ราตรีกาลค่อยๆ ผ่านไป รุ่งอรุณกำลังมาเยือน แต่หัวใจของทุกคนที่ด้านนอกวังใต้ดินต่างหนักอึ้ง
ใครเป็คนฆ่าจั่วเชียนสวิน จางเหรินจวิ้น เคอเจิ้งหยาง และเฮ่อหยวนขุย?
สามในสี่เป็ถึงยอดฝีมือขอบเขตเปลี่ยนผ่าน อีกทั้งระดับของพวกเขาก็ไม่ต่ำเลย
มีคนเพียงไม่กี่คนที่สามารถฆ่าพวกเขาได้ในพริบตา และสามคนที่น่าสงสัยมากที่สุดคืออู๋เยวี่ยฮุย เจียงซั่งอี และลี่ไห่ซิง
แต่พวกเขาล้วนปฏิเสธ แต่ละคนต่างมีคำอธิบายของตนเอง ซึ่งเื่นี้ทำให้คนอื่นๆ ต้องระมัดระวังมากขึ้น
หนิงเทียนจ้องมองชิวซานอวิ๋น ก่อนจะหันหลังจากไป
ในเวลารุ่งสาง ความมืดจางหายไป ไม่มีการฆาตกรรมเกิดขึ้นอีก และไม่มีใครเข้าไปในวังใต้ดินอีกเลย
หนิงเทียนมองจุดที่ทำสัญลักษณ์ไว้บนแผนที่ซึ่งเป็ที่ตั้งของซากปรักหักพัง มันส่องแสงสีฟ้า ซึ่งไม่แรงมาก แต่ก็แตกต่างจากจุดที่ทำสัญลักษณ์อื่นๆ ซึ่งสิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงปัญหา
ชิวอีเซี่ยนยืนเคียงข้างและขมวดคิ้ว “หลังจากรอมาทั้งคืน มีคนตายสี่คน แต่เราไม่รู้ว่าใครเป็ฆาตกร โชคร้ายอะไรเช่นนี้”
อูเหรินเจี๋ยกล่าวว่า “มีบางอย่างที่แปลกมากเกี่ยวกับเื่นี้ หลังจากนี้เราจะออกจากที่นี่และอยู่ให้ห่างที่นี่เอาไว้”
หยางวั่นอวิ๋นกล่าวว่า “ระวังด้วย คนอื่นๆ กำลังมาแล้ว”
อวี้ชุนเสวี่ยเป็คนแรกที่มา ดวงตาของนางกวาดมองพวกเขาทั้งสี่คน ก่อนจะหยุดที่หนิงเทียนแล้วพูดอย่างสง่างาม “ทุกคนดูแลตัวเองด้วย ข้าขอตัวก่อน แล้วพบกันใหม่”
หนิงเทียนพยักหน้าโดยไม่พูดอะไร แต่ชิวอีเซี่ยนกลับโบกมือแล้วพูดว่า “คนงาม แล้วพบกันใหม่”
เหมยฉินเสวี่ยมองแผ่นหลังที่เริ่มไกลออกไปของอวี้ชุนเสวี่ย แล้วพูดด้วยน้ำเสียงไม่เฉยเมย “ลาก่อน”
ความเ็าและห่างเหิน นี่คือนิสัยของนาง และทิศทางที่ไปก็เหมือนกับอวี้ชุนเสวี่ยทุกประการ
“พวกนางกำลังจะไปเจดีย์โบราณ เราก็ไปกันเถอะ”
ลี่ไห่ซิงพาชิวซานอวิ๋นจากไปด้วยท่าทีดูแคลนอย่างเด่นชัด และเขาไม่คิดทักทายจื๋อซิวทั้งสี่เลย
“อะไรเนี่ย”
ชิวอีเซี่ยนลอบสบถ แต่หนิงเทียนกลับมองตามแผ่นหลังของชิวซานอวิ๋น และคิดว่าจะหาโอกาสส่งเขาลงนรกในครั้งต่อไป
เจียงซั่งอีและอู๋เยวี่ยฮุยเหลือบมองหนิงเทียนก่อนจะออกจากสถานที่นี่ไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ
“ไปกันหมดแล้ว หรือเราจะอยู่ต่ออีกนิดแล้วค่อนตามไปทีหลังดี?”
ดวงตาของชิวอีเซี่ยนเป็ประกาย เขาคิดกลยุทธ์ที่เขาคิดว่ายอดเยี่ยมขึ้นมา
“ไปเถอะเ้าโง่ สายเกินไปแล้ว ต่อให้เ้าพูดจนน้ำลายฟูมปากก็ไม่ชัดเจนขึ้นมาหรอก”
หนิงเทียนตัดสินใจอย่างเด็ดขาด เขาตามทันเจียงซั่งอีและอู๋เยวี่ยฮุยอย่างรวดเร็ว และพบว่าทุกคนกำลังมุ่งตรงไปยังเจดีย์โบราณ
อูเหรินเจี๋ย หยางวั่นอวิ๋น และชิวอีเซี่ยนไล่ตามหนิงเทียนไปอย่างใกล้ชิด ด้วยกลัวว่าจะมีเื่เลวร้ายเกิดขึ้นกับเขา
ทั้งสิบคนรีบไปในทิศทางเดียวกัน แต่ต่างคนต่างก็ทำหน้าที่ของตัวเอง และแยกจากกันอย่างเด่นชัด
ชิวอีเซี่ยนคว้าแขนหนิงเทียนแล้วถามอย่างงุนงง “ทำไมเราถึงต้องไป?”
“ถ้าไม่ไป เ้าจะถูกสงสัยว่าเป็ฆาตกรไม่ใช่หรือ? ทำไมทุกคนถึงออกไปตอนรุ่งสางเล่า? จุดประสงค์ก็เพื่อคลายความสงสัยนั่นเอง”
“มันน่าสงสัยอะไรขนาดนั้น ข้าไม่ใช่คนที่ฆ่าคนเสียหน่อย”
ชิวอีเซี่ยนคิดว่ามันไร้สาระ แต่หยางวั่นอวิ๋นและอูเหรินเจี๋ยต่างเห็นด้วยกับหนิงเทียน และพวกเขาควรอยู่ห่างจากสถานที่บ้าๆ นั่น
การข้ามูเาและสันเขามีอันตรายที่ไม่อาจคาดการณ์ได้ ทั้งสี่คนร่วมมือกัน หากเผชิญกับอันตรายก็หลีกเลี่ยง พบเจอฤกษ์งามยามดีก็ก้าวไปข้างหน้า
เมื่อใกล้เที่ยง หยางวั่นอวิ๋นจึงกล่าวว่า “เนินเขาด้านหน้ามีทิวทัศน์กว้างขวาง ไปพักตรงนั้นกันเถอะ”
หนิงเทียนนอนอยู่บนพื้นหญ้า มองดูท้องฟ้าสีเทาด้วยสีหน้าเป็กังวล
ชิวอีเซี่ยนนอนอยู่ข้างๆ หนิงเทียนและถามว่า “หนิงเทียนเ้าคิดว่าใครคือฆาตกร?”
อูเหรินเจี๋ยกล่าวว่า “มีผู้ต้องสงสัยเพียงสามคนเท่านั้น”
หยางวั่นอวิ๋นกล่าวว่า “มีคนไม่มากที่สามารถฆ่าจั่วเชียนสวิน เฮ่อหยวนขุย และเคอเจิ้งหยางได้ แต่เป็การยากที่จะตัดสินว่าใครในสามคนนั้นเป็คนทำ”
หนิงเทียนถอนสายตาหันมามองอูเหรินเจี๋ยและหยางวั่นอวิ๋น ก่อนจะพูดเบาๆ ว่า “ศิษย์พี่ทั้งสองเดาผิดแล้ว”
“ผิดหรือ? เป็ไปได้อย่างไร?”
หยางวั่นอวิ๋นและอูเหรินเจี๋ยต่างตกตะลึง ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความสงสัย
“ฆาตกรไม่ใช่อู๋เยวี่ยฮุย เจียงซั่งอี หรือลี่ไห่ซิง”
ชิวอีเซี่ยนพูดอย่างตื่นเต้น “เป็ใคร บอกข้ามาเร็ว”
หนิงเทียนขมวดคิ้วเล็กน้อยและพูดอย่างลังเล “พิษร้ายสุดคือจิตใจสตรี[1]”
“เป็ไปไม่ได้!”
อูเหรินเจี๋ยส่ายหัวอย่างไม่เชื่อในทันที
หยางวั่นอวิ๋นทั้งใและประหลาดใจ ในขณะที่ชิวอีเซี่ยนถามอย่างประหลาดใจว่า “เ้าหมายถึง เหมยฉินเสวี่ยเป็ฆาตกรหรือ นั่นไม่ถูกต้อง นางอยู่กับเราในยามที่เคอเจิ้งหยางตาย”
หนิงเทียนส่ายหัวแล้วพูดว่า “ไม่ใช่เหมยฉินเสวี่ย”
“อ๊ะ!”
ทันใดนั้นชิวอีเซี่ยนก็ลุกขึ้นนั่ง แล้วมองหนิงเทียนด้วยความไม่เชื่อ
“เ้าหมายถึงอวี้ชุนเสวี่ยเป็ฆาตกร!”
“ใช่ อาจเป้นนางที่เป็ฆาตกร หรือไม่ก็เป็กุญแจดอกนั้น”
หยางวั่นอวิ๋นถาม “อวี้ชุนเสวี่ยมีความแข็งแกร่งขนาดนั้นเลยหรือ?”
อูเหรินเจี๋ยพูดอย่างลังเล “หมู่บ้านผาหิมะหยกเป็สำนักชั้นสอง มีปรมาจารย์เหนือเมฆาเป็ผู้ดูแล ข้าไม่ค่อยรู้ภูมิหลังของอวี้ชุนเสวี่ยมากนัก”
ชิวอีเซี่ยนโต้กลับ “นางไม่มีเวลาขนาดนั้น นางบังเอิญออกมาตอนที่เคอเจิ้งหยางตาย และในยามที่เฮ่อหยวนขุยตาย นางก็อยู่กับเจียงซั่งอีที่ทางเข้าวังใต้ดิน นางมีหลักฐานที่เป็ข้อแก้ตัว”
หนิงเทียนกล่าวว่า “นางมีเวลา เพียงแต่ว่าข้าไม่เคยเข้าใจเลยว่าทำไมนางถึง้าฆ่าคน บางทีมันอาจจะเกี่ยวข้องกับกุญแจแหวนนั่นก็เป็ได้”
อูเหรินเจี๋ย หยางวั่นอวิ๋น และชิวอีเซี่ยนต่างก็สับสน อวี้ชุนเสวี่ยจะมีเวลาก่ออาชญากรรมได้อย่างไร?
เมื่อคืนจั่วเชียนสวินและจางเหรินจวิ้นเสียชีวิตในยามที่ไม่มีใครอยู่ ดังนั้นจึงเป็การยากที่จะบอกว่าใครเป็ฆาตกร
แต่ในยามที่เฮ่อหยวนขุยและเคอเจิ้งหยางเสียชีวิต อวี้ชุนเสวี่ยล้วนมีหลักฐานที่แน่ชัดเป็ข้อแก้ตัว ทำไมหนิงเทียนถึงยังระบุตัวนางได้?
“ศิษย์น้องหนิง เ้าบอกว่านางมีเวลา เ้าหมายความว่าอย่างไร?”
หนิงเทียนกล่าวว่า “ประการแรก เมื่อครั้งที่เฮ่อหยวนขุยตาย บังเอิญเกิดขึ้นในยามที่อวี้ชุนเสวี่ยกับเจียงซั่งอีเข้ามารับ่ต่อ ทั้งสองพูดคุยกันสองสามคำนอกประตู ก่อนเฮ่อหยวนขุยที่อยู่ข้างในก็ตายกะทันหัน ก่อนที่เจียงซั่งอีจะมาเปลี่ยนกะ คนที่เข้าใกล้เฮ่อหยวนขุยมากที่สุดคืออวี้ชุนเสวี่ย ประการที่สอง การตายของเคอเจิ้งหยางก็อยู่ในสถานการณ์ที่คล้ายกัน มันเกิดขึ้นในยามที่อวี้ชุนเสวี่ยจากไป จากนั้นเคอเจิ้งหยางก็ประสบโชคร้าย”
ชิวอีเซี่ยนไม่เห็นด้วยกับคำพูดของหนิงเทียน
“แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ใกล้กันมากที่สุด อวี้ชุนเสวี่ยก็ยังมีหลักฐานที่เป็ข้อแก้ตัว”
หนิงเทียนหัวเราะเยาะ “หลักฐานคืออะไร? เราแค่ได้ยินเสียงกรีดร้องก็วิ่งไป เ้าแน่ใจหรือว่าเสียงกรีดร้องนั้นมาจากตัวผู้ตายเองจริงๆ ไม่ได้เกิดจากการปลอมแปลงโดยฆาตกร? ในยามที่เคอเจิ้งหยางตาย ลี่ไห่ซิงยังมาไม่ถึง แต่อวี้ชุนเสวี่ยกลับออกมาก่อน จุดประสงค์ก็เพื่อให้เราเห็นว่านางมีหลักฐานเป็ข้อแก้ตัว”
ชิวอีเซี่ยนกล่าวว่า “แม้ว่าสิ่งที่เ้าพูดจะสมเหตุสมผล แต่จะจัดการกับเวลาที่ต่างกันอย่างไร นางจะฆ่าคนที่อยู่ข้างในได้อย่างไรในเมื่อนางออกมาแล้ว”
“เรากำหนดชีวิตหรือความตายของคนจากการวัดเวลาด้วยการกรีดร้อง หากเคอเจิ้งหยางตายก่อนที่อวี้ชุนเสวี่ยจะออกมา แต่เสียงกรีดร้องกลับเกิดขึ้นหลังจากนั้น สิ่งนี้ไม่สามารถอธิบายความแตกต่างของเวลาได้หรือ? ในทางตรงกันข้าม เช่นเดียวกับเฮ่อหยวนขุย เจียงซั่งอีกำลังไปเปลี่ยนกะ ยามนั้นอวี้ชุนเสวี่ยกลับมาคุยกับเขาที่ประตู เจียงซั่งอีเข้ามาในเวลานั้นหรือไม่ เื่นี้ไม่มีใครถาม หลังจากนั้นเฮ่อหยวนขุยก็กรีดร้อง แม้กระทั่งเจียงซั่งอีก็ไม่นึกสงสัยอวี้ชุนเสวี่ย นั่นเพราะเขาเชื่อสายตาของตนมากกว่า”
หยางวั่นอวิ๋นถาม “เราจะชะลอเสียงได้อย่างไร? อีกอย่างเสียงนั้นสมจริงมากจนสามารถหลอกเราทุกคนได้เลยหรือ?”
หนิงเทียนกล่าวว่า “ระดับของข้ายังไม่เพียงพอ ข้าจึงไม่รู้ว่านางทำทั้งหมดนี้ได้อย่างไร ไม่แน่ว่านางอาจเชี่ยวชาญทักษะร่างแยกก็เป็ได้”
อูเหรินเจี๋ยขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “หากฆาตกรสามารถจำกัดเวลาและสถานที่ในยามสังหารเฮ่อหยวนขุยและเคอเจิ้งหยางให้ปิดเสียงกรีดร้องของผู้ตายไว้ในพื้นที่เล็กๆ รอให้ผู้ตายตายไปก่อน จากนั้นจึงแอบเจาะพื้นที่อย่างชาญฉลาด สิ่งนี้สามารถสร้างภาพลวงตาเื่เสียงล่าช้าได้ ซึ่งเป็การบังตาเราไว้เช่นกัน”
ชิวอีเซี่ยนถามว่า “อวี้ชุนเสวี่ยเป็หยวนซิว นางจะเชี่ยวชาญวิธีเช่นนี้ได้จริงหรือ?”
อูเหรินเจี๋ยครุ่นคิด “ทักษะควบแน่นน้ำแข็งของหมู่บ้านผาหิมะหยก กล่าวกันว่ามีมนต์ขลังมาก และเมื่อพิจารณาจากการวิเคราะห์ของหนิงเทียน ทั้งเฮ่อหยวนขุยและเคอเจิ้งหยางต่างถูกสังหารขณะปฏิบัติหน้าที่ร่วมกับอวี้ชุนเสวี่ย นางช่างน่าสงสัยมากจริงๆ”
หยางวั่นอวิ๋นพยักหน้าและกล่าวว่า “แม้คำพูดของศิษย์น้องหนิงจะไม่น่าเชื่อ แต่ก็สมเหตุสมผล แต่ทำไมอวี้ชุนเสวี่ยถึงฆ่าคน และทำไมนางถึงจากไปในตอนเช้า?”
หนิงเทียนกล่าวว่า “นางเป็คนแรกที่จากไปก็เพื่อหลีกเลี่ยงความสงสัย แต่นางจะวกกลับไปอย่างเงียบๆ และเข้าไปในวังใต้ดิน สำหรับจุดประสงค์ในการฆ่าของนาง ข้ายังไม่สามารถหาคำอธิบายที่สมเหตุสมผลได้”
ชิวอีเซี่ยนกล่าวอย่างเสียใจ “เป็เื่น่าเสียใจจริงๆ ที่สตรีผู้งดงามสามารถโหดร้ายและชั่วร้ายได้ขนาดนี้”
“นี่คือการคัดเลือกโดยธรรมชาติ ดังนั้นอย่าประมาทสตรี”
หนิงเทียนเต็มไปด้วยอารมณ์ สำหรับเขาซูอวิ๋นเป็ตัวอย่างที่ยังมีชีวิต
“ไปตามทางของเราเถอะ”
ทั้งสี่คนเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว และพบอันตรายมากมายตลอดทาง โชคดีที่ทุกสิ่งอยู่ที่ใจของหนิงเทียนสามารถมองเห็นโอกาส แสวงหาโชค และหลีกเลี่ยงภัยพิบัติได้ ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงที่ตั้งของเจดีย์โบราณก่อนฟ้ามืด
มีเมืองใหญ่สูงตระหง่านอยู่ที่นั่น ที่นี่ใหญ่โตมโหฬาร ทั้งยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ แตกต่างจากซากปรักหักพังและปราสาทที่ทรุดโทรมก่อนหน้านี้
เจดีย์ในเมืองใหญ่แห่งนี้ แม้ในเวลากลางวันแสกๆ ก็ยังมีแสงที่เปล่งกลิ่นอายจางๆ ชั้นแสงที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าปกคลุมทั่วทั้งเมือง
เจดีย์แห่งนี้มีความสูงประมาณร้อยจั้ง มันตั้งอยู่ใจกลางเมืองใหญ่ เปรียบเสมือนแผ่นศิลาที่ทำให้โลกตะลึง
เมื่อหนิงเทียนมาถึง ความรู้สึกแปลกๆ ก็เกิดขึ้นในใจของเขา ราวกับมีเสียงเรียกเขาจากภายในเจดีย์
ชิวอีเซี่ยน หยางวั่นอวิ๋น และอูเหรินเจี๋ยต่างก็รู้สึกเช่นกัน เจดีย์นี้ดึงดูดคนด้วยมนต์เสน่ห์แสนร้ายแรง ทำให้ทุกคนอยากรีบเข้าไปโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของตนเอง
ที่ประตูเมืองสูง มีรูปปั้นหินสองร่างยืนตระหง่าน
บนยอดหอคอยของเมืองมีทหารยืนเคียงข้าง ทุกคนสวมชุดเกราะและถือหอกยาว
“ไอ้บ้าเอ๊ย ที่นี่ยังมีผู้พิทักษ์เมืองด้วย!!”
ชิวอีเซี่ยนอุทาน ขณะที่อูเหรินเจี๋ยพร่ำบ่น “ร้องอะไรของเ้า ดูให้ดี คนเหล่านี้คือคนโบราณที่ตายไปนานแล้ว”
“คนตายหรือ? บ้าจริง ข้าใหมดเลย”
ชิวอีเซี่ยนตบหน้าอก ก่อนจะตามหนิงเทียนจนมาถึงประตูเมือง
ร่างหินทั้งสองนั้นดูราวกับมีชีวิต ในมือถืออาวุธ ยืนอยู่ที่นั่นราวกับอารักษ์เฝ้าประตู
ชิวอีเซี่ยนหันกลับมาและหลบเลี่ยง ในใจอยากจะรีบเข้าไปก่อน แต่เขาถูกหนิงเทียนจับตัวไว้
“อย่ารีบ ดูรอยเท้าบนพื้นนี่ก่อน”
อูเหรินเจี๋ยและหยางวั่นอวิ๋นต่างก็มาที่ด้านหลังของหนิงเทียน พวกเขาก้มศีรษะลงและมองเข้าไปใกล้ๆ แน่นอนว่าพวกเขาพบรอยเท้ายุ่งเหยิงมากมาย
ชิวอีเซี่ยนถามด้วยความสับสน “มีรอยเท้ามากมาย เ้าเห็นเบาะแสอะไรบ้าง?”
หนิงเทียนกล่าวว่า “รอยเท้าเหล่านี้ส่วนใหญ่หันเข้าด้านใน แต่ก็มีรอยเท้าที่หันออกด้านนอกด้วย แสดงว่าเคยมีคนออกจากที่นี่และมุ่งหน้าไปยังซากปรักหักพังหรือไม่ก็ทิศทางของปราสาท”
อูเหรินเจี๋ยถามว่า “คนแบบไหนที่จะทิ้งโอกาสที่นี่โดยไม่ฉกฉวยไป ทิ้งสิ่งที่อยู่ใกล้ไปหาสิ่งที่อยู่ไกลเช่นนั้นหรือ?”
หนิงเทียนยิ้มและพูดว่า “บางทีเมืองนี้อาจจะเกี่ยวกับโชคชะตาเช่นกัน และไม่ใช่ทุกคนที่ถูกกำหนดให้เข้าไปได้”
หนิงเทียนก้าวไปข้างหน้า และเดินไปที่ประตูเมือง
ในเวลานี้กลับมีเสียงทะลุผ่านอากาศ ปรากฏว่าเป็อู๋เยวี่ยฮุย เหมยฉินเสวี่ย เจียงซั่งอี ลี่ไห่ซิง และชิวซานอวิ๋นที่มาถึงที่นี่แล้วเช่นกัน
---------------------------------------
[1] พิษร้ายสุดคือจิตใจสตรี (最毒妇人心) แปลว่าจิตใจที่ชั่วร้ายของผู้หญิงนั้นยากจะรับมือ มาจากบทกลอนในนิยายเื่ 《封神演义》ที่กล่าวไว้ว่า พิษงูเขียวไผ่ พิษเหล็กในต่อไม่นับว่าร้ายแรงเท่าไร พิษร้ายสุดคือจิตใจของสตรี
