ทันทีที่สิ้นเสียง เฉินเจ๋อิก็ทำหน้าครึ้มขึ้นมาทันใด
“เ้าแก่ เ้ารนหาที่ตายหรือ? เ้ารู้หรือไม่ล่วงเกินตระกูลเฉินของข้า ต้องจ่ายด้วยอะไร?”
สำหรับการข่มขู่ของเฉินเจ๋อิ หลิงชางไห่มิได้หวาดกลัวเลย
“อย่าว่าแต่เ้า กระทั่งตาเฒ่าเฉินเยี่ยนก็ไม่กล้าเหิมเกริมกับข้าเช่นนี้!” หลิงชางไห่หันกลับไปมองเฉินเจ๋อิอย่างไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย
อีกฝ่ายกัดฟันกรอดมองหลิงชางไห่ แม้ในใจจะโกรธแค้นแต่กลับไม่กล้าพูดมากอีก คนผู้นี้รู้จักชื่อเสียงเรียงนามของท่านพ่อ กระทั่งไม่มีแม้ท่าทีเคารพในน้ำเสียง คนทั่วไปรู้กันดีกว่านายท่านเฉินคือขุนนางใหญ่แห่งราชสำนัก แล้วยังเป็ผู้คุมสอบเคอจวี่ที่จัดขึ้นทุกสามปี เห็นได้ว่าสถานะในเมืองหลวงนับว่าไม่ธรรมดา
ดังนั้น สำหรับหมอหลิงที่ไม่ได้เห็นบิดาของตนอยู่ในสายตา เฉินเจ๋อิจึงเลือกที่จะอดกลั้นและรอดู
ซุนโหย่วเต้าเองคิดไม่ถึงว่าเฉินเจ๋อิที่เ้าคิดเ้าแค้นจะยอมอดกลั้นอารมณ์นี้ไว้ได้ ในใจของเขาเกิดความสงสัยในตัวตนของหลิงชางไห่อีกครั้ง
“หมอหลิง คนเหล่านี้ไม่รู้สถานะหมอของท่าน ไม่ทราบว่าท่านพอจะพิสูจน์ตัวตนสักหน่อยได้หรือไม่?” ซุนโหย่วเต้าพูดเช่นนี้ก็เพราะว่า หมอที่ได้รับการยอมรับต้องมีป้ายประจำตัวที่ใช้ยืนยันตัวได้
ป้ายนี้ถูกเรียกว่า ‘ป้ายชื่อซิ่งถาน’ บนป้ายจะแกะสลักชื่อแซ่ของเ้าตัว รวมถึงแขนงการรักษาของแพทย์ แน่นอนว่าป้ายที่คุณภาพต่างกันแสดงถึงระดับและสถานะที่ต่างกัน
ข้อเสนอของซุนโหย่วเต้าได้รับการยอมรับจากทุกคน แต่สายตาที่หลิงชางไห่มองเขากลับซับซ้อนมากนัก
เดิมทีเขาที่เกษียณและคืนสู่ถิ่นฐานบ้านเกิด ก็เพื่ออยากใช้ชีวิตสงบสุขสบายใจ แต่หากนำป้ายนี้ออกมา เกรงว่าคงไม่สงบอีกต่อไป นับั้แ่แรกซุนโหย่วเต้าก็ใช้กลยุทธ์ทดสอบตัวตนของตนเอง เกรงว่าวันนี้คงสมปรารถนาของเขาแล้ว
“ในเมื่อหมอหลิงคือหมอ เดาว่าคงมีป้ายชื่อซิ่งถาน ไม่ทราบว่าพอจะนำออกมาให้ดูได้หรือไม่?” หยางหนิงรู้ว่าท่านหมอหลิงผู้นี้สนิทชิดเชื้อกับครอบครัวสกุลลั่ว หลายครั้งที่เกิดเื่กับสกุลลั่ว ก็ต้องมีเงาของเขาอยู่ด้วย
หลิงชางไห่ยังลังเลเล็กน้อย แต่เฉินเจ๋อิกลับเข้าใจว่าเขาคือหมอปลอม จึงโบกพัดและรอดูหลิงชางไห่เผยความโง่เขลา
“คนบางคน ไม่มีปัญหาก็อย่าเที่ยวทำตัวเด่น อายุปูนนี้แล้วยังกล้าริอ่านทำตัวเป็บุรุษขี่ม้าขาวช่วยโฉมงาม”
เฉินเจ๋อิพูดลอยๆ ก่อนที่พวกสุนัขเลียขาเ้านายที่อยู่ด้านข้างจะรีบเสริม
“มิใช่ทุกคนที่หลักแหลมเหมือนกับคุณชายน้อย คนผู้นี้ไม่รู้ว่ายัดเงินให้คนรอบข้างเท่าใดเพื่ออวดอ้างตนเป็หมอ”
“ไม่เป็ไร รอดูสิว่าคนผู้นี้จะขายขี้หน้าอย่างไรต่อไป!”
คำพูดของเฉินเจ๋อิสร้างเสียงฮือฮาให้กับชาวบ้าน คนทั้งหมดโห่ร้องให้หลิงชางไห่นำป้ายชื่อซิ่งถานออกมา
มองดูท่าทางเจนจัดของพวกเขาที่มั่นอกมั่นใจว่าตนไม่มีป้าย ความโกรธสุมอยู่ในอกของหลิงชางไห่ เขากุมหน้าอกและส่งเสียงถอนหายใจ จากนั้นคร่ำครวญ
“ช่างเถอะ ช่างเถอะ สมกับคำที่ว่า คนคำนวณหรือจะสู้ฟ้าลิขิต!”
ขณะพูด เขาก็ล้วงป้ายหนึ่งอันออกจากแขนเสื้อและยื่นใส่มือซุนโหย่วเต้า “ในเมื่อพวกเ้าอยากดู เช่นนั้นก็ดูเถอะ”
ซุนโหย่วเต้ารู้สึกถึงน้ำหนักในมือ ป้ายนี้ถึงขั้นทำจากหยก ลำพังตำแหน่งของผู้ที่สามารถใช้ของวัสดุนี้ได้ จำต้องเป็ระดับหัวหน้า เมื่อพลิกกลับมาดูเท่านั้น เขาเกือบทำป้ายหยกชิ้นนี้หล่นลงกับพื้น
เห็นเพียงซุนโหย่วเต้าคุกเข่ากับพื้นเสียงดังตุบ “ข้าน้อยมีตาหามีแววไม่ ขอคำนับใต้เท้าหัวหน้าโรงแพทย์หลวง!”
ความกลับตาลปัตรนี้ทำให้ชาวบ้านไม่กระจ่าง หยางหนิงรีบเดินลงจากศาลแล้วมาดูป้าย
‘หลิงชางไห่ หัวหน้าโรงแพทย์หลวง’
หัวหน้าโรงแพทย์หลวงนั่นคือขุนนางขั้นเอกระดับสอง เทียบกับตนเองที่เป็ขุนนางเล็กจ้อยระดับเจ็ด ไม่รู้ว่าสูงศักดิ์กว่าตั้งเท่าใด
ฉับพลัน หยางหนิงสะบัดชายเสื้อและคุกเข่า “ผู้น้อยนายอำเภอเฉา หยางหนิง ขอคำนับใต้เท้าหัวหน้าโรงแพทย์หลวง!”
ชาวบ้านนั้นไม่รู้ว่าหัวหน้าโรงแพทย์หลวงคือระดับอะไร แต่เมื่อเห็นนายอำเภอคุกเข่าก็รีบพากันคุกเข่าและส่งเสียงทักทายตาม “คำนับใต้เท้าหัวหน้าโรงแพทย์หลวง!”
เฉินเจ๋อิได้ยินคำว่าใต้เท้าหัวหน้าโรงแพทย์หลวง อดไม่ได้ที่จะเซไปสองก้าว!
ที่แท้ก็เป็หลิงชางไห่ เ้าเฒ่าไม่ตายดี! ตอนนั้นเคยช่วยชีวิตของตนไว้หนึ่งหนและทำท่าวางมาด ตอนนี้ยังมาทำแผนการของตนเสียเื่!
เมื่อรู้ว่าเื่ราวไม่อาจดำเนินต่อได้ เขาจึงกัดฟันกรอดและเค้นคำพูดออกมา “ไป!”จากนั้นรีบอาศัยจังหวะที่ทุกคนคุกเข่า พาลูกน้องรีบออกจากศาลาว่าการ
เมื่อตัวตนของหลิงชางไห่ถูกเปิดเผย คำพูดของเขาย่อมมีน้ำหนักอย่างมาก
“เื่โรคภูมิแพ้ที่นางลั่วกล่าวมา ข้าเองก็เคยได้พบเจอไม่กี่ครั้ง เพียงแต่ยังต้องชันสูตรศพผู้ตายก่อน”
หลิงชางไห่ตรวจสอบสภาพของผู้ตายทันที จากนั้นหยิบผ้าเช็ดที่นางเว่ยมอบขึ้นมาดม
ผ่านไปชั่วครู่ เขาเอ่ย “หากข้าคาดเดาไว้ไม่ผิด ผู้ตายได้มีอาการภูมิแพ้มาั้แ่ครึ่งเดือนที่แล้ว เพียงแต่ว่าปริมาณค่อนข้างน้อย ดังนั้นจึงไม่เคยก่อให้ถึงขั้นหมดสติ ส่วนสารหนูในชานมแก้วนี้บังเอิญเร่งอาการแพ้ของผู้ตายให้รุนแรงขึ้น ส่งผลให้ผู้ตายที่ยังไม่ทันได้ตายเพราะยาพิษก็ตายเพราะอาการภูมิแพ้เสียก่อน”
หลิงชางไห่หยิบผ้าเช็ดหน้าและชูขึ้น แล้วมองไปทางนางเว่ย “ทุกๆ ฤดูใบไม้ผลิกับใบไม้ร่วง ผู้ตายมักจะไม่สบายหลายวันใช่หรือไม่ อีกทั้งค่อนข้างชิงชังเครื่องประทินโฉมและถุงหอมของสตรีอย่างยิ่ง?”
นางเว่ยพยักหน้าต่อเนื่อง “สามีของข้ายามปกติไม่ชอบให้ข้าแต่งตัว ทุกครั้งที่ดอกไม้บาน ก็มักจะขลุกอยู่ในบ้าน ชอบบอกว่าพอออกไปข้างนอก มักจะรู้สึกไม่สบายจมูก”
“เช่นนี้ก็ถูกต้องแล้ว! เว่ยอี้แพ้เกสรดอกไม้ ส่วนกลิ่นหอมของดอกไม้บนผ้าเช็ดหน้าค่อนข้างรุนแรง จากที่นางเว่ยกล่าวก่อนหน้านี้ เว่ยอี้พกของสิ่งนี้ติดตัวทุกวัน อาการแพ้ถึงได้ไม่หายสักที”
ด้วยการอธิบายของหลิงชางไห่ ทุกคนจึงเข้าใจสักทีว่าเกิดอะไรขึ้น
“แล้วแก้วดินเผาของสกุลลั่ว เหตุใดจึงมีร่องรอยยาพิษ?”
นางเว่ยยังคงกัดลั่วชีเหนียงไม่ปล่อย แม้ว่านางจะรู้แก่ใจว่าคนที่เกี่ยวพันกับเว่ยอี้จะเป็ผู้อื่น แต่นางก็อดไม่ได้ที่จะถามอีก คิดไม่ถึงว่าจะปล่อยให้ลั่วชีเหนียงหลุดพ้นไปง่ายดายเช่นนี้
“เรียนถามใต้เท้า แต่แก้วนั่นมียาพิษ แล้วยังเป็ใบที่สามีข้าน้อยใช้ด้วยนะเ้าคะ?”
ชีเหนียงรู้ว่าตนคงไม่อาจหลุดพ้นความเกี่ยวข้องกับยาพิษในข้าวของของตน ในเมื่อชี้แจงไม่ได้ เช่นนี้นางก็จะเปิดเผยเอง เพื่อเลี่ยงไม่ให้คนคิดว่านางจงใจปกปิด ในเมื่อนางไม่ได้ทำผิด ย่อมไม่มีสิ่งใดต้องละอายใจ!
หยางหนิงมองซุนโหย่วเต้าแวบหนึ่ง อีกฝ่ายตอบกลับ “จากการตรวจสอบข้าวของเครื่องใช้ร้านสกุลลั่วแล้ว ไม่พบร่องรอยยาพิษ”
“นอกจากใบที่ผู้ตายใช้ที่มีปัญหา อย่างอื่นไม่มีปัญหาหรือ?” หยางหนิงย้ำชัดอีกรอบ หลังจากได้คำตอบที่แน่ชัด จึงอุทานอย่างรู้สึกทึ่ง
“หรือว่ามีคนอยากวางยาพิษเว่ยอี้?” จู่ๆ หยางหนิงก็นึกอะไรขึ้นได้ แล้วถามลั่วชีเหนียง“ตอนนั้นข้างกายเว่ยอี้มีผู้ใดอยู่ด้วยหรือไม่?”
ตอนนั้นชีเหนียงมัวแต่ห่วงการค้าขาย จึงไม่ได้สังเกตสิ่งเหล่านี้ด้วยซ้ำ
“ข้างกายเขามีสตรีนางหนึ่ง เดิมทีเขาซื้อชานมให้สตรีผู้นั้น ใครจะรู้ว่านางเพียงถือแค่ครู่เดียวก็โยนคืนให้ผู้ตาย อ้างว่าหวานเลี่ยน นางไม่ชอบ”
จ้าวจือชิงที่อยู่ด้านหลังลั่วชีเหนียงมาตลอด จู่ๆ ก็ส่งเสียงทันใด
ลั่วชีเหนียงมัวแต่ดูร้านค้า แต่เขาไม่ใช่ เขาคุ้นชินกับการสังเกตทุกสถานที่และทุกเื่ราวให้กระจ่างชัด และความเคยชินนี้เอง ทำให้เขาจดจำทุกเื่ราวและผู้คนที่พบเห็นไว้ในใจ
ด้วยเหตุนี้ พอหยางหนิงถามขึ้นมา เขาจึงโพล่งออกมาได้อย่างไม่เสแสร้ง “บนตัวสตรีผู้นั้นมีกลิ่นเดียวกับผ้าเช็ดหน้า วันนั้นนางสวมชุดที่ปักด้วยลวดลายผีเสื้อแบบเดียวกันกับผ้าเช็ดหน้าผืนนั้น”
-----