ตอนแรกจูบได้นุ่มนวลนัก ไม่นานก็พลันกลายเป็พายุที่รุนแรงในเพลาต่อมา
อวิ๋นอี้ถึงขนาดได้ยินเสียงหายใจแรงๆ ของเขา
อ้อมกอดของบุรุษช่างอ่อนโยน น่าแปลกที่ริมฝีปากของเขาร้อนราวกับไฟ
อวิ๋นอี้คิดว่าบุรุษเป็สิ่งมีชีวิตที่คาดเดามิได้เลยเสียจริง
นางหลับตาลง เพลิดเพลินกับความสั่นสะท้านที่เขามอบให้ อ้อมแขนของนางโอบรอบเอว ปล่อยให้เขาดำเนินไป
ผ่านไปครู่หนึ่ง ชายหนุ่มถึงถอนตัวออกจากริมฝีปากของนางอย่างมิเต็มใจ
“อร่อย” หรงซิวก้มลงที่หน้าผากของนาง ทั้งสองหอบเล็กน้อย “รสชาติของอวิ๋นเออร์อร่อยเสมอ ทานได้มิมีเบื่อเลย”
เดิมบรรยากาศร้อนรุ่มยังมิทันคลายหายไป เขากลับพูดคำที่ทำให้นางหน้าแดงหูร้อนได้อีก
รู้ว่าเขาจงใจ แก้มของอวิ๋นอี้แดงอย่างควบคุมมิได้
ร้ายจริงๆ
นางเงยหน้าขึ้นมองเขา ดวงตาที่สวยงามของนางราวกับปกคลุมด้วยละอองน้ำ หรงซิวอดมิได้ที่จะก้มหน้าจูบนางอีกครา
“ช้าก่อนเพคะ” อวิ๋นอี้เอามือปิดปากมองเขา “ฝ่าามิได้บอกว่าจะคืนนี้จะมิมาหรือเพคะ? เหตุใดถึงมาเพคะ?”
“ทำให้เ้าประหลาดใจ” หรงซิวยิ้มบีบจมูกของนาง "เ้าเชื่อทุกอย่างที่ข้าพูดเลยหรือ? เมื่อใดกันที่เ้าเชื่อฟังเช่นนี้?"
อวิ๋นอี้มิยอมให้เขามีโอกาสรังแกตนเอง เงยหน้าขึ้นทำเสียงพึมพำ ยกขาขึ้นเหยียบเท้าของเขา “โกหกข้า!”
การเหยียบของนางมิได้ใช้แรงเลย มันเหมือนอารมณ์แง่งอนเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างคู่รักมากกว่าโกรธ
ที่ไหนได้ หรงซิวกลับยืมไม้ปีน [1] "โอย...เจ็บ...เท้าข้า..."
เคยโดนเขาหลอกมาก่อน อวิ๋นอี้รู้ถึงแก่นนักแสดงของหรงซิว แม้ว่าเขาจะกำลังขมวดคิ้ว ปากบ่นเจ็บ ทว่านางมิมีท่าทีสงสารเลย
เจ็บก็เจ็บไปสิ อย่างไรนางมิใช่คนเจ็บเสียหน่อย
อวิ๋นอี้ผลักเขา อยากเดินออกไป
ชายหนุ่มที่เจ็บเท้าอยู่ในวินาทีก่อนหน้า กอดนางไว้แน่นในเพลานี้ พูดด้วยรอยยิ้มว่า “เมียจ๋า เ้าจะไปที่ใด ข้าจะอุ้มเ้าไปเอง!”
อวิ๋นอี้กลอกตาขาว ห้องที่ใหญ่กว่าไข่นิดเดียว เดินแค่สองก้าวก็เดินหมดแล้ว จำเป็ต้องให้เขาอุ้มด้วยหรือ?
“มิต้องเพคะ” นางพึมพำอย่างมิสบอารมณ์ ผลักเขามิออก นางจึงทำได้เพียงเรียกชื่อเขาอย่างโกรธเคือง “หรงซิว!”
“อยู่นี่!” เขายิ้ม “้าให้ข้าอุ้มใช่หรือไม่? ... มาเถิด!"
แม้ว่าหรงซิวจะดูเจี๋ยมเจี้ยม ทว่าจริงๆ แล้วเขามิได้อ่อนแอเลย ร่างกายของเขาแข็งแรง อุ้มนางขึ้นแต่ละคราราวกับหิ้วไก่อย่างไรอย่างนั้น
อวิ๋นอี้รู้ดีว่าเขาเป็อย่างไร เมื่อเขาพูดจบ นางมิทันได้พูดกระไร พลันรีบกอดคอเขา
หรงซิวกลับมิขยับ เป็ครั้งแรกในประวัติการณ์
"......" อวิ๋นอี้กะพริบตา สบตาเข้ากับแววตาแฝงรอยยิ้มของเขา
สักพักนางถึงรู้สึกได้ เขากำลังเล่นตลกกับนาง!
“ฝ่าา!” อวิ๋นอี้กัดฟัน ถูกเขาอุ้มขึ้นในท่าเ้าหญิง เดินไปที่ข้างเตียง ค่อยๆ วางนางลง แล้วทับลงมา
คำด่าที่ยังมิได้เอ่ยออกมา อ่อนลงเป็แววตาแฝงด้วยความเสน่ห์หา การจ้องมองที่นุ่มนวลของเขา ผสมกับลมหายใจแ่เบา
“นอนเถิด” หรงซิวนอนทับตัวนางอย่างสบายใจ “พรุ่งนี้ข้าต้องตื่นเช้า คงต้องยุ่งอีกระยะ”
“ฝ่าา ลุกสิเพคะ ทับข้าเช่นนี้จะนอนอย่างไร?"
"หากข้าลุกขึ้น เ้าจะมิได้นอนนะ" หรงซิวพูดด้วยน้ำเสียงชั่วร้าย ั์ตาของเขาหรี่ลงในความมืด น้ำเสียงแสดงถึงความหมายชัดเจน
ในวันที่สิบของสำนึกซืออี๋ ยังคงมีอ้อมกอดอันอบอุ่นของเขาอยู่เคียงข้างนางจนหลับไป
อวิ๋นอี้มิได้บอกหรงซิวเกี่ยวกับเื่สกปรกของซูเมี่ยวเออร์
นางมิใช่สตรีที่เต็มไปด้วยความลังเลใจ ขณะเดียวกันก็มิใช่คนดื้อรั้น เหตุผลที่ทำให้นางมั่นใจในตนเองเพราะนางมีความเข้าใจในตนเองอย่างแจ่มชัด เมื่อพูดถึงซูเมี่ยวเออร์แล้วนางมิ้าความช่วยเหลือจากหรงซิว
ในเมื่อสามารถจัดการได้ดีเหตุใดต้องให้เขากังวลไปด้วยเล่า
ใน่เวลาที่อยู่ในราชวงศ์ต้าอวี่ อวิ๋นอี้มีความเข้าใจผิวเผินกับหรงซิว
เขาเป็เหมือนก้อนอิฐ ที่ใด้าพลันต้องไปที่นั่น เหมือนกับน้ำมันสมุนไพร แม้จะเป็งานหนัก แต่ก็ทำออกมาได้เป็อย่างดี
เป็ผู้มีความสามารถหลายแขนง ทำให้เขายุ่งอยู่เสมอ มีเื่ที่ต้องจัดการมิสิ้นสุด
แสงจันทร์นวล อาบอยู่ในแรมที่ไหลเอื่อยราวสายน้ำ แสงส่องเข้ามาทางช่องระหว่างหน้าต่างและประตู หน้าของหรงซิวซ่อนอยู่ในแสงและเงามืด มืดหมองกึ่งหนึ่งสว่างไสวกึ่งหนึ่ง
ท่าทางที่เขานอนมิมีท่าทีคุกคามใดๆ
ปลายนิ้วเรียวยาวของอวิ๋นอี้แตะเบาๆ บนใบหน้าของเขา เมื่อเห็นว่าเขาหลับจริงๆ จึงกล้าที่จะเอนตัวเข้าไปด้วยใบหน้าแดงก่ำ จูบที่ริมฝีปากบางสุดเย้ายวนของเขา
สำนึกซืออี๋ในวันรุ่งขึ้นมิได้สงบ
จดหมายฉบับหนึ่งทำให้ทุกคนวุ่นวายจนไก่บินหมาะโ
คนแรกที่ได้รับจดหมายฉบับนี้คือพระสนมอ๋องโยว โดยปกติแล้วนางมักจะมาเป็คนแรก วันนี้ก็เช่นกัน
เช้าตรู่มีลมเย็นพัด แม้ว่าจะเป็่ต้นฤดูคิมหันต์ อุณหภูมิกลับมิสูงนัก โดยเฉพาะเวลาที่ลมพัดมา ทำให้นางที่ชอบใส่เสื้อผ้าบางตัวสั่น คอหด
รอบๆ มิมีผู้ใด นางมองไปรอบๆ แล้วตรงไปที่ห้องเรียน ผู้ใดจะรู้ว่าเมื่อนางเข้าไปข้างใน พลันได้พบจดหมายฉบับหนึ่ง
จดหมายถูกลมพัดใส่ใบหน้าของนาง
สนมอ๋องโยวหยิบจดหมายลงมา อยากจะสบถ พลันเห็นหน้าจดหมายมีชื่อหรงซิวเขียนไว้
หรงซิว?
มิใช่องค์ชายเจ็ดหรือ?
อวิ๋นอี้เขียนนี่หรือ?
พระสนมอ๋องโยวเปลี่ยนกองเพลิงโกรธเป็ความสงสัย นางแอบเปิดซองจดหมาย
จดหมายฉบับนี้อวิ๋นอี้เลียนแบบลายมือซูเมี่ยวเออร์เขียนเมื่อคืนนี้ ต้นจดหมายแสดงความรักอันร้อนแรงต่อหรงซิว ตอนท้ายดูถูกพระชายาเจ็ดตัวจริงอย่างอวิ๋นอี้สารพัด สุดท้ายก็หยิ่งผยองตนไร้ขีดสุดคิดว่าตนเองเป็สตรีที่คู่ควรกับหรงซิวมากที่สุดในใต้หล้า
หลังจากอ่านจบ พระสนมคิดว่านี่จะต้องเป็เื่ใหญ่แน่ นางมิกล้าตัดสินใจเอง รอให้พระชายาเอกตู้ซือโหรวมาก่อน นางถึงรายงานให้นางฟังอย่างระมัดระวัง
"เอาจดหมายมาให้ข้าดู" แววตาของตู้ซือโหรวเปลี่ยนไปแทบมิทันได้สังเกต นางดูงดงามและฉลาด
เมื่ออ่านจดหมายแล้วตู้ซือโหรวพลันยิ้มมุมปาก นางรู้ว่าตนเองถูกใช้เป็เบี้ยอีกครา ในฐานะเบี้ยตัวหนึ่ง นางต้องทำสิ่งที่ควรทำ ช่วยให้ผู้ริเริ่มบรรลุเป้าหมายของเขา
เช่นนั้น จดหมายจึงถูกส่งผ่านไปท่ามกลางผู้คน
อวิ๋นอี้เดินเข้าไปในห้องเรียนก็ถูกกู่ซือฝานดึงไว้ ฟังคำพูดเกินจริงที่นางพูดด่าคนเขียนจดหมายที่น่าขยะแขยงผู้นั้น
แม้ว่าจะมิมีผู้ใดพูดว่าผู้ใดเป็คนเขียนจดหมาย ทว่าขณะนี้ ในใจทุกคนล้วนเห็นพ้องต้องกันว่าเป็ซูเมี่ยวเออร์
ซูเมี่ยวเออร์เป็ผู้รับดูแลคน ปกตินางจะมาช้า เมื่อนางเข้ามาถึงในห้องเรียน พลันเห็นอวิ๋นอี้เดินเข้ามาหานางอย่างฉุนเฉียว
“ทำกระไร?” นางยังคงมิรู้ว่าเกิดกระไรขึ้น นางขมวดคิ้วและด่าอวิ๋นอี้ “เหตุใดเรียนมารยาทมานานเช่นนี้แล้ว ทว่ายังมิมีความพัฒนาเลยเล่าเพคะ?”
อวิ๋นอี้พูดอย่างเ็า “คุณหนูซูเขียนจดหมายฉบับนี้ออกมาได้ มีสิทธิ์กระไรมาว่ามาสอนข้า?”
นางโยนจดหมายใสใบหน้าซูเมี่ยวเออร์ด้วยความโกรธ ดวงตาของนางเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง
เชิงอรรถ
[1] ยืมไม้ปืน 借杆往上爬 หมายถึง ใช้ประโยชน์จากคำของผู้อื่น หาประโยชน์ให้ตัวเอง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้