต่อได้เลยและอีกอย่างโสมโลหิตชั้นสูงจะทำให้การฝึกฝนพัฒนาเร็วขึ้นซึ่งปะการังเืไม่สามารถทำได้
ด้วยเหตุนี้จึงไม่แปลกที่พวกลูกคนมีเงินหรือพวกสูงศักดิ์ทั้งหลายจะพัฒนาไปอย่างรวดเร็วเพราะพวกนั้นใช้แต่ยาบำรุงดีๆ ในการฝึกฝนนั่นเองเมื่อเป็แบบนี้ข้าจึงกินโสมโลหิตของตัวเอง แต่เอาปะการังเืที่ทางสำนักมอบให้แก่ศิษย์ของจวี๋ฉีให้จ้าวห้าวกับซ้งเชียนเพื่อการฝึกฝนแบบไม่เสียดาย
การฝึกฝนเริ่มขึ้นอีกครั้งเมื่อข้าเริ่มเคลื่อนลมปราณในขั้นที่แปดก่อนพลังิญญาจะเริ่มหนักแน่นและส่งไอเย็นออกมาเมื่อเบิกตาทิพย์ดูภายในก็เห็นว่ามิติของพลังิญญาในร่างกายเหมือนกับกำลังก่อตัวกันเป็น้ำแข็งที่มีเกล็ดหิมะลอยฟุ้งไปทั่วบริเวณจนทำให้ข้ามองไม่เห็นแสงสว่างของพลังิญญาทั้งยังไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของมันด้วยซ้ำ...
นี่มันอะไรกัน?
ข้าชะงักไปพักหนึ่งก่อนจะใช้ตาทิพย์เปิดดูตำราที่พี่เสวียนยินเคยให้มาและค้นเจอคำอธิบายผ่านตัวหนังสือที่สลับซับซ้อนอยู่ภายใน “วิชาลมหายใจัขั้นที่แปดพลังิญญาของผู้ฝึกฝนจะตกอยู่ในแดนเหนือที่หนาวเหน็บจนร่างกายเย็นเยือกดังนั้นการลงไปฝึกฝนโดยการแช่น้ำในเขตแดนเหนือจะต้องมีพลังไฟที่มากพอไม่อย่างนั้นจะต้องแข็งตายในที่สุด”
“ฮะ...”
ข้าลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็วก็พบว่าทั้งแขนและคางของตัวเองมีเกล็ดน้ำแข็งเกาะอยู่ขนาดที่ว่าบรรยากาศภายในโรงเกลากระบี่แห่งนี้ยังเย็นเยือกลงไปไม่น้อยเป็เหตุให้จ้าวห้าวและซ้งเชียนต่างมองมาที่ข้าอย่างหวาดผวา “ทำอะไรน่ะ!?”
“วิชาลมหายใจัขั้นที่แปดก็เป็แบบนี้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?” ข้าพูดขึ้น
“พวกเราไม่เคยเห็นขั้นที่แปดสักหน่อย!”
ข้าได้ยินแล้วจึงพูดขึ้น “อย่างนั้นหรอกเหรอ...ข้าจะต้องหาสถานที่มีพลังไฟเพียงพอต่อการฝึกฝนวิชาลมหายใจัขั้นที่แปดหวังว่าข้าคงไม่ต้องจุดไฟเผาตัวเองเพื่อฝึกฝนหรอกใช่ไหม?...”
จ้าวห้าวพูดขึ้นอย่างครุ่นคิด “ข้าเคยได้ยินมาว่าการฝึกฝนในขั้นนี้จะใช้ไฟจากคนไม่ได้แต่ต้องใช้ความร้อนจากไฟโดยธรรมชาติ”
“คือยังไง?”
“บางทีเ้าอาจต้องไปที่ปากปล่องูเาไฟหรือไม่ก็...ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ไปถามพี่สาวเ้าเองเถอะ!”
“อะไรของเขา...”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้