“เ้าสาวมาแล้ว”
“รีบไปดูเร็ว เ้าสาวของเอ้อร์โก่วจื่อเข้าหมู่บ้านมาแล้ว!”
“โอ้โห... เอ้อร์โก่วจื่อแต่งภรรยาแล้ว”
ชายหญิง เด็กเล็ก และคนชราที่อยู่ว่างๆ พากันยืนอยู่ที่สองข้างถนนของหมู่บ้าน เพื่อคอยดูขบวนเกี้ยวเ้าสาวมุ่งหน้าไปยังบ้านสกุลสวี่
คนหามเกี้ยวเป็ชายฉกรรจ์สองคน ส่วนตัวเกี้ยวนั้นเช่ามาใช้ เมื่อชาวบ้านแถบนั้นจัดงานมงคลล้วนจ่ายเงินเช่าเกี้ยวเ้าสาวกันทั้งนั้น
สวี่เจิ้ง ซื่อโก่วจื่อ หลี่ซาน และหลี่เจี้ยนอัน ที่เดินอยู่หน้าเกี้ยวถูกคนตีฆ้อง คนตีกลอง และคนเป่าแตรปากกว้าง ดันตัวไปข้างหน้า
เดิมทีสวี่เจิ้งอยากให้เอิกเกริกจึงคิดจะจูงล่อไปรับเ้าสาวด้วย แต่ผู้ใดจะรู้ว่า พอล่อได้ยินเสียงประทัดก็ใจนเอาแต่ร้องไม่หยุด ซ้ำยังทั้งถ่ายหนักถ่ายเบาออกมาในทันใด ทำเอากลิ่นเหม็นคละคลุ้งตลบฟ้า ทำคนไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดี จึงให้คนส่งล่อกลับบ้านไปก่อน
ตามประเพณีท้องถิ่น เ้าบ่าวไม่สามารถไปรับเ้าสาวเองได้ คนที่ไปรับเ้าสาวจึงเป็สหายใกล้ชิดของเ้าบ่าว
บ้านสกุลสวี่ไม่มีญาติที่ใด จึงเชิญหลี่ซานพ่อลูกมาช่วยเพิ่มความครึกครื้น
ในบรรดาเด็กหนุ่มสกุลหลี่ทั้งสี่คน หลี่เจี้ยนอันเป็คนที่หน้าตาธรรมดาที่สุดจึงให้เขาไป เพราะหากอีกสามคนไปก็กลัวว่าจะไปแข่งความหล่อกับเอ้อร์โก่วจื่อผู้เป็เ้าบ่าว
คนที่เดินตามหลังเกี้ยวเ้าสาวมาอย่างไม่ช้าไม่เร็วก็คือ ตาเฒ่าเติ้งบิดาของเ้าสาว ยังมีเติ้งต้าซึ่งเป็พี่ชายคนเดียวของเ้าสาวและญาติๆ ในสกุลเติ้ง
ก่อนนี้หมู่บ้านของสกุลเติ้งก็ไม่ได้มั่งมีเท่ากับหมู่บ้านหลี่อยู่แล้ว หนำซ้ำเมื่อปีกลายทุกเรือนในหมู่บ้านหลี่ต่างก็ขายเต้าหู้และยังมีชายหนุ่มหลายคนไปก่อเตียงเตา จึงทำให้มีเงินทองเพิ่มขึ้นและมีชื่อเสียงโด่งดังไปในหลายหมู่บ้านหลายตำบลในแถบนี้
เพื่อให้เ้าสาวมีหน้ามีตา คนสกุลเติ้งจึงสวมเสื้อผ้าที่ดีที่สุดและยังมีสองคนที่สวมหมวกด้วย แต่แม้จะเป็เช่นนี้เมื่อเทียบกับชาวบ้านในหมู่บ้านหลี่แล้ว ก็ยังดูด้อยกว่าอยู่มาก
คนหมู่บ้านหลี่นั้น แม้แต่คนที่มาดูเอาสนุกก็ยังสวมเสื้อผ้าที่ใหม่ถึงเก้าส่วน ดีกว่าเสื้อผ้ามีรอยปะชุนที่คนสกุลเติ้งสวมใส่อย่างมาก
ท่ามกลางเสียงประทัดก็มีเสียงสัตว์เลี้ยงขนาดใหญ่ร้องประสานมาด้วย เป็เสียงลาของสกุลหวังหลายครอบครัวนั่นเอง
ในหมู่บ้านของคนสกุลเติ้งไม่มีครอบครัวใดที่มีสัตว์เลี้ยงตัวใหญ่เลย ลำพังแค่เื่นี้ก็ทำให้พวกเขาอิจฉาความเป็อยู่ของคนหมู่บ้านหลี่แทบเป็แทบตายแล้ว
เกี้ยวมงคลมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูใหญ่ของบ้านสกุลสวี่ สตรีทั้งสาวทั้งชราต่างพากันส่งเสียงเอะอะจะขอดูเ้าสาว
ท่ามกลางเสียงะโกล่าวคำมงคลดังลั่นของทุกคน เ้าสาวก็ได้เอ้อร์โก่วจื่อที่ตอนนี้ยิ้มจนเมื่อยช่วยประคองลงมาจากเกี้ยว
สวี่เจิ้งเอ่ยเสียงดังอย่างปลาบปลื้มว่า “ญาติๆ และมิตรสหายทุกท่าน เชิญข้างในขอรับ”
โถงใหญ่ตกแต่งเรียบร้อยไว้นานแล้ว ทุกคนเดินตามบ่าวสาวเข้าไปข้างใน จนตอนนี้โถงขนาดใหญ่มีคนมากมายจนแน่นขนัด
เ้าสาวคลุมหัวด้วยผ้าปิดหน้าสีแดงดูเป็ความลับอย่างยิ่ง ทำให้ทุกคนพากันจินตนาการกันไปต่างๆ นานา
คนในชนบทแต่งงานไม่ได้มีกฎเกณฑ์มากนัก แต่พิธีที่ควรมีก็ยังต้องจัดอยู่
หวังไห่ได้รับเชิญจากสกุลสวี่ให้มาเป็ประธานในพิธี ซึ่งนับว่าเป็คนที่มีฐานะสูงสุดที่อยู่ ณ ที่นี้ เขาเอ่ยเสียงดังว่า “หนึ่งคำนับฟ้าดิน สองคำนับผู้ใหญ่ สามสามีภรรยาคำนับกันและกัน”
เมื่อเสร็จแล้ว เอ้อร์โก่วจื่อก็ใช้ไม้วัด[1]เปิดผ้าคลุมหน้าเ้าสาวของเติ้งอิ๋นฮวาออกท่ามกลางสายตาของทุกคน
ดวงหน้าของหญิงสาวที่ทาด้วยแป้งหอมแต่งหน้าและแต้มชาดทาแก้ม พลันปรากฏต่อหน้าทุกคน
เติ้งอิ๋นฮวาหน้าตาธรรมดาเสียอย่างยิ่ง ผิวค่อนข้างคล้ำ เพียงแต่เมื่อเขียนคิ้วทาปากเข้าและได้ชุดแต่งงานสีแดงเพลิงช่วยขับผิว จึงดูงดงามขึ้นมาอย่างมาก
ปาโก่วจื่อตบมือบอกว่า “เ้าสาวสวยเหลือเกิน”
หวังไห่หันไปยิ้มให้เด็กน้อยบอกว่า “ฮ่าๆ... เ้าสาวก็คือพี่สะใภ้ของเ้า”
จ้าวซื่อเห็นว่ารูปร่างของเติ้งอิ๋นฮวาค่อนข้างอวบและบั้นท้ายใหญ่ จึงเอ่ยกับหม่าซื่อที่ตอนนี้เลื่อนขั้นขึ้นมาเป็แม่สามีว่า “ดูไปแล้วสะใภ้คนโตของเ้าเป็คนมีวาสนา วันหน้าเ้าก็รออุ้มหลานตัวอ้วนๆ เถิด”
พอได้ยินถ้อยคำ ความรู้สึกขุ่นเคืองอยู่เล็กน้อยที่สินติดตัวเ้าสาวของสกุลเติ้งน้อยเสียอย่างยิ่งก็ลดลงไปได้บ้าง
หลี่หรูอี้เอ่ยชมกับอู่โก่วจื่อว่า “เพียงเห็นก็รู้ว่าพี่สะใภ้ของเ้าเป็คนเก่งกาจและเป็แม่ศรีเรือน”
ตอนนี้ทุกคนต่างพากันชมว่าเ้าสาวหน้าตางดงาม เติ้งอิ๋นฮวาอายจนต้องก้มหน้าต่ำๆ เอ้อร์โก่วจื่อคอยจับจ้องนางไม่วางตา เขายิ้มไม่หุบเลย
บ้านสกุลเติ้งเห็นว่าบ้านสกุลสวี่พึงพอใจกับเติ้งอิ๋นฮวาย่อมนึกดีใจ เพราะนี่ถือเป็ลางดีว่าการแต่งงานครานี้จะไม่ย่ำแย่และวันหน้าเติ้งอิ๋นฮวาก็จะมีความสุข
บ่าวสาวเข้าห้องหอ ทุกคนตามเข้าไปสร้างความครึกครื้น จากนั้นก็กลับออกมาเข้าร่วมงานเลี้ยงดื่มสุรามงคลที่โถงใหญ่
อากาศหนาวเย็นเกินไปย่อมไม่สามารถไปจัดงานเลี้ยงในลานบ้านได้ บ้านสวี่จึงจัดโต๊ะอาหารไว้ในโถงใหญ่และห้องนอนสองห้อง รวมทั้งหมดห้าโต๊ะ เชิญหลายครอบครัวที่สนิทสนมมาร่วมสังสรรค์กัน สักคราว
จ้าวซื่อกับหลี่หรูอี้มาช่วยงานั้แ่เช้าตรู่ จ้าวซื่อช่วยหม่าซื่อต้อนรับแขก โดยเฉพาะแขกที่เป็สตรีจากบ้านฝ่ายหญิง ยิ่งไม่อาจให้ขาดตกบกพร่องได้ ส่วนหลี่หรูอี้ไปช่วยซานโก่วจื่อกับอู่โก่วจื่อทำอาหารที่ห้องครัว
และแน่นอนว่าหลี่หรูอี้ต้องพาหลี่สือมาด้วย หลี่สือรับผิดชอบหั่นผัก นวดและปั้นแป้ง
อาหารนานาชนิด ทั้งลูกชิ้นทอด เต้าหู้ทอด หมั่นโถวนึ่งใส่พุทราแดง ตุ๋นไก่ชิ้น เนื้อหมูพะโล้ เตรียมทำไว้ั้แ่เมื่อวานแล้ว มิเช่นนั้นมาทำวันนี้ก็จะไม่ทัน
ใน่ปีใหม่ทุกบ้านกินเนื้อกันมากแล้ว ไม่เหมือนยามปกติที่ขาดแคลนของกินจำพวกเนื้อกันจนพอเห็นเนื้อหมูดิบๆ ก็ยังตาเขียว[2]ขึ้นมาแล้ว
แต่งานเลี้ยงของบ้านสวี่ในวันนี้ก็ยังทำให้ทุกคนทั้งกินอิ่มทั้งมีลาภปาก และทำให้บ้านเติ้งได้เปิดหูเปิดตาด้วย
อาหารเย็นสี่ อาหารร้อนแปด น้ำแกงหนึ่ง และอาหารหลักอีกสองอย่าง ทุกอย่างดูน่าลิ้มรสและน่าจะมีรสชาติที่โอชะ หนำซ้ำในจำนวนนั้นก็ยังมีอาหารอีกหลายอย่างที่ไม่เคยกินมาก่อน
ยกตัวอย่างเช่น ลูกชิ้นเต้าหู้ อย่าว่าแต่บ้านเติ้งเลย แม้แต่ชาวหมู่บ้านหลี่เองก็ยังไม่เคยกินมาก่อน
คนบ้านเติ้งมองอาหารแต่ละอย่างที่ทยอยยกออกมา ในความตื่นตะลึงก็ยังมีความรู้สึกผิดอยู่เล็กน้อย บ้านสวี่ให้ความสำคัญกับงานแต่งขนาดนี้ ยิ่งทำให้เห็นชัดว่าบ้านเติ้งให้สินติดตัวเติ้งอิ๋นฮวาน้อยเกินไป
สุราก็เป็สุราที่ดี สุรานารีแดงหนึ่งชั่งต้องจ่ายสิบแปดอีแปะ สำหรับแขกที่ชื่นชอบในการดื่ม ลำพังแค่สุราที่ดีเช่นนี้ก็นับว่าไม่ได้มาเสียเที่ยวแล้ว
เมื่อจบงานเลี้ยง แเื่ก็ทยอยกันกลับ แขกที่ให้เงินช่วยแต่งงานมากหน่อย บ้านสวี่ก็จะมอบหมั่นโถวพุทราแดงให้
หมั่นโถวพุทราแดงนี้ลูกใหญ่กว่าที่กินในงานเลี้ยงเสียอีก และยังใส่ลูกพุทราแดงมากกว่าด้วย เห็นแล้วยั่วน้ำลายยิ่งนัก
นอกจากคนบ้านเติ้งจะได้หมั่นโถวพุทราแดงที่ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางหนึ่งฉื่อกันทุกคนแล้ว ก็ยังได้ลูกกวาดแบะแซ[3]ไปคนละหนึ่งกำมือด้วย
ตาเฒ่าเติ้งเอ่ยด้วยความปลาบปลื้มว่า “ครอบครัวดองเกรงใจเกินไปแล้ว”
สวี่เจิ้งดื่มจนเมาและไปนอนแล้ว หม่าซื่อจึงเป็คนมาส่งคนสกุลเติ้ง และบอกกับตาเฒ่าเติ้งว่า “อีกสามวันข้าจะให้เอ้อร์โก่วจื่อพาภรรยาเขากลับเรือน[4]”
ตาเฒ่าเติ้งมีกลิ่นสุราคลุ้งทั่วตัวตอบตกลงและมีเติ้งต้าคอยประคองเดินจากไป ระหว่างทางกลับคนสกุลเติ้งจึงพากันวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมา
“บ้านสวี่มีเงินมีทองจริงๆ อิ๋นฮวาเป็คนมีวาสนา”
“บ้านสวี่มีลูกหลายคน เฉพาะที่เป็เด็กผู้ชายก็ห้าคนแล้ว แต่อิ๋นฮวาแต่งกับลูกชายคนโต” ความหมายในคำพูดของคนตระกูลเติ้งก็คือทรัพย์สินครึ่งหนึ่งของบ้านสวี่จะต้องตกอยู่ในมือของเอ้อร์โก่วจื่อกับเติ้งอิ๋นฮวา
“เมื่อครู่ข้าได้ยินคนหมู่บ้านหลี่ที่โต๊ะข้างๆ บอกว่า บ้านที่มีเงินที่สุดในหมู่บ้านหลี่ก็คือ บ้านของคนสกุลหลี่ พ่อแม่สามีของอิ๋นฮวามีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับบ้านสกุลหลี่ เต้าหู้ที่บ้านสกุลหลี่ทำนั้นขายได้ไปจนถึงเมืองเยี่ยนโน่น แม้แต่เยี่ยน อ๋องก็ยังเสวยเต้าหู้ของบ้านสกุลหลี่ ยามนี้ครอบครัวเราเป็ดองกับบ้านสวี่ บ้านสวี่จะลองไปพูดกับบ้านหลี่ได้หรือไม่ว่า ให้บ้านหลี่ขายเต้าหู้ให้บ้านของเราบ้าง”
ตาเฒ่าเติ้งเมาสุราถูกลมหนาวพัดจนตื่น แต่สติไม่ได้เลอะเลือนแม้แต่น้อย เขาหันหน้ามามองหลานชาย ซึ่งเป็คนที่พูดคนสุดท้าย แล้วพูดอย่างอารมณ์เสียว่า “อิ๋นฮวาเพิ่งจะแต่งออกไปได้วันเดียว เท้ายังไม่ทันยืนในเรือนแม่สามีได้มั่นคงเลย ยังไม่เหมาะจะเอ่ยเื่นี้”
เติ้งต้ารู้สึกผิดอยู่ในใจมาโดยตลอดที่ให้สินติดตัวแก่น้องสาวน้อยเกินไป ไม่อยากให้น้องสาวเพิ่งแต่งเข้าเรือนแม่สามีแล้วจะวางตัวลำบาก จึงบอกว่า “บ้านหลี่ยอมขายเต้าหู้ให้บ้านแม่สามีของน้องข้าก็นับว่าผิดธรรมเนียมแล้ว จะมาขายให้พวกเราอีกได้อย่างไร”
คนผู้นั้นกลอกตาหนหนึ่ง รีบเอ่ยทั้งหัวเราะว่า “ท่านอา พี่ใหญ่ ข้าก็แค่พูดไปลอยๆ เท่านั้น”
ตาเฒ่าเติ้งกำชับว่า “ยามที่เ้ากลับไปก็ห้ามเอ่ยเื่นี้ในครอบครัวอีก”
คนผู้นั้นได้แต่ยิ้มไม่เอ่ยใดๆ แต่กลับคิดในใจว่า นกตายเพราะอาหาร คนตายด้วยทรัพย์สิน เื่นี้ก็ใช่ว่าจะให้เติ้งอิ๋น ฮวาไปตายสักหน่อย ก็แค่ให้นางใช้ฐานะที่เป็สะใภ้บ้านสวี่ไปเอ่ยปากขอร้องบ้านหลี่สักหน่อยเท่านั้น
เสียงหัวเราะอย่างมีความสุขของทั้งชายและหญิงดังออกมาจากโถงใหญ่บ้านสกุลหลี่
.............................
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] ไม้วัด คือ ไม้บรรทัดสำหรับวัดความยาว
[2] ตาเขียว ในภาษาจีนหมายถึง หิวหรือรู้สึกอิจฉา
[3] แบะแซ คือ น้ำเชื่อมที่เคี่ยวจากน้ำที่คั้นจากข้าว (อาจมีข้าวโพดด้วย) นึ่งสุกผสมข้าวสาลีหรือข้าวบาร์เลย์งอกปั่น หลังจากเคี่ยวจนข้นแล้วสามารถนำมาทำอาหารและลูกกวาดได้
[4] กลับเรือน ในที่นี้หมายถึง การที่สามีจะพาภรรยากลับไปเยี่ยมบ้านฝ่ายมารดาหลังจากแต่งงาน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้