แม้ซูซานหลางจะไปหาอาอวี้คนวางยาพิษ แต่นางภักดีต่อชายคนรักอย่างสุดชีวิต ไม่ว่าจะถูกสอบสวนอย่างไรก็ไม่ยอมเปิดเผยว่าเขาเป็ใคร
อาอวี้ไม่ปริปาก นอกจากซูซานหลางจะแค้นเคือง ยังมีความวิตกกังวล
หากอาอวี้ไม่เปิดเผยว่าคนผู้นั้นเป็ใคร เขาก็สามารถหลบซ่อนตัวต่อไปได้ คนผู้นี้มีความสัมพันธ์กับครอบครัวพวกเขา และเป็อันตรายต่อเฉียวเยว่ซึ่งเคยเห็นหน้าค่าตาเขามาก่อนอย่างแท้จริง
หากเฉียวเยว่ตาย ก็ไม่มีใครชี้ตัวเขาได้อีก
ถึงตอนนี้เสี่ยวชุ่ยก็ยังสลบไสลไม่ได้สติ
เพียงแต่ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ ซูซานหลางสามารถคุยปรึกษากับผู้าุโ คุยกับพี่ชายคนโต แต่ไม่อาจให้เสี่ยวเฉียวเยว่รู้แม้แต่น้อย เขาจัดคนไว้ข้างกายเฉียวเยว่มากมาย อย่างรอบคอบระมัดระวังที่สุด จะให้บุตรสาวถูกทำร้ายอีกมิได้เป็อันขาด
ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นความวิตกกังวลของบุตรชายก็รู้สึกปวดใจ ทั้งเป็ห่วงเฉียวเยว่ไม่น้อย ถึงกับเสนอความคิดเห็นให้เฉียวเยว่มาอยู่กับนาง
แต่เื่นี้ซูซานหลางไม่เห็นด้วย
ไม่อาจรู้ได้ว่าจะพบคนผู้นี้เมื่อไร ต้องอยู่ภายใต้สายตาของตนเองเขาจะวางใจกว่า อีกอย่างฮูหยินผู้เฒ่าก็อายุมากแล้ว เฉียวเยว่ซุกซนเพียงนี้ นานวันเข้าก็อาจควบคุมไม่อยู่
พวกผู้ใหญ่ต่างร้อนอกร้อนใจกันหมด เฉียวเยว่ไหนเลยจะไม่รู้เล่า
นางรู้อยู่เต็มอกว่าทุกคนกำลังรีบร้อนค้นหาคนผู้นั้นให้พบ แต่บ่าวในจวนไม่มีคนผู้นี้ วันนั้นก็ไม่มีแขกมาเยือน การที่นึกไม่ออกว่าคนผู้นั้นเป็ใคร นางเองก็กระวนกระวายใจอยู่เหมือนกัน
เฉียวเยว่เป็คนประเภทยิ่งวิตกกังวลมากก็ยิ่งพูดพล่ามไปเรื่อย อย่างเมื่อเช้านางหยิบกิ่งไม้มาวาดวงกลมใต้ต้นไม้พลางบ่นพึมพำ "น่าเบื่อที่สุด หากรู้เทคนิคการสะกดจิตแบบยุคปัจจุบันก็ดีสิ สะกดจิตแป๊บเดียวก็ทำให้เห็นคนผู้นั้นอีกครั้ง หลังจากย้อนความทรงจำในอดีตได้แล้ว ไม่แน่ว่าอาจพอนึกอะไรออก"
"เฉียวเยว่" น้ำเสียงสดใสฟังรื่นหูของบุรุษดังขึ้น เฉียวเยว่หันไปมอง ใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้ม "เสด็จพี่รัชทายาท"
รัชทายาทจูงมือน้อยๆ ของนางพาไปยังเก้าอี้ตัวเล็กด้านหน้าไม่ไกลนัก แล้วนั่งลงด้วยกัน
เขาตรวจสอบเฉียวเยว่อย่างละเอียด แล้วถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง "ท่านหมอว่าอย่างไรบ้าง?"
หลังจากนั้นก็วางมือบนหน้าผากของนาง ดีที่ตัวไม่ร้อน
เฉียวเยว่ส่ายหน้า "ไม่เป็อันใด ท่านหมอเพียงให้ข้าดื่มน้ำขิงเมื่อเช้าหนึ่งถ้วย"
ดวงหน้ากลมแก้มป่องที่ทำสีหน้าจริงจังแลดูน่ารักยิ่งนัก
รัชทายาทเอ่ยด้วยความห่วงใย "น้ำในสระมันเย็น"
แล้วกล่าวอีกว่า "ข้าเอาของบำรุงมาให้เ้ามากมาย ไม่รู้ว่าเ้ากินอะไรได้หรือไม่ได้ ต้องให้ท่านหมอดูก่อน ค่อยให้เ้าไว้บำรุงร่างกาย"
เฉียวเยว่เงยหน้าดวงน้อยขึ้น เอ่ยตอบเสียงใส "ขอบพระทัยเสด็จพี่รัชทายาท"
แสงแดดเจิดจ้าสาดส่องมาบนใบหน้าของทั้งสองคน รัชทายาทแทบจะมองเห็นขนอ่อนบนดวงหน้าเล็กจ้อยของนางที่เงยขึ้นมา ถึงแม้หนูน้อยจะเ้าเนื้อสักหน่อย แต่ก็น่ารักน่าเอ็นดูเหมือนตุ๊กตาเด็กอ้วนในภาพเขียนปีใหม่
"เมื่อครู่นี้เฉียวเยว่กำลังคิดอะไรอยู่หรือ?" ปรกตินางมักสดใสเริงร่าและคุยเก่ง ประดุจนางฟ้าตัวน้อยที่มองโลกในแง่ดีเสมอมา แต่เมื่อครู่เห็นนางนั่งจุ้มปุ๊กอยู่คนเดียวใต้ต้นไม้ แผ่นหลังน้อยๆ ให้ความรู้สึกเปล่าเปลี่ยวน่าสงสาร เขามองเพียงแวบเดียวยังรู้สึกปวดใจแทบตาย
"เฉียวเยว่ไม่ต้องกลัว ต่อไปเสด็จพี่รัชทายาทจะคุ้มครองเ้าเอง"
เฉียวเยว่ดีใจมาก "ช่างดียิ่ง ถึงแม้การพบคนร้ายจะไม่ดี แต่ข้าก็ดีใจมากที่เจอคนผู้นั้น"
เฉียวเยว่บีบผ้าเช็ดหน้าผืนน้อย แล้วเอ่ยอย่างจริงจัง "หากไม่พบคนร้าย ก็มิอาจได้รู้ว่าท่านแม่ถูกคนปองร้าย หากไม่พบคนร้าย เสด็จพี่รัชทายาทกับพี่ชายิ่ก็คงไม่เอ่ยปากว่าจะปกป้องคุ้มครองข้า ตอนนี้ข้าก็ร้ายกาจแล้ว สามารถเดินกร่างไปทั่วเมืองหลวง เพราะมีพี่ชายที่เก่งกล้าเป็พิเศษคอยปกป้องถึงสองคน"
รัชทายาททอยิ้มน้อยๆ ลูบศีรษะของนาง "เด็กดี"
แต่ดวงหน้าน้อยแสดงความกระหยิ่มยิ้มย่องได้ไม่นาน ก็กลับมาห่อเหี่ยวอีกหน พลางบ่นพึมพำ "แต่เสี่ยวชุ่ยได้รับาเ็ ถึงแม้ท่านหมอบอกว่านางจะดีขึ้น แต่นางก็ต้องมารับเคราะห์ใหญ่เพราะเื่นี้"
เฉียวเยว่คล้ายจะหงุดหงิดอยู่บ้าง "ข้าช่างโง่งมนัก นึกไม่ออกเสียทีว่าคนผู้นั้นเป็ใคร ข้าเคยพบเขาชัดๆ ต้องเคยพบอย่างแน่นอน"
นางดึงแขนเสื้อของรัชทายาทราวกับกำลังหาคนเห็นพ้อง "เสด็จพี่รัชทายาท ท่านเชื่อข้าหรือไม่? ข้าไม่ได้ตาฝาด ข้าเคยพบเขาจริงๆ ข้าได้ยินท่านพ่อคุยกับผู้อื่น พวกเขาล้วนบอกว่าข้ายังเด็กเกินไปเลยจำคนผู้นั้นไม่ได้ แต่ไม่ใช่ ไม่ใช่จริงๆ เขาไม่อยู่ในกลุ่มบ่าวไพร่เ่าั้"
รัชทายาทััได้ถึงความหวาดวิตกและกระวนกระวายใจของเฉียวเยว่ เขารู้ แท้จริงแล้วเฉียวเยว่ก็กลัวว่า หากตนเองจะจำคนผู้นั้นไม่ได้ จะเป็การปล่อยให้ปลาหลุดรอดจากแห
เขากุมมือของเฉียวเยว่ กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง "ข้าเชื่อเฉียวเยว่"
เฉียวเยว่ทึ้งผมตัวเอง "แต่ข้านึกไม่ออกว่าเคยเห็นบุรุษผู้นั้นจากที่ไหน ท่านว่าข้าควรทำเช่นไร เป็ไปไม่ได้ที่จะไม่เคยเจอเขา"
เสียงหัวเราะเยาะระลอกหนึ่งดังขึ้น
เฉียวเยว่เอี้ยวศีรษะหันไปก็เห็นิ่จื้อรุ่ย
เขานั่งอยู่บนหลังคาเรือน มองพวกเขาลงมาจากที่สูง แล้วพูดกระทบกระเทียบ "เ้าอย่าทึ้งผมอีกดีกว่า มิเช่นนั้นทึ้งไปทึ้งมาได้กลายเป็คนหัวโล้นพอดี"
เฉียวเยว่เหวี่ยงกำปั้นน้อยๆ ไปทางเขา แต่ไม่ช้านางก็แค่นเสียงหึ "ข้ารู้หรอก ว่าท่านชอบข้า อย่ามาเสแสร้งหน่อยเลย"
ิ่จื้อรุ่ยมองนางอย่างไม่อยากจะเชื่อ นางไปเอาความคิดเช่นนี้มาจากไหน? "เ้าหน้าหนายิ่งนัก"
เฉียวเยว่เอ่ยอย่างลำพอง "หากไม่ชอบข้า เมื่อวานจะแล่นมาเป็คนแรกบอกจะปกป้องข้าได้อย่างไร ยังพูดอีกว่าจะอยู่ห้องเดียวกับข้า ฮิๆ ฮิๆๆ ข้ามองท่านออกตั้งนานแล้ว เ้าโจรน้อย ท่านชอบข้า"
ิ่จื้อรุ่ยโกรธมาก พริบตาเดียวก็ะโลงมา แล้วเอ่ยว่า "ข้าไม่ชอบเ้า เ้าทั้งโง่ทั้งอ้วน ไยข้าต้องชอบเ้า"
เฉียวเยว่หัวเราะ "ข้างามราวกับนางฟ้าเช่นนี้ ท่านชอบข้าไม่ใช่เื่ปรกติหรอกหรือ ตาก็ไม่ได้บอดเสียหน่อย"
"มารดาเถอะ หน้าของเ้าไยจึงหนาถึงเพียงนี้" ิ่จื้อรุ่ยเอ่ย
เฉียวเยว่เท้าสะเอว "ท่านพูดคำหยาบ แบร้ๆๆ ข้ารู้แล้ว คนอย่างท่าน... เอ๋?"
อยู่ๆ เฉียวเยว่ก็เงียบไป
รัชทายาทจับมือน้อยๆ ของนาง ถามว่า "เป็อะไรไป?"
เฉียวเยว่เกาศีรษะ นิ่งไปครู่หนึ่ง ก็กวักมือน้อยๆ เรียกทั้งสองเข้ามานั่งข้างกายตน ก่อนจะกระซิบ "ไม่รู้เพราะเหตุใด พอพูดถึงคำหยาบ ข้าคลับคล้ายว่าจะนึกอะไรบางอย่างออก ดูเหมือนว่าตอนที่ข้าพบคนผู้นั้น เขาก็สบถคำหยาบออกมา"
คนผู้นั้นหมายถึงคนร้าย
ิ่จื่อรุ่ยจริงจังขึ้นมา "แต่ในจวนของพวกเ้าไม่น่าจะมีใครพูดจาหยาบคาย ยิ่งไม่มีทางพูดต่อหน้าเ้าด้วย" พอเห็นเฉียวเยว่ชำเลืองเขา ก็ร้อนตัวขึ้นมา "เ้าจะบอกว่าข้าพูดหยาบคายหรือ? ปรกติข้าเคยพูดที่ไหน เ้าอย่ามาใส่ความข้า"
เฉียวเยว่รู้สึกเห็นใจในระดับสติปัญญาของคนผู้นี้จริงๆ
นางเอ่ย "ย่อมไม่ใช่ท่านอยู่แล้ว ข้าไม่ได้บอกว่าเป็ท่านเสียหน่อย เพียงแค่จะให้ท่านสบถออกมาอีกสักสองสามประโยค เผื่อข้าจะนึกอะไรออกอีกบ้าง"
ไชเท้าน้อยอายุห้าขวบพูดจาเช่นนี้ชวนให้คนอับจนถ้อยคำจริงๆ
รัชทายาทไม่เห็นด้วยเป็คนแรก
"อยู่ดีๆ จะสบถคำหยาบคายต่อหน้าเฉียวเยว่ได้อย่างไร เดี๋ยวนางก็ลอกเลียนแบบสิ่งที่ไม่ดีกันพอดี พวกเราช่วยกันวิเคราะห์เถอะ ไม่แน่ว่าอาจช่วยให้นึกสถานการณ์ตอนนั้นออกว่าเป็อย่างไร"
ิ่จื้อรุ่ยพยักหน้า "สามคนเขลายังสามารถเอาชนะจูเก๋อเลี่ยง [1] พวกเรามาคิดด้วยกันเถอะ"
เฉียวเยว่โบกมือ "มานั่ง"
ทั้งสามนั่งเก้าอี้ที่อยู่ข้างบันได
ซูซานหลางเห็นแล้วก็รู้สึกว่าน่าเอ็นดู ท่าทางราวกับกำลังนั่งเรียงแถวกินผลไม้
เขามักไม่ชอบให้เฉียวเยว่มาคลุกคลีกับพวกเขา แต่เหมือนว่าจะไม่สามารถขัดขวางได้ บางเื่ก็คงต้องแล้วแต่ชะตาลิขิต
"ท่านพ่อ" อิ้งเยว่เดินมา "ข้าวาดภาพภาพหนึ่งออกมา จำลองเส้นทางที่คนผู้นั้นปรากฏตัวและเส้นทางที่ใช้หลบหนี ท่านมาดูสิเ้าคะ ข้ารู้สึกว่าคนผู้นี้บางทีอาจจะไม่ใช่คนในจวน"
ซูซานหลางหน้าดำทะมึน ก่อนพยักหน้า "อืม"
แต่ยามนี้ เฉียวเยว่กำลังพูดจ้อ "เอาล่ะ สมุนคนเขลาทั้งหลาย พวกท่านคิดว่าคนผู้นี้อยู่ดีๆ ก็หายไปเฉยๆ ได้อย่างไร?"
"อาจมิได้หายไปเฉยๆ" รัชทายาทเอ่ย
เขาพูดตามความคิดของตนเอง "หากเ้าบอกว่าตอนพบกับคนผู้นี้เขาพูดคำหยาบ เช่นนั้นก็อธิบายได้ว่าโอกาสที่จะอยู่ในจวนนี้มีไม่มาก นายท่านผู้เฒ่าเคร่งครัดกฎระเบียบ ไม่อนุญาตให้บ่าวไพร่เอ่ยวาจาเหลวไหลต่อหน้าคุณหนูแน่นอน สิ่งที่เป็ไปได้มากที่สุดก็คือ เฉียวเยว่พบคนผู้นี้ข้างนอก เพราะเ้าเคยพบจึงมีความทรงจำของคนผู้นี้อยู่ ตอนนั้น... เขาอาจเป็คนสนิทข้างกายของญาติคนใดคนหนึ่งของเ้า ดังนั้นถึงรู้สึกว่าเขาเป็บ่าวในจวน"
เฉียวเยว่ลุกพรึ่บ มองไปที่รัชทายาท
"เ้านึกออกแล้วหรือ?" รัชทายาทถาม
เฉียวเยว่ไม่พูดพร่ำทำเพลง วิ่งจู๊ดออกไปทันที
เห็นขาสั้นๆ ของนางวิ่งไปเร็วมาก รัชทายาทก็ร้องะโว่า "ระวังหน่อย เดี๋ยวจะล้มเอาได้"
พูดยังไม่ทันขาดคำ เด็กหญิงตัวน้อยก็สะดุด ทันใดนั้นิ่จื้อรุ่ยก็วิ่งเข้าไปราวกับเหาะ จะดึงนางไว้ก็ไม่ทันแล้ว เขาจึงกระโจนลงไปบนพื้นโดยตรง เฉียวเยว่จึงล้มกระแทกลงไปบนตัวของิ่จื้อรุ่ย
"โอ๊ย" ิ่จื้อรุ่ยร้องด้วยความเ็ป
เฉียวเยว่ลุกขึ้นมา ถามด้วยความเป็ห่วง "พี่ชายิ่ ท่านเป็อย่างไรบ้าง?"
ิ่จื้อรุ่ยใบหน้าเหยเก "มะ... ไม่เป็ไร ข้าแข็งแรงขนาดนี้ จะเป็อะไรได้"
เพียงแต่ดูเหมือนจะเจ็บมากจริงๆ เขาสูดปากไม่หยุด เฉียวเยว่มองอย่างพินิจ จู่ๆ ก็ดึงเสื้อของิ่จื้อรุ่ย "ข้าขอดูหน่อย ท่านได้รับาเ็หรือไม่"
ขณะนี้รัชทายาทเดินมาถึงพวกเขาสองคนแล้ว เห็นแขนของิ่จื้อรุ่ยดูแปลกไป ก็รีบเอ่ยปากทันที "ใครก็ได้ไปตามท่านหมอที"
หลังจากนั้นก็เอ่ยถาม "จื้อรุ่ย แขนของเ้าเป็อย่างไรบ้าง ขอข้าดูหน่อย"
ิ่จื้อรุ่ยเห็นทั้งสองต่างร้อนใจ ก็บอกปฏิเสธ "ไม่มีอะไร"
คำพูดเช่นนี้ไม่มีใครเชื่อ
เฉียวเยว่ร้องเสียงดัง "ท่านอย่าเอาแต่ใจนักสิ จะแสร้งทำเป็เข้มแข็งอะไรตอนนี้ ข้าขอดูหน่อย แขนของท่านาเ็หรือไม่ ล้วนเป็ข้าไม่ดีเอง ทำสิ่งใดไม่ระมัดระวัง พี่ชายิ่ ท่านด่าข้าเถอะ"
นางเห็นสีหน้าที่เ็ปของเขา แขนก็ดูผิดรูปแปลกๆ สงสัยว่าเขาอาจจะกระดูกหัก
"พี่ชายิ่เจ็บหรือไม่ ข้าจะเป่าให้นะ"
นางเข้ามาเป่าที่แขนให้ิ่จื้อรุ่ย
เขาก้มลงมองก็เห็นขวัญสองวงเหนือศีรษะน้อยๆ ของนาง
เขานึกถึงอะไรบางอย่าง จึงเอ่ยแกมหยอกเย้า "มีคนบอกว่าคนมีสองขวัญมักฉลาดปราดเปรื่อง แต่เหตุใดเ้าไม่เห็นจะเป็เช่นนั้นเลยเล่า โง่จะตาย"
เฉียวเยว่ทำแก้มป่อง แต่พอเห็นาแบนใบหน้าของเขา ก็พูดขึ้นว่า "พี่ชายิ่ ต่อไปข้าจะไม่ถือโทษที่ท่านด่าว่าข้าโง่อีกแล้วล่ะ ก็ข้ามันโง่เง่าเต่าตุ่นจริงๆ"
...
[1] สามคนเขลายังสามารถเอาชนะจูเก๋อเลี่ยง มีความหมายว่า แม้จะเป็คนโง่เขลาแต่ถ้าร่วมแรงร่วมใจ ฟังความคิดเห็นของกันและกัน ก็สามารถหาทางออกได้เช่นคนมีความสามารถ จูเก๋อเลี่ยงคือนามของขงเบ้ง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้