“เจียเอ๋อร์เห็นถึงความรู้ความสามารถของเ้า เปิดใจให้เ้า ข้าเห็นเ้ารู้ว่าอะไรควรไม่ควร วันหน้าต้องประสบผลสำเร็จแน่ อยากขอเ้ามาตบแต่งเป็สามีลูกข้า เ้ายินยอมหรือไม่?”
มีเฉินจิ้งเจียชิงพูดให้ก่อนแล้ว เมื่อป๋อชางโหวพูดคำพูดเหล่านี้ออกมาอีกครั้ง จึงมิดูยากเย็นเท่าเดิมแล้ว
เผยฉางชิงตื่นตะลึงเป็อย่างยิ่ง ชายหนุ่มมองเฉินจิ้งเจีย ก่อนมองไปยังป๋อชางโหวและเฉินอี้เหอ มีตรงไหนผิดปกติกัน?
ที่โรงเตี๊ยมในคืนนั้น เขาคิดว่าเฉินจิ้งเจียคงหลงใหลในหน้าตาของตน และที่มาเจรจาร่วมมือกับเขาก็คงเป็เพียงอารมณ์ชั่ววูบเช่นกัน
หากแต่มาพินิจยามนี้ เหมือนมีแผนการอะไร กระทั่งว่าลากป๋อชางโหวและแม่ทัพเฉินเข้ามาพัวพันอีกด้วย
“คุณชายเผยมีเื่กังวลอะไร โปรดบอกโดยเร็ว ส่วนรายละเอียดค่อยปรึกษากันได้”
เห็นเขาไม่พูดไม่จาอยู่เนิ่นนาน เฉินอี้เหอจึงเป็ฝ่ายเอ่ยปาก
เผยฉางชิงไม่มองพวกเขา ก้มหน้าลงเล็กน้อยเก็บสีหน้าท่าทีไป เฉินจิ้งเจียเองก็มิอาจคาดเดาได้ว่าเขากำลังคิดอะไร
มองตัวเอง จากนั้นมองบิดาและพี่ชาย ในที่สุดเฉินจิ้งเจียจึงรู้สึกว่าสถานการณ์เช่นนี้ คล้ายกับการบีบบังคับแต่งงาน...
“ข้าน้อยเผยอยากถามว่า เหตุใดท่านโหวถึงเลือกข้าขอรับ? ในเมืองมีอัจฉริยะรูปงามมากมาย ด้วยตำแหน่งของจวนป๋อชางโหวแล้ว หากคุณหนูใหญ่คิดจะแต่งงาน ตัวเลือกย่อมมีไม่น้อย ทว่าเหตุใดถึงเลือกข้าที่ไร้กำลังไร้อำนาจ กระทั่งว่าเป็บัณฑิตยาจกที่จากนี้จะลืมตาอ้าปากได้หรือไม่ก็ไม่รู้ล่ะขอรับ?”
ประโยคนี้เขาเองก็เคยถามเฉินจิ้งเจีย ทว่าเฉินจิ้งเจียมิได้ตอบกลับเขาแต่อย่างใด
สีหน้าป๋อชางโหวดูสับสนขึ้นมา ก่อนมองเผยฉางชิงอีกครั้ง “เ้าเห็นแค่ว่าจวนป๋อชางโหวของข้ามีอำนาจล้นฟ้า แต่กลับไม่เคยรู้ว่าในเมืองหลวงนี้ หากมีใครคิดการต่อต้านข้าขึ้นมา ก็มิใช่เื่ยากแต่อย่างใด”
เมื่อได้ยินป๋อชางโหวพูดเช่นนี้ เผยฉางชิงพลันชะงักงันทันใด ป๋อชางโหวเป็ถึงขุนนางยศโหวเจวี๋ยขั้นหนึ่ง ที่ซึ่งคนส่วนมากล้วนรีบเข้าไปประจบประแจงเชียวนะ
หากมีใครคิดต่อกรเขาขึ้นมาจริงละก็ เช่นนั้นคงเป็...
ชายหนุ่มหันขวับมองเฉินจิ้งเจียทันใด ชั่วเวลานี้เพิ่งค้นพบว่าคำพูดที่สาวน้อยอายุสิบกว่าปีกล่าวไว้ในในโรงเตี๊ยมวันนั้น คลับคล้ายกับจะมิได้เอ่ยไปตามอำเภอใจเสียแล้ว
“กระนั้นเ้าไม่จำเป็ต้องกังวลเื่นี้ ในเมื่อข้ายอมขอเ้าแต่งเข้าบ้าน ย่อมต้องคุ้มครองเ้าให้รอบด้านเช่นกัน หากเ้าสอบติดได้ ข้าจะปูทางให้เ้า ช่วยเ้าเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็วเอง”
ป๋อชางโหวไม่รู้ว่าเผยฉางชิงคิดอะไรอยู่กันแน่ ทว่าสำหรับผู้เล่าเรียน การสอบนั้นย่อมไม่มีสิ่งใดมากไปกว่าการมีหน้ามีตาในสังคมแล้ว
บังเอิญยิ่งนัก เื่อื่นป๋อชางโหวไม่กล้าพูด แต่เื่ปูทางสู่ราชสำนักนั้น เกรงว่าในเมืองหลวงคงไม่มีใครเก่งกล้าไปมากกว่าเขาแล้ว
เฉินจิ้งเจียได้ยินป๋อชางโหวคุยโวอย่างไร้ความกระดากอาย ก็ก้มหน้าก้มตาประหม่าอยู่ด้านข้าง ในชาติก่อน เขามิได้รับความช่วยเหลือจากท่าน ก็เจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็วด้วยตนเองอยู่ดี
กระนั้นตอนนี้ใช้ข้อเสนอดังกล่าวล่อใจเผยฉางชิงไว้ได้ ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว
เมื่อนึกได้ว่านางอ่านหนังสือบทละครพื้นเมืองมาตั้งเท่าไร ฟังละครเพลงมามากเพียงใด ในบรรดานั้นก็ยังมีปัญญาชนที่ยอมทอดทิ้งภรรยา หันเหมาแต่งงานเข้าสกุลผู้ดีเพื่อเกาะผู้มีอิทธิพลครองอำนาจอยู่ไม่น้อย
แม้นางเชื่อมั่นว่าเผยฉางชิงมิใช่คนเช่นนั้น ทว่า...
“คุณชายเผยไตร่ตรองให้ดีเล่า จวนป๋อชางโหวมิได้มีเพียงตำแหน่งป๋อเจวี๋ยขั้นแรกเท่านั้น แต่ยังมีแม่ทัพผู้กุมอำนาจและยุทโธปกรณ์รบอีกด้วย หากเข้าจวนป๋อชางโหวแล้ว กำลังหนุนหลังของเ้าจะมีมากเพียงใดเ้าเองคงรู้ดีแก่ใจ”
เฉินอี้เหอเห็นชายหนุ่มปิดปากเงียบอยู่เนิ่นนาน จึงช่วยพูดให้ท้ายอยู่ข้างๆ
ไม่ใช่ ไม่ใช่! ทุกอย่างวุ่นไปหมดแล้ว!
เฉินจิ้งเจียขมวดคิ้วยุ่งเหยิง ดูเหมือนสถานการณ์ตอนนี้ ต่างไปจากสถานการณ์ที่นางคิดไว้ในใจตั้งเท่าใดแล้ว?
สถานการณ์ปรึกษาหารืออย่างเป็มิตรในอุดมคติแต่เดิมนั้น ไฉนยามนี้ถึงเหมือนว่านางกุมอำนาจจวนป๋อชางโหวไว้ แล้วบังคับขู่เข็ญคนมาแต่งงานเข้าจวนเล่า?
หากเปลี่ยนตำแหน่งกัน นางเป็คุณชายสกุลมั่งคั่ง เผยฉางชิงคือบุตรสาวสกุลยาจกละก็ นี่มัน นี่มันมิใช่ละครยื้อแย่งบังคับสตรีหรอกหรือ?
เผยฉางชิงชั่งใจ หากแต่งเข้าจวนป๋อชางโหวจริง เช่นนั้นหนทางสู่ข้าราชการขุนนางในอนาคตต้องราบรื่นขึ้นไม่น้อยแน่
อีกทั้งเมื่อพิจารณาสถานการณ์เป็ลูกเขยในอุดมคติของจวนป๋อชางโหวแล้ว หากมีคนคิดต่อกรเขาขึ้นมาจริง ก็คงไม่มีทางปะทะกันซึ่งหน้าแน่
ทว่าลับหลังนั้น…
ตัวเขาเผยฉางชิงก็ไม่เกรงกลัวเช่นกัน!
ความเงียบงันเนิ่นนานนี้ทำเอาใครหลายคนเริ่มใจร้อนรนขึ้น เฉินจิ้งเจียมองไปทางเผยฉางชิง “สรุปแล้วท่านจะตกลงหรือไม่?”
ครั้นคำถามนี้โพล่งออกมา ป๋อชางโหวและเฉินอี้เหอเป็อันต้องยกมือบังหน้าอย่างจนปัญญา หญิงสาวผู้หาญกล้านางนี้ต้องไม่ใช่คุณหนูแห่งจวนป๋อชางโหวแน่ ไม่ใช่แน่นอน!
“เหตุผลล่ะ?”
เผยฉางชิงรู้ว่านางไม่มีทางบอกเหตุผลที่แท้จริงแน่ ทว่านั่นก็มิได้ขัดขวางการหยอกล้อต่อหน้าแม่นางน้อยที่ดูปราดเปรื่องผู้นี้แต่อย่างใด
เหตุผลหรือ? จะบอกเหตุผลเรื่อยเปื่อยได้หรือไม่นะ?
เฉินจิ้งเจียขมวดคิ้วครู่หนึ่ง ไม่นานก็ผ่อนคลายลง สายตาเปล่งประกายจดจ้องใบหน้าเผยฉางชิง “เพราะท่านหน้าตาดีอย่างไรเล่า!”
เพราะท่าน...หน้าตาดี...
ต่อให้เป็เผยฉางชิงที่สุขุมนิ่งเงียบตลอดมา เมื่อได้ยินประโยคนี้เข้า ใบหูก็ขึ้นริ้วแดงก่ำอย่างเสียมิได้
เขากระแอมไอ มิกล้าสบตาเฉินจิ้งเจีย กล้ามองแค่ต่างหูที่ห้อยเหนือไหล่นางเท่านั้น
“สตรีสูงศักดิ์ในเมืองหลวง ล้วนกล้าหาญเช่นนี้เหมือนกันหมดเลยหรือ?”
อืม...
เฉินจิ้งเจียไม่ตอบคำถาม แต่เงยหน้าถามกลับ “สรุปแล้วท่านจะตกลงหรือไม่? ท่านอย่าลืมเสียเล่าว่าข้าช่วยชีวิตท่านไว้! จากแส้หวดม้าของคุณชายโจวน่ะ!”
ความยโสโอหังปรากฏบนใบหน้านาง หากแต่ในใจกลับขลาดกลัวเต็มทน หากมิใช่เพราะกลัวเขาไม่ตอบรับ นางคงไม่ทวงบุญคุณแน่ จริงๆ เลย...
“คุณหนูเฉินพูดถูกขอรับ”
เสียงของเผยฉางชิงตัดตอนความคิดเฉินจิ้งเจีย นางเงยหน้ามองไปหาอีกฝ่าย
ริ้วแดงก่ำบนใบหูจางลงแล้ว หากแต่ดวงตาล้ำลึกดุจบ่อน้ำโบราณนั้นกลับสว่างวูบ บนใบหน้าแสนเยือกเย็นนั้นคลับคล้ายกับเห็นเสี้ยวบางอย่าง แววความสนุกสนานอย่างนั้นหรือ?
“บุญคุณที่คุณหนูช่วยชีวิตไว้ ข้าน้อยเผยมิกล้าลืมไปชั่วชีวิต เช่นนั้นข้าน้อยก็ขอตอบแทนด้วยชีวิตขอรับ”
หา? นี่ นี่ตกลงแล้วอย่างนั้นหรือ?
ทั้งที่คิดเื่ราวมาอย่างดี เผยฉางชิงเองก็ตกปากรับคำแล้ว ไฉนเพียงชั่ววูบถึงได้รู้สึกเหมือนตนยกหินทุบเท้าตัวเองเสียเล่า?
ไม่เพียงเฉินจิ้งเจีย แต่ป๋อชางโหวและเฉินอี้เหอเองยังคิดเหมือนกันอีกด้วย
เผยฉางชิงหาได้สนใจอะไรมากมาย เอื้อมมือถอดจี้หยกบนคอก่อนส่งไปเบื้องหน้าเฉินจิ้งเจีย
“จี้หยกชิ้นนี้ ข้าน้อยเผยพกติดตัวมาั้แ่เด็ก ในเมื่อยามนี้ให้คำมั่นสัญญาคุณหนูแล้ว เช่นนั้นก็ให้มันเป็ของแทนใจเถิด”
ครั้นเห็นจี้หยกเบื้องหน้า ม่านตาเฉินจิ้งเจียพลันหดตัวทันใด
จี้หยกนี้ ในชาติก่อนคือหลักฐานชั้นยอดในการพิสูจน์ตัวตนของเผยฉางชิง ว่ากันว่าไทเฮาในปีนั้นเป็ผู้พระราชทานให้แก่ฮองเฮา
หากแต่ฮองเฮาสิ้นพระชนม์จากภาวะคลอดยาก องค์ชายผู้น้องก็เพิ่งประสูติ ทำเอาทั้งวังหลงโกลาหลคราใหญ่ ขาดจี้หยกไปสักชิ้นย่อมไม่มีใครสนใจอยู่แล้ว
“มิทราบว่าคุณหนูเฉินจะใช้อะไรแลกกับข้าน้อยเผยขอรับ?” คุณชายเผยหรี่ตาเล็กน้อย จดจ้องเฉินจิ้งเจีย
ของแทนใจของนาง...
เฉินจิ้งเจียครุ่นคิดพักหนึ่ง “ต้องขออภัยยิ่งนัก แม้ตัวข้าจะมีจี้วงแหวนหยกติดเอว ทว่ากลับไม่มากพอแสดงถึงจิตใจของข้าได้ มิสู้คุณชายรอสักสองวัน ข้าจะไปขอเครื่องรางคุ้มครองจากท่านเ้าอาวาสส่งให้คุณชายเป็อย่างไร?”
พระอาจารย์เจี้ยอู้คือภิกษุผู้ตรัสรู้ในพระธรรมที่น้อยคนจะบรรลุได้ หากขอเครื่องรางจากท่านมาสักอัน ต่อให้ราคาเป็ทองพันชั่งหมื่นชั่งก็มีคนยอมจ่ายอยู่ดี!
ซึ่งนั่นทำเอาเผยฉางชิงเป็อันต้องมองเฉินจิ้งเจียอย่างตะลึงงัน นี่...นี่เป็แค่การร่วมมือจริงหรือ?
