"ท่านลุงใหญ่!"
มู่เฟิงส่ายหน้า ก่อนมองไปทางอวิ๋นไห่แล้วกล่าวว่า "ท่านลุงอวิ๋น ท่านกล่าวได้ถูกต้องแล้ว ในเมื่อวรยุทธ์ของข้าถูกทำลาย เวลานี้ข้าก็ไม่ต่างอะไรกับคนไร้ค่าคนหนึ่ง แต่ชีวิตคนเราย่อมมีขึ้นมีลง ข้าไม่เชื่อว่าตัวเองจะสูญเสียความแข็งแกร่งไปตลอด ข้าไม่้าพูดถึงความทะเยอทะยานอันยิ่งใหญ่ที่ตัวเองวาดหวังเอาไว้ ในฐานะลูกผู้ชายตระกูลมู่ ทุกสิ่งล้วนพิสูจน์ผ่านการกระทำและข้อเท็จจริง แม้ตอนนี้ผู้เยาว์อาจยังไม่ถือว่ามีอุดมการณ์ แต่ผู้เยาว์ก็มีความคิดและความฝัน”
มู่เฟิงจ้องมองไปทางอวิ๋นไห่ แววตาของเด็กหนุ่มไม่มีความเศร้าซึมเหลืออยู่อีกต่อไปแล้ว เวลานี้มีเพียงความมุ่งมั่นและความเด็ดเดี่ยวราวกับทหารกล้าเท่านั้น
มู่เฟิงเข้าร่วมกองทัพั้แ่ยังเด็ก นอนกลางดินกินกลางทราย กระทั่งนอนกับซากศพคนตายเขาล้วนเคยผ่านมาหมดแล้ว ขณะที่เด็กในวัยเดียวกันกำลังใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานอยู่ที่บ้าน ตัวเขาก็กำลังจับดาบสังหารศัตรู การที่เด็กหนุ่มใช้ชีวิตเช่นนี้มาโดยตลอดจะให้เขาถูกทำลายลงอย่างง่ายดายได้อย่างไร?
บิดาของเขาเคยกล่าวว่า ผู้ที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริงต้องกล้าเผชิญหน้ากับหยาดเืที่หลั่งรินและชีวิตที่ยากลำบากจนถึงขีดสุด
อวิ๋นไห่มองเด็กหนุ่มด้วยสายตาชื่นชมและทอดถอนใจไปในขณะเดียวกัน หากกล่าวกันตามตรงแล้ว ในบรรดาคนรุ่นเยาว์ทั้งหมดในเมืองหลวง เขาชื่นชมในตัวมู่เฟิงเป็ที่สุด เขาเกิดมาในตระกูลใหญ่ แต่กลับไม่มีท่าทีของคุณชายเ้าสำราญเลยแม้แต่น้อย คุณสมบัติที่โดดเด่นของคนตระกูลมู่ล้วนสะท้อนให้เห็นอยู่ในตัวของเด็กหนุ่มผู้นี้ทั้งหมด
แต่ชื่นชมก็ส่วนชื่นชม ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่อาจหลบเลี่ยงความเป็จริงที่ว่า เขาได้กลายเป็คนไร้ประโยชน์อย่างสมบูรณ์ หนทางในการฝึกวรยุทธ์ของเด็กหนุ่มได้ดับลงไปแล้ว
“ในเมื่อท่าน้าจะถอนหมั้น เช่นนั้นข้าก็ตกลงเพราะข้ารักว่านเอ๋อร์ ข้าทราบถึงสถานการณ์ในปัจจุบันของตระกูลมู่ดีว่าเป็อย่างไร แต่ท่านต้องรับปากข้ามาก่อนข้อหนึ่ง”
คาดไม่ถึงว่ามู่เฟิงจะยอมตอบตกลงถอนหมั้น! ทั้งมู่เฉินและอวิ๋นไห่ต่างรู้สึกประหลาดใจ แต่ไม่มีใครสังเกตเลยว่าในขณะที่เด็กหนุ่มกล่าวคำนี้ออกมา หัวใจของเขาก็รู้สึกเ็ปราวกับกำลังหลั่งเื!
“กล่าวมาเถอะ หากข้าสามารถรับปากได้ ข้าย่อมรับปากเ้า”
อวิ๋นไห่ถอนหายใจ
“ข้าสามารถถอนหมั้นให้ได้ แต่ข้าไม่สามารถให้ว่านเอ๋อร์แต่งกับซั่งกวานเชียนผู้นั้นได้ ท่านไม่ทราบนิสัยของเขาหรือ เขาทำร้ายสตรีมามากมายไม่รู้ตั้งเท่าไร หากว่านเอ๋อร์แต่งกับเขา ท่านนึกภาพออกหรือไม่ว่าชีวิตของนางจะเป็อย่างไร หากท่านยังคิดให้ว่านเอ๋อร์แต่งกับซั่งกวานเชียนผู้นั้น ข้าขอสาบานเลยว่าข้าจะสังหารซั่งกวานเชียนให้จงได้และตระกูลอวิ๋นของพวกท่านจะต้องชดใช้เช่นกัน”
"ไม่ ตาย ไม่ เลิกรา"
สำหรับคำกล่าวสุดท้ายที่มู่เฟิงเน้นย้ำทีละคำนี้ ทำให้หัวใจของผู้คนที่ตรงนั้นพลันสั่นสะท้านขึ้นมา คำพูดทุกคำของเขาล้วนเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยวและแสดงออกถึงเจตจำนงอย่างชัดเจน
แม้จะเห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายเป็เพียงแค่เด็กหนุ่มที่ถูกทำลายเส้นลมปราณไปแล้วผู้หนึ่ง แต่คำพูดของเขากลับทำให้เหล่าผู้าุโต้องปฏิบัติต่อเขาอย่างจริงจัง
อวิ๋นไห่จ้องมองเข้าไปในแววตาของมู่เฟิงอย่างลึกซึ้ง ก่อนจะยอมพยักหน้าในที่สุดและกล่าวออกมาว่า "ได้ ข้ารับปากเ้า แต่ทางฝั่งตระกูลซั่งกวานข้าสามารถยืดเวลาออกไปได้เพียงสองปีเท่านั้น ภายในเวลาสองปีนี้เ้าจะไม่สามารถไปมาหาสู่กับว่านเอ๋อร์ได้อีก เพื่อให้นางสามารถตัดความสัมพันธ์นี้ได้โดยเร็วที่สุด"
ก่อนหน้านี้เขากล่าวว่าถูกตระกูลซั่งกวานกดดันให้ต้องถอนหมั้น ทว่าในความเป็จริงตระกูลอวิ๋นของเขาเป็ตระกูลที่ขึ้นชื่อเื่ศิลปะการต่อสู้และการฝึกยุทธ์ ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรตระกูลซั่งกวานก็คงไม่กล้าฉีกหน้าตระกูลอวิ๋น แต่เนื่องจากสถานการณ์ของตระกูลมู่ในปัจจุบันที่กำลังอยู่ในความวุ่นวาย เขาจึงไม่้าให้บุตรสาวของตนเข้าไปพัวพันกับอีกฝ่ายอีก
มู่เฟิงเองก็ตระหนักได้ถึงเื่นี้เช่นกัน ดังนั้นแม้เขาจะเ็ป ทว่าก็ยอมถอนหมั้นแต่โดยดี แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะเหตุผลอื่นใด ในใจของเขามีเพียงแค่คำสามคำเท่านั้นก็คือเขารักนาง! เขาเป็ห่วงนางมากเสียจนไม่อยากให้นางต้องทุกข์ใจ
ครั้งหนึ่งเขาเคยถามบิดาว่าความรับผิดชอบคืออะไร?
ในตอนนั้นผู้เป็บิดาได้ครุ่นคิดเกี่ยวกับเื่นี้ก่อนจะตบลงบนไหล่ของเขา และกล่าวว่าสิ่งที่เรียกว่าความรับผิดชอบนั้นก็คือ การที่เ้าต้องเลือกทำในสิ่งที่เ้าควรทำ
"สองปี..."
มู่เฟิงกำมือแน่น ก่อนพยักหน้าตกลง จากนั้นอวิ๋นไห่ก็ลุกขึ้นยืน และกำหมัดคำนับไปทางมู่เฉิน "ถ้าอย่างนั้น ท่านมู่ข้าต้องขอตัวก่อน"
“ฮึ่ม ข้าขอไม่ส่ง”
มู่เฉินตะคอกอย่างเ็าก่อนจะสะบัดแขนเสื้ออย่างไม่สบอารมณ์
อวิ๋นไห่ไม่ได้ขุ่นเคืองต่อท่าทีของอีกฝ่าย เขาเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้ามู่เฟิงและกล่าวว่า “ลูกผู้ชายต้องแข็งแกร่งเพื่อตัวเอง"
มู่เฟิงกำหมัดคำนับอีกฝ่าย "แต่ไหนแต่ไรมาข้าไม่เคยอ่อนแอ"
อวิ๋นไห่ไม่พูดอะไรให้มากความอีก เขาเดินจากไปในทันที
มู่เฟิงมองตามแผ่นหลังของอวิ๋นไห่พร้อมกัดริมฝีปาก เขากำมือแน่นจนเล็บจิกลึกเข้าไปในเนื้อ
“ว่านเอ๋อร์ ข้าขอโทษ...”
โลกมนุษย์นั้นวุ่นวายไม่ต่างอะไรจากสนามรบ ดังนั้นเป็เื่ธรรมดาที่อาจจะต้องพบเจอกับความเ็ปทางใจหรือได้รับาเ็ทางกาย อีกทั้งโลกนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงและไม่แน่นอนอยู่ตลอดเวลา หากไม่แข็งแกร่งมากพอที่จะยืนหยัด การต้องพลัดพรากจากคนที่ตนรักย่อมเป็เื่ที่สามารถเกิดขึ้นได้
“เฟิงเอ๋อร์ เ้า...”
มู่เฉินมองไปทางมู่เฟิงอย่างเป็กังวล
“ท่านลุงใหญ่ ข้าไม่เป็ไร”
มู่เฟิงส่ายหน้า เขาโค้งคำนับมู่เฉินด้วยความเคารพก่อนจะเดินจากไป แผ่นหลังของเขาดูโดดเดี่ยวและอ้างว้างราวกับสายลมจากสารทฤดูในเดือนสิบ
"ฮ่าๆ เหรียญตำลึงทองมากมายเช่นนี้ ย่อมสามารถช่วยตระกูลมู่ของข้าจากวิกฤตทางการเงินได้แน่"
คนอื่นๆ ต่างมุ่งความสนใจไปยังเหรียญตำลึงทองจำนวนสองแสนตำลึงที่วางอยู่เบื้องหน้า
มู่เฉินจ้องมองไปยังคนเ่าั้ ก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเ็า "พวกเ้ายังจะสบายใจที่ได้รับเงินพวกนี้มาอีกหรือ? ตำลึงทองเหล่านี้ล้วนแลกมาจากสิ่งที่มู่เฟิงต้องเสียไป เ้าพวกคนเห็นแก่ตัว น้องรองของข้าสละชีวิตเพื่อปกป้องบ้านเมือง แต่ในตระกูลกลับมีคนเช่นพวกเ้าอยู่ จิตสำนึกของผู้ใหญ่กลุ่มหนึ่งยังเทียบกับจิตสำนึกเพียงครึ่งส่วนของเด็กคนหนึ่งไม่ได้ด้วยซ้ำ ช่างน่าอับอายยิ่งนัก!”
มู่เฉินสบถด่าอย่างเกรี้ยวกราด ใบหน้าของทุกคนต่างก็แดงก่ำด้วยความอับอายและความรู้สึกพูดไม่ออก มู่เฉินสะบัดแขนเสื้อเดินจากไปด้วยความโมโห
มู่เยี่ยมองตามแผ่นหลังของมู่เฉินไป ดวงตาของเขาส่องประกายราวกับมีความคิดบางอย่างแล่นผ่าน
มู่เฟิงกลับไปที่เรือนพักของตนเพียงลำพัง บนลานกว้างของเรือนสี่ประสานที่ถูกจัดอย่างสวยงามและละเอียดลออนั้น เด็กหนุ่มได้เสมองไปทางต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งซึ่งมีดอกไม้สีม่วงเหลือบทองกำลังชูช่ออยู่ บนต้นไม้ต้นนั้นยังมีตัวอักษรสลักเอาไว้สองแถว
กระแสลมพัดพาไปที่ใด ใบไม้ย่อมเกาะเกี่ยวพัดพาไปตามกระแสลม
ตุ๊บ!
มู่เฟิงต่อยลงไปบนต้นไม้ต้นนั้นอย่างแรงจนเืไหลออกมาจากกำปั้นของเขา
"ว่านเอ๋อร์..."
แววตาของมู่เฟิงเต็มไปด้วยความเ็ป การให้เด็กหนุ่มละทิ้งคนรักของตน ถือเป็เื่ที่หนักหนาสาหัสสำหรับเขาเป็อย่างมาก เมื่อต้องมาเผชิญหน้ากับเหตุการณ์เช่นนี้มันช่างเป็อะไรที่ชวนให้ปวดใจยิ่งนัก
"อ๊าก…"
มู่เฟิงเงยหน้าขึ้นฟ้าก่อนจะร่ำร้องออกมาด้วยดวงตาแดงก่ำ จากนั้นเด็กหนุ่มก็นั่งขัดสมาธิลงบนพื้น พยายามสงบสติอารมณ์ รักษาสภาพจิตใจของตัวเองให้กลับมาสงบนิ่งอีกครั้ง
“สองปี เวลาสองปี! ข้าไม่เชื่อว่าข้ามู่เฟิงจะกลายเป็เพียงแค่คนไร้ค่า!”
มู่เฟิงพยายามที่จะโคจรพลังตามเคล็ดวิชาเถี่ยเซวี่ยตานซิน ซึ่งเป็เคล็ดวิชาประจำตระกูลอย่างเอาเป็เอาตาย
เคล็ดวิชาเถี่ยเซวี่ยตานซินนี้เป็รูปแบบการฝึกที่สืบทอดต่อกันมาภายในตระกูลมู่ ทั้งยังเป็วิธีการฝึกฝนขั้นสูงของเคล็ดวิชาระดับกลาง
เคล็ดวิชาในการฝึกพลังปราณนั้นแบ่งออกได้เป็ห้าระดับคือ ระดับ์ ระดับโลกา ระดับนิลกาฬ ระดับธาตุทองและระดับมนุษย์ตามลำดับ โดยระดับ์จะเป็ระดับสูงสุด และระดับมนุษย์จะเป็ระดับต่ำสุด ซึ่งระดับมนุษย์นั้นถือได้ว่าเป็ระดับที่ไม่มีการจัดประเภท นอกจากนี้ทุกระดับยังมีการแบ่งขั้นออกอีกเป็สามขั้นคือ ขั้นสูง ขั้นกลางและขั้นต่ำ
เคล็ดวิชาเถี่ยเซวี่ยตานซินเป็เคล็ดวิชาระดับกลางขั้นสูง เมื่อมองจากภายนอกแล้วถือได้ว่าเป็เคล็ดวิชาที่ล้ำค่าและหาได้ยากยิ่ง
ประกายแสงสีขาวของพลังฟ้าดินได้ซึมซับเข้าสู่ร่างกายของมู่เฟิง ก่อนจะพยายามแล่นผ่านเส้นลมปราณที่ถูกทำลายไปแล้วของเขา ในพริบตานั้นความรู้สึกเ็ปราวกับถูกมีดกรีดได้พวยพุ่งไปทั่วร่างของเด็กหนุ่ม
ใบหน้าซีดเซียวของมู่เฟิงแสดงออกถึงความเ็ป หยาดเหงื่อไหลซึมออกมาตามกรอบหน้า เด็กหนุ่มยังคงกัดฟันแน่นพยายามดูดซับพลังฟ้าดินต่อไป พลังฟ้าดินที่พยายามไหลเวียนไปตามเส้นลมปราณที่ถูกทำลายนั้นไม่อาจกลั่นออกมาเป็พลังปราณได้ และเพียงชั่วพริบตาพลังเ่าั้ก็พลันสลายหายไป
ดุจดังท่อน้ำที่กำลังแตก ในเมื่อท่อน้ำนั้นได้แตกไปแล้วจะสามารถบรรจุน้ำเข้าไปได้อย่างไร
อึก...!
ฉับพลันนั้นพลังก็เกิดการย้อนกลับ ทำให้มู่เฟิงกระอักเืออกมา
“ข้าไม่เชื่อ ไม่จริง เอาใหม่ ต้องลองใหม่อีกครั้ง!”
มู่เฟิงร่ำร้อง ก่อนจะเริ่มโคจรพลังใหม่อีกครั้ง แต่คราวนี้ผลลัพธ์ก็ยังคงเหมือนเดิม ทำให้เด็กหนุ่มกระอักเืออกมา
หลังจากกระอักเือย่างต่อเนื่อง ร่างกายที่อ่อนแอของมู่เฟิงก็ล้มพับลงไปในที่สุด ส่งผลให้เขาหลับใหลไม่ได้สติ
ในขณะนั้นเอง จี้หยกรูปหัวใจของเด็กหนุ่มก็พลันเกิดปฏิกิริยาบางอย่าง พลังสีแดงโรหิตได้พุ่งออกมาจากตัวจี้หยกและแทรกซึมเข้าสู่ร่างกาย โดยหลั่งไหลไปตามเส้นลมปราณที่ถูกทำลายไปแล้วของเขา
ทันใดนั้น เส้นลมปราณของมู่เฟิงก็พลันได้รับการเยียวยาจากพลังที่ไหลเวียนเข้ามาในร่าง คล้ายกับว่ามันกำลังถูกฟื้นฟูให้กลับมาอีกครั้ง ยิ่งไปกว่านั้นดูเหมือนว่าเส้นลมปราณที่กำลังฟื้นคืนกลับมานี้จะขยายกว้างและมีความแข็งแรงมากกว่าเส้นลมปราณทั่วไปหลายเท่า!
่ที่มู่เฟิงยังคงหลับใหลไม่ได้สตินั้น เขาพลันได้ยินเสียงคำรามเสียงหนึ่งดังขึ้นภายในใจ พร้อมกับข้อมูลบางส่วนที่หลั่งไหลเข้ามาในห้วงความคิดของเขา
"ทำลายสิ่งที่มีอยู่เพื่อสร้างสิ่งใหม่ หลอมรวมโลหิตเพื่อขัดเกลาจิติญญา เคล็ดวิชาชูร่าแห่งา!"
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้