“ไม่มีผู้ใดเป็ผู้บงการ ทั้งหมดนี้ข้าเองก็ไม่ทราบเื่เช่นกัน! ไม่เช่นนั้นข้าจะยังอยู่ในจวนเ้าเมืองวันสิ้นโลกได้อย่างไร” ในใจจู้เชียนชิวขุ่นข้องหงุดหงิดยิ่งนัก หากมิใช่จ้านอู๋มิ่งและเหยียนเต้าจื่อในวันนี้ เขาเองก็ยังคงถูกผู้อื่นหลอกลวงในความมืดมาตลอดเช่นกัน
มองเห็นค่ายกลขนาดใหญ่กลางสมรภูมิรบกระดูกขาวตรงหน้า เขาเองก็รู้สึกครั่นคร้ามหวาดกลัวขึ้นมาแล้วเช่นกัน นี่หากว่าเส้นชีพจรพลังจิติญญาสองเส้นใต้จวนเ้าเมืองวันสิ้นโลกเกิดะเิขึ้นมาจริงๆ เวลานี้รวมทั้งตัวเขาเองก็กลายเป็สารหล่อเลี้ยงส่วนหนึ่งภายในค่ายกลอันน่าสะพรึงกลัวนี้แล้ว
“ถ้ากล่าวเช่นนี้ เื่ราวทั้งหมดในวันนี้ล้วนเป็เพียงความประจวบเหมาะและบังเอิญเช่นนั้นหรือ?” บรรพบุรุษผู้เฒ่าสูงสุดแค่นเสียงเ็าเย้ยหยัน
จู้ว่านเหนียนสีหน้าเปลี่ยนเป็มืดทะมึนอย่างยิ่ง เขาทราบว่าเวลานี้ต่อให้มีร้อยปากก็ยากจะอธิบายเช่นกัน เพียงแต่ว่าเขาไม่เข้าใจอย่างยิ่ง ไฉนจ้านอู๋มิ่งจึงทราบว่าไม้ฟืนเปลวเพลิงฟ้านั้นถูกวางไว้ข้างเส้นชีพจรพลังจิติญญาด้านล่างใต้จวนเ้าเมือง? ตลอดจนคุ้นเคยกับจวนเ้าเมืองเช่นนี้? เขารู้สึกได้เลาๆ ว่าการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดในวันนี้ มีส่วนเกี่ยวข้องกับจ้านอู๋มิ่งคนนั้นที่เขาแสนเกลียดชังอย่างหาที่เปรียบมิได้ คิดๆ แล้วพูดขึ้นว่า “ข้า้าทราบว่าจ้านอู๋มิ่งทราบเื่ของไม้ฟืนเปลวเพลิงฟ้ากับเส้นชีพจรพลังจิติญญาของจวนเ้าเมืองพวกเราได้อย่างไร”
“เวลานี้ไม่ใช่มาสืบสาวว่าเขาทราบเื่นี้ได้อย่างไร แต่ไฉนจึงมีเื่ราวเช่นนี้เกิดขึ้น ประเด็นสำคัญคือผู้ใดที่เป็ตัวการวางแผนการนี้ต่างหาก?” สีหน้าเยว่หลิงซานเย็นเยียบลง คนของตระกูลจู้ยัง้าดึงจ้านอู๋มิ่งเข้ามาเกี่ยวข้องอีก นี่ทำให้เขาหงุดหงิดมากยิ่งขึ้นไปอีก
“เื่นี้ก็เป็ความบังเอิญอย่างหนึ่งเช่นกัน ค่ายกลนี้ข้าและจอมยุทธ์น้อยจ้านพบเห็นพร้อมกัน สันนิษฐานว่าค่ายกลนี้พุ่งเป้าไปยังเมืองวันสิ้นโลก ถ้าตรวจสอบดูอย่างละเอียด จะสามารถพบว่าเป้าหมายสำคัญที่สุดของค่ายกลนี้คือจวนท่านเ้าเมือง ดังนั้นจอมยุทธ์น้อยจ้านจึงเดาว่าค่ายกลนี้อาจมุ่งเป้าไปที่ตระกูลจู้ และประจวบเหมาะจอมยุทธ์น้อยจ้านกับองค์หญิงจู้เชียนเชียนรักใคร่ชอบพอกันมาเนิ่นนานแล้ว เขาย่อมไม่สามารถปล่อยให้ผู้อื่นปองร้ายเมืองวันสิ้นโลกและท่านเ้าเมือง ดังนั้นเขาจึงอาศัยป้ายคำสั่งท่านเ้าเมืองเข้าไปตรวจสอบภายในจวนก่อนก้าวหนึ่ง ผลสุดท้ายจึงได้พบเห็นสถานการณ์เช่นนี้ แต่คิดไม่ถึงว่า เื่ทั้งหมดนี้กลับยังมีคนในตระกูลจู้สมรู้ร่วมคิดด้วย ไม่เพียงแต่จับตัวท่านเ้าเมืองที่พอจะทราบเื่ราวมากักขังไว้ก่อน อีกทั้งยังคิดจะกำจัดคนทั้งหมดของตระกูลจู้ให้หมดสิ้นไปด้วยเช่นกัน…ความโหดร้ายบ้าคลั่งเช่นนี้ ทำให้เราผู้ชรารู้สึกเหงื่อตกจริงๆ” เหยียนเต้าจื่อเอ่ยอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
พลันสีหน้าจู้เชียนชิวและจู้ว่านเหนียนแปรเปลี่ยนเป็ดูไม่ได้ ที่เหยียนเต้าจื่อพูดมาพวกเขามิอาจไม่เชื่อ ถ้าบอกว่าเื่นี้มีคนภายในตระกูลเข้าไปมีส่วนร่วมด้วยจริงๆ เื่นี้เกรงว่าพวกเขาเองก็ถูกหลอกลวง โดนปิดหูปิดตาอยู่ในความมืดด้วยเช่นกัน คิดถึงจุดนี้ สายตาพวกเขาอดที่จะมองไปยังจู้ฉางชิงและเจิ้งหรูสี่ แขกผู้าุโสูงสุดผู้มีเกียรติไม่ได้
ในครั้งนี้ผู้ที่สนับสนุนอย่างเต็มที่ให้จับตัวจู้ชิงขวงขังเอาไว้ก็คือสองคนนี้เอง แน่นอน สำหรับเื่ที่จู้ชิงขวงใน่หลายปีที่ผ่านมา เพื่อจู้เชียนเชียนที่เป็สวะไร้ค่าผู้หนึ่งกลับใช้วัตถุล้ำค่า สมบัติวิเศษธรรมชาติของตระกูลจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนอย่างสิ้นเปลืองตลอดมา จู้เชียนชิวและคนอื่นๆ ต่างก็เดือดดาลยิ่งนัก ถึงแม้ว่าเขาจะพูดกับจู้ชิงขวงหลายครั้งแล้ว แต่จู้ชิงขวงก็ยังคงยืนหยัดเช่นเดิม ไม่สนใจผู้อื่น ด้วยเหตุนี้ ผู้คนจำนวนมากภายในตระกูลล้วนพากันร้องเรียนขึ้นมา
และแล้วครั้งนี้ก็มีการพูดถึงเื่แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลโหยว แต่จู้ชิงขวงปฏิเสธอย่างเด็ดขาดโดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของตระกูล การตัดสินใจครั้งนี้ทำให้บรรดาผู้าุโของตระกูลผิดหวังในตัวจู้ชิงขวงอย่างยิ่ง จึงได้เชื่อและทำตามคำแนะนำของจู้ฉางชิงและเจิ้งหรูสี่โดยตรง ดังนั้นนึกถึงตรงนี้ สายตาพวกเขาอดมองไปที่จู้ฉางชิงไม่ได้และเจิ้งหรูสี่ก็คือบุตรเขยของตระกูลจู้ เขาแต่งงานเข้ามาอยู่ในตระกูลนับร้อยปีแล้ว ดังนั้น ผ่านมายาวนานหลายปีเช่นนี้ คนตระกูลจู้ก็มองว่าเป็คนในตระกูลเสมอมาเช่นกัน…และเมื่อครู่นี้ตอนทำพิธีในห้องโถงใหญ่ สองคนนี้ใช้เหตุผลในการอารักขาจู้ชิงขวงเป็ข้ออ้าง ประจำอยู่ในสถานที่คุมขัง ไม่ได้ยืนอยู่ภายในจวนพร้อมกับเหล่าบรรดาผู้เฒ่า ดังนั้น แม้แต่พวกเขาก็เริ่มสงสัยสองคนนี้ขึ้นมาแล้ว
“พี่ใหญ่ หรือว่าพวกท่านสงสัยข้า?” จู้ฉางชิงสีหน้าแปรเปลี่ยน เขารู้สึกถึงความสงสัยที่มาจากจู้เชียนชิวและจู้ว่านเหนียน
“พี่ใหญ่ เื่นี้พวกเราก็ไม่ทราบเื่ใดๆ เช่นกัน!” เจิ้งหรูสี่ใวูบ พลันสีหน้าแปรเปลี่ยน
“บอกข้า ไฉนต้องทำเช่นนี้? พวกเ้า้าทำอะไรกันแน่?” สายตาของจู้ว่านเหนียนเ็ายิ่งนัก ถึงแม้จู้ฉางชิงและเจิ้งหรูสี่จะมีฐานบ่มเพาะของจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน แต่เมื่อถึงคราวจำเป็และเพื่อประโยชน์ของตระกูลแล้ว ไม่ว่าผู้ใดก็ต้องนำมาเสียสละ และในส่วนลึกของจิตใจ เขาก็รู้สึกสงสัยสองคนนี้แล้วเช่นกัน กล่าวถึงที่สุดเื่นี้บังเอิญเกินไป อดที่จะทำให้ผู้คนสงสัยไม่ได้
“พี่ใหญ่ เื่นี้ไม่ใช่พวกเราสองคนอย่างเด็ดขาด ข้าสามารถสาบานต่อฟ้าได้” จู้ฉางชิงรีบพูดอย่างรวดเร็ว
“โม่ฉางชุนอยู่ที่ใด?” น้ำเสียงของจู้เชียนชิวเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน
“พวกเ้ามีการติดต่อกับโม่ฉางชุนตลอดมา เชื่อว่าพวกเ้าจะต้องทราบว่าเขาอยู่ที่ใดอย่างแน่นอน! ต่อให้ไม่ใช่พวกเ้า เช่นนั้นจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับโม่ฉางชุนอย่างแน่นอน” จู้ว่านเหนียนพูดเสริมขึ้น
“เื่นี้…” พลันจู้ฉางชิงลังเลขึ้นมาบ้างแล้ว มองเจิ้งหรูสี่ด้วยสายตาประหลาดอยู่บ้าง…
“พวกเ้าเหล่าตัวโง่เขลาเบาปัญญา เื่นี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้าเลย พวกเ้ากลับบังคับให้ข้าต้องปรากฏตัวให้ได้…” เจิ้งหรูสี่สีหน้าแปรเปลี่ยนไปทันใด ดูเหมือนคนทั้งตัวจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ภายใต้สภาวะพลังที่เพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่ง ขยับท่าร่างวูบก็หนีออกจากวงล้อมของกลุ่มจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ เหินบินเข้าสู่ส่วนลึกของมหาสมุทรวันสิ้นโลกไป
“โม่ฉางชุน? เป็ไปได้อย่างไร!” จู้ว่านเหนียนและจู้เชียนชิวใอุทานขึ้น
พวกเขาจะอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าน้องเขยของตนเองผู้นี้ กลับเป็โม่ฉางชุนผู้ลึกลับสุดหยั่งคาดคนนั้น ซุ่มซ่อนตัวอยู่ข้างกายตนมานับร้อยปีโดยไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย นี่ทำให้พวกเขารู้สึกร้อนวูบขึ้นบนใบหน้า พลันเวลานี้พวกเขาเข้าใจแล้วว่าไฉนโม่ฉางชุนจึงมีอิทธิพลอย่างมากมายต่อตระกูลจู้…
“คิดหนีหรือ!” พลันสีหน้าเสวียนเสวียนจื่อก็แปรเปลี่ยนเช่นกัน เจิ้งหรูสี่ผู้นี้พอลงมือกลับเป็การหลบหนีทันที ทำให้พวกเขารู้สึกประหลาดใจอยู่บ้างเช่นกัน แต่นี่ก็เป็เื่ปกติอย่างยิ่ง เมื่อครู่พลังที่เจิ้งหรูสี่แสดงให้เห็นฉับพลันกลับเป็จักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์สูงสุด เทียบกับทุกคนในที่นี้แล้วล้วนสูงกว่าหนึ่งขั้น แต่ว่าที่นี่กลับมีจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ถึงสิบห้าคน ต่อให้เป็จักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์สูงสุดก็ไม่สามารถมีโอกาสล่าถอยอย่างปลอดภัยเช่นกัน
“คิดไม่ถึงว่าตระกูลจู้เป็สถานที่พยัคฆ์หมอบัซ่อน กลับมียอดฝีมือสูงส่งขนาดนี้” เยว่หลิงซานกล่าวเยาะเย้ยขึ้น
“บูมมม…” ขณะกลุ่มจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์คิดไล่ตาม ระลอกคลื่นประหลาดปรากฏขึ้นบนผิวน้ำมหาสมุทรยาวนับพันลี้ พลันพลังลึกลับก็ะเิออกมาทันใด อากาศทั่วทั้งสมรภูมิรบกระดูกขาวกลายเป็หล่มโคลนน่ากลัวไปทันใด ร่างกายเหล่าจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ทุกคนชะงักงัน ร่างของโม่ฉางชุนที่กำลังหลบหนีก็หยุดนิ่งไปเล็กน้อยเช่นกัน
“มหาค่ายกลหมื่นดวงิญญาสักการะฟ้าถูกเปิดแล้ว…ไม่อาจละเว้นคนผู้นี้เด็ดขาด!” เหยียนเต้าจื่อใคราหนึ่ง พลันอุทานเสียงต่ำ
“วูบ…” ท่าร่างของเสวียนเสวียนจื่อทะยานวูบ มาอยู่เบื้องหน้าโม่ฉางชุนทันทีราวกับย้ายร่างก็มิปาน
“ย้ายร่างเงามายา! คิดไม่ถึงว่าในสำนักิญญาเร้นลับยังมีคนที่สามารถฝึกสำเร็จ!” โม่ฉางชุนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่กลับลงมือทันใด นภากาศคล้ายดั่งถูกม้วนขยำกลายเป็เป็ก้อน และท่ามกลางอากาศที่เดิมก็เหมือนหล่มโคลนอยู่แล้ว เสวียนเสวียนจื่อรู้สึกเหมือนมีพลังพุ่งออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ ทำให้อวัยวะภายในของตนบิดกระตุกกะทันหัน
“ประทับจิติญญาอสูร!” เสวียนเสวียนจื่ออุทานเสียงต่ำ เคล็ดวิชาอสูรชนิดนี้ที่สูญหายการถ่ายทอดนับหมื่นปีกลับปรากฏในมือของโม่ฉางชุน ตำนานเล่าขานเคล็ดวิชาอสูรประหลาดนี้มีต้นกำเนิดมาจากแผ่นดินต่างแดน ศึกการสัประยุทธ์ระหว่างแผ่นดินในปีนั้นได้แพร่มายังแผ่นดินพั่วเหยียนอย่างบังเอิญ สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงในแผ่นดินนี้ ต่อมาภายหลังคุนเผิงกำเนิดมาจึงได้สังหารปีศาจผู้นี้ดับสูญ ั้แ่นั้นมาเคล็ดวิชาอสูรชนิดนี้ที่สามารถโจมตีจิติญญาของผู้อื่นโดยตรงก็สูญหายจากการถ่ายทอดไปเช่นกัน กลับคิดไม่ถึงว่าจะมาปรากฏอยู่ในมือของโม่ฉางชุน
“ตูมมม……” เสวียนเสวียนจื่อขยับร่างไปด้านข้างฉับพลัน ล่าถอยจากโม่ฉางชุนกว่าร้อยวาอย่างทุลักทุเล และการโจมตีตามมาของโม่ฉางชุนก็ล้มเหลวเช่นกัน
“วิชาย้ายร่างเงามายาร้ายกาจสมคำเล่าลือ ภายใต้ประทับจิติญญาอสูรของข้ากลับยังสามารถล่าถอยอย่างปลอดภัย แต่เหตุการณ์ในวันนี้ข้าจะจดจำไว้ คิดไม่ถึงว่าชื่อเสียงตลอดชีวิตกลับถูกไอ้หนูลึกลับมิอาจหยั่งรู้คนหนึ่งก่อกวนจนมัวหมอง” สายตาโม่ฉางชุนทอดยาวมองไปยังยอดเขาปลาวาฬั์ที่จ้านอู๋มิ่งนั่งอยู่ ในสายตาเปล่งสำนึกฆ่าฟันเย็นเยียบขึ้นวูบหนึ่ง
“ตูมมม……” เยว่หลิงซานและจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์คนอื่นๆ ไล่ตามโม่ฉางชุนอย่างรวดเร็ว การขัดขวางเพียงชั่ววูบของเสวียนเสวียนจื่อ ทำให้พวกเขามีเวลาไล่ตามทัน แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาประหลาดใจก็คือจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองของตระกูลโหยวลงมือลอบโจมตีมาถึง จู้ฉางชิงกลับเข้าร่วมกลุ่มด้วยเช่นกันและสกัดจู้เชียนชิวเอาไว้
“ท่านบรรพบุรุษผู้เฒ่า!” มหาจักรพรรดิาหลายคนของตระกูลโหยวอุทานขึ้น พวกเขาคาดไม่ถึงว่าจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์สองคนในตระกูลตนเองกลับช่วยโม่ฉางชุนอย่างกะทันหัน และโจมตีเหยียนเต้าจื่อกับเยว่หลิงซานโดยตรง คล้ายดั่งเห็นว่าสองคนนี้เป็ภัยคุกคามมากที่สุด
เหยียนเต้าจื่อและเยว่หลิงซานก็ประหลาดใจอยู่บ้างเช่นกัน เื่ราวเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เป็การลอบโจมตีของจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย พลันทั้งสองเสียเปรียบจากการลอบกัดไปคราหนึ่ง แต่หลังจากจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ตระกูลโหยวลงมือแล้วก็ถูกโจมตีอย่างหนักหน่วงโดยบรรพบุรุษผู้เฒ่าสูงสุดและบรรพบุรุษผู้เฒ่าเทียนฉาน ตลอดจนหนานกงหลิวอวิ๋นและจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์คนอื่นๆ
“จิตสมาธิของพวกเขาถูกควบคุมอยู่!” พลันจู้ว่านเหนียนอุทานเสียงต่ำ เนื่องเพราะพลันเขาพบว่า ไม่ว่าจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองคนของตระกูลโหยวหรือว่าจู้ฉางชิงเวลานี้ดวงตากลายเป็สีแดงเืไปในทันใด เห็นได้ชัดว่าสูญเสียสติสัมปชัญญะไปแล้ว
“ไม่อาจปล่อยอสูรผู้นี้จากไป!” เสวียนเสวียนจื่อโจมตีใส่อีกรอบ และจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ของสำนักเบญจพิษกับสำนักหลอมโอสถก็ไล่ตามมาอย่างรวดเร็วเช่นกัน ดูเหมือนพวกเขาจะทราบว่า เป็ไปไม่ได้ที่เสวียนเสวียนจื่อเพียงคนเดียวจะขัดขวางโม่ฉางชุนไว้ได้
เยว่หลิงซานเพียงมองจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์สองคนของตระกูลโหยวคราหนึ่ง ไม่ต่อสู้พัวพันต่อ แต่ร่วมกับเหยียนเต้าจื่อ ทั้งคู่พุ่งเข้าหาโม่ฉางชุน พวกเขาทราบว่าคนที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดมีเพียงอสูรผู้นี้เท่านั้น แม้แต่เสวียนเสวียนจื่อประมือรอบหนึ่งก็ยังถูกบังคับให้ล่าถอย หากไม่ใช่หลายคนร่วมมือกันก็ไม่สามารถจะเป็คู่ต่อสู้ของคนผู้นี้ได้เลย
บรรพบุรุษผู้เฒ่าตระกูลโหยวพลันลงมือต่อบรรพบุรุษผู้เฒ่าของสำนักบริบาลเดรัจฉานและสำนักิญญา์ ทันใดนั้นศิษย์สำนักบริบาลเดรัจฉานและสำนักิญญา์ที่อยู่ด้านล่างล้วนเห็นหมดแล้ว ดังนั้นเหล่าอัจฉริยะของสองสำนักจึงคำรามเสียงต่ำ “ตระกูลโหยวเป็คนของหัวหน้าอสูร!”
“ตูมมม……” ทันใดศิษย์ของแต่ละสำนักนิกายทั้งหมดในสมรภูมิกระดูกขาวล้วนโจมตีพุ่งเป้าไปที่ลูกศิษย์ตระกูลโหยว ในเวลาเช่นนี้ทุกคนล้วนทราบว่ามิอาจออมมือ โม่ฉางชุนอสูรผู้นี้กลับน่ากลัวถึงเพียงนี้ ก่อตั้งค่ายกลขนาดใหญ่ที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ในสมรภูมิกระดูกขาว กลับเพียงเพื่อดูดกลืนกลิ่นอายมรณะและิญญาคับแค้นของพวกเขา…สิ่งนี้ทำให้บรรดาศิษย์ของแต่ละสำนักนิกายคิดๆ แล้วเสียวสันหลังจนเย็นวาบ คนในตระกูลจู้ส่วนหนึ่งเห็นว่าบรรพบุรุษผู้เฒ่าก็โจมตีบรรพบุรุษผู้เฒ่าทั้งสองของตระกูลโหยวด้วย ก็ลงมือทันทีเช่นกัน…
พลันกลุ่มอำนาจต่างๆ ในเมืองวันสิ้นโลกแบ่งออกเป็สองขั้ว ขั้วหนึ่งติดตามตระกูลจู้ร่วมกันโจมตีตระกูลโหยว อีกขั้วหนึ่งร่วมกับตระกูลโหยวรีบเร่งโจมตีกลับใส่ศิษย์ของแต่ละสำนักนิกาย ตลอดจนโจมตีกลับใส่ยอดฝีมือตระกูลจู้ ครู่เดียวแถบพื้นที่ทะเลทั้งหมดก็ต่อสู้กันจนสับสนอลหม่าน และเวลานี้กลิ่นอายิญญาชั่วร้ายที่ลอยขึ้นในท้องทะเลค่อยๆ แ่าขึ้นและปกคลุมทั่วทั้งสนามรบ ไม่ว่าจะเป็จักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์หรือมหาจักรพรรดิาและจักรพรรดิา ทั้งหมดไม่สามารถหลีกเลี่ยง ต้องได้รับผลกระทบจากค่ายกลและส่งผลให้เชื่องช้าลงเล็กน้อย เพียงแต่ว่าผู้ที่ฐานบ่มเพาะยิ่งสูง ผลกระทบที่ได้รับยิ่งน้อย เวลานี้ทุกคนจึงได้ััรับรู้ถึงฤทธิ์เดชพลังกดดันของมหาค่ายกลหมื่นดวงิญญาสักการะฟ้าอย่างแท้จริง กล่าวถึงที่สุดแล้วมันอาศัยเกาะกระดูกขาวเก้าร้อยเก้าสิบเก้าแห่งนี้เป็ฐาน ในสนามรบแห่งกระดูกนี้มีกลิ่นอายมรณะมากมายเกินไป ส่งผลให้พลังกดดันของค่ายกลรุนแรงเกินจินตนาการของสำนักนิกายต่างๆ ไม่เพียงสามารถดูดกลืนกลิ่นอายมรณะและความคับแค้นใจจากมุมใดๆ ของเมืองวันสิ้นโลกเท่านั้น ยังสามารถแปรเปลี่ยนกลิ่นอายมรณะและความคับแค้นใจให้กลายเป็พลังโจมตีจิติญญาชนิดหนึ่ง โจมตีใส่ผู้คนที่อยู่ในค่ายกล การโจมตีอันชั่วร้ายที่ไร้สภาพเช่นนั้น สามารถทำให้คนคลุ้มคลั่งจากการก่อเกิดของภาพมายาหลอกหลอนที่ไม่อาจควบคุม
“อู๋มิ่ง ไฉนเป็เช่นนี้?” จู้เชียนเชียนจากมุมหนึ่งของยอดเขาปลาวาฬั์รู้สึกประหลาดใจที่เห็นการต่อสู้ระยะประชิดนี้ อดที่จะรู้สึกทำอะไรไม่ได้ ตลอดทั่วทั้งสมรภูมิรบกระดูกขาวทั้งหมด ดูเหมือนจะมีเพียงสถานที่ที่นางและจ้านอู๋มิ่งอยู่แห่งเดียวเท่านั้นที่ปลอดภัย คล้ายดั่งเป็ผู้ชมอยู่ด้านข้างก็มิปาน
จ้านอู๋มิ่งยิ้มแล้ว กล่าวว่า “นี่ก็คือแผนการของข้า!”
“อา!” จู้เชียนเชียนประหลาดใจ ไฉนการต่อสู้อันวุ่นวายสับสนนี้กลับกลายเป็แผนการของจ้านอู๋มิ่ง เวลานี้ นางที่ฉลาดปราดเปรื่องเหมือนภูตผีปีศาจ กลับยังไม่เข้าใจจ้านอู๋มิ่งอยู่บ้างเช่นกัน เขาเป็คนแบบไหนไปแล้วกันแน่นะ แต่ว่าโม่ฉางชุนผู้นั้นกลับเป็บรรพบุรุษเฒ่าอยู่ภายในตระกูลของตน สิ่งนี้ทำให้นางรู้สึกประหลาดใจมาก ในเวลาเดียวกันก็ค่อนข้างเศร้าใจเช่นกัน
“ค่ายกลใหญ่นี้ ความจริงแล้วก่อตั้งขึ้นสำหรับเ้าโดยเฉพาะ!” จ้านอู๋มิ่งยิ้มอย่างลึกลับอยู่บ้าง แต่คำพูดของจ้านอู๋มิ่งกลับทำให้จู้เชียนเชียนรู้สึกเหมือนถูกสายฟ้าฟาด
ทันใดนั้น จู้เชียนเชียนเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว เพียงแต่ยามกะทันหันนางไม่สามารถค้นหาเบาะแสจนเข้าใจได้ เพียงแค่จ้องมองจ้านอู๋มิ่งที่มีท่าทางจริงจังอย่างใ ในดวงตามีความชื้นสายหนึ่ง สองมือที่ถูกจ้านอู๋มิ่งกำไว้แแ่สั่นเทาอยู่บ้างถามว่า “ทั้งหมดนี้ล้วนเป็เ้าที่วางแผนขึ้นมา? ทั้งหมดนี้ล้วนสำหรับข้าหรือ?”
“คนโง่ ข้ารับปากบิดาเ้าว่าจะต้องรักษาความบกพร่องในจิติญญาแห่งชีวิตของเ้าให้หาย ก่อนหน้านี้ ข้ายังไร้พลังความสามารถ แต่ว่าเวลานี้ข้ามีพลังนั้นแล้ว แต่ว่ากลับไม่ใช่สิ่งที่ข้าสามารถทำได้ด้วยตัวคนเดียว แน่นอน ข้ายิ่ง้าหาคนที่เป็มือมืดอยู่เื้ัคอยลงมือทำร้ายเ้าตลอดมา เวลานี้พวกเราทำสำเร็จแล้ว เ้าเพียงแค่ต้องทำตามที่ข้าบอกอย่างเชื่อฟัง ั้แ่วันนี้เป็ต้นไป เ้าก็จะเป็คนปกติผู้หนึ่งตลอดไป เ้าจะกลายเป็ยอดฝีมือผู้น่ากลัวคนหนึ่ง” จ้านอู๋มิ่งลูบไล้เส้นผมของจู้เชียนเชียนอย่างแ่เบา ยามนี้เขาพลันก็คิดถึงหลินซีรั่วอย่างยิ่ง
“สามารถฝึกฌานบ่มเพาะได้จริงๆ หรือ?” จู้เชียนเชียนถามอย่างประหลาดใจ
“ทุกอย่างล้วนเป็ไปได้”
