แม้ว่าร่างกายจะเหนื่อยล้า แต่อี้สี่ก็ตื่นแต่เช้าและรีบไปร้านอาหารฉือเซ่อด้วยจิตใจที่เบิกบาน ด้วยเวลาที่ยังไม่เก้าโมงเช้า ประตูร้านอาหารจึงยังล็อกอยู่ สามารถเข้าออกได้แค่ที่ทางเข้าพนักงานในตรอกด้านหลังเท่านั้น เดิมอี้สี่คิดว่าเธอมาถึงเร็วมากแล้ว แต่คาดไม่ถึงว่าจะได้เห็นซ่งจื่อฉีแต่งตัวอยู่ในชุดเชฟอย่างเรียบร้อยจากระยะไกล เขากำลังยืนพิงผนังอยู่ตรงซอยด้านหลัง มือถือถ้วยกาแฟจากซูเปอร์มาร์เก็ตเอาไว้ในมือ โดยที่เขากำลังพูดคุยกับชายคนหนึ่งในชุดเสื้อเชิ้ตสีดำข้างกาย
ชายในชุดเสื้อเชิ้ตสีดำตัดผมสั้นดูหล่อเหลามีเสน่ห์ หน้าม้ามีไฮไลต์สีเทาอยู่ประปราย ซึ่งนั่นไม่ได้ทำให้ชายคนนั้นดูแก่เลย แค่ดูอายุเยอะกว่าซ่งจื่อฉีเล็กน้อยเท่านั้น คนๆ นั้นเบ้าตาลึกมาก เห็นรอยคล้ำใต้ตาได้อย่างชัดเจน รวมๆ แล้วดูเป็ผู้ชายที่มีเสน่ห์แบบผู้ใหญ่ที่ผ่านโลกมามาก เขาสูบบุหรี่พลางพูดคุยกับซ่งจื่อฉีพลาง โดยบุหรี่ก็เป็เหมือนกับอาหารเช้าของเขา
เมื่อซ่งจื่อฉีเห็นอี้สี่เดินเข้ามาจึงเอ่ยแนะนำแก่เขา “นี่คืออี้สี่น้องสาวคนใหม่ของพวกเรา ไม่ได้เื่นัก ฝากดูแลด้วย” ซ่งจื่อฉีหันกลับมาและเอ่ยแนะนำให้อี้สี่ได้รู้จัก “นี่คือหลัวจ้งซี เป็บาร์เทนเดอร์และผู้จัดการด้านนอกของร้าน เขาเป็นักตกหญิง ดังนั้นระวังเขาเอาไว้ด้วย” อี้สี่มองไปที่ใบหน้าของซ่งจื่อฉี เธออดที่จะหน้าแดงไม่ได้เมื่อคิดถึงสิ่งที่ตัวเองจินตนาการเมื่อคืนนี้
“อย่าไปฟังเื่ไร้สาระจากเขาเลย เขาสิถึงจะใช่” หลัวจ้งซีขยิบตาส่งยิ้มให้อี้สี่ เผยให้เห็นถึงเสน่ห์ที่ไม่อาจต้านทานได้ “วันนี้นายจะพาคนใหม่ไปแนะนำเหรอ?” หลัวจ้งซีเอ่ยถามซ่งจื่อฉี ซ่งจื่อฉีส่ายหน้าแล้วพูดว่า “แน่นอนว่าต้องให้เฉินเจี้ยนฉวินพาไป” หลังจากที่เขาพูดจบ ชายที่ดูเหมือนจะเป็นักศึกษาสวมเสื้อเชิ้ตลายสก๊อตและกางเกงยีนส์ก็เดินมาจากไกลๆ เขาดูสดใสไม่เป็พิษเป็ภัย มีหูฟังห้อยอยู่รอบต้นคอ
“เสี่ยวเฉิน พาอี้สี่เข้าไป ช่วยเธอหาชุดเชฟสักตัวและเอาตู้เก็บของที่ว่างให้เธอด้วย สอนเธอว่ากะเช้าต้องทำอะไรบ้าง หลัวจ้งซีกับฉันจะต้องไปประชุมกับหัวหน้า” ซ่งจื่อฉีกล่าว
อี้สี่รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย รู้สึกโชคดีที่เฉินเจี้ยนฉวินเป็คนที่พาเธอไป เพราะในสายตาของเธอ เฉินเจี้ยนฉวินดูเหมือนจะเป็คนที่เข้ากับคนอื่นได้ง่าย
เธอผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าและมาที่ห้องครัว เมื่อเห็นครัวแบบมืออาชีพที่เต็มไปด้วยเคาน์เตอร์และเตาสเตนเลส อี้สี่ก็รู้สึกประทับใจมากและรู้สึกว่าความฝันของเธอเข้าใกล้มาทีละน้อย
“เรียกผมว่าเสี่ยวเฉินได้นะ พวกเราที่มาเข้ากะเช้า มาถึงแล้วก็ต้องเปิดแก๊สก่อน” ห้องแก๊สอยู่อีกห้องหนึ่ง โดยร้านอาหารที่ตั้งอยู่ในย่านชุมชนเก่าแก่ส่วนใหญ่จะยังไม่มีท่อส่งแก๊สจึงต้องใช้ถังแก๊สแทน นอกจากหน้าต่างระบายอากาศบานใหญ่แล้ว ห้องนี้ยังมีตู้เย็นหกประตูขนาดใหญ่อยู่อีกสองตู้ อี้สี่เดินตามเฉินเจี้ยนฉวินไป และเฉินเจี้ยนฉวินก็ได้พาเธอมายังอีกห้องหนึ่ง “นี่คือโกดังเล็กๆ สำหรับของแห้งโดยเฉพาะ คุณจะต้องมาที่นี่เพื่อมาเอาของอยู่บ่อยๆ และเวลาซื้อของมาก็ต้องมาที่นี่เพื่อจัดระเบียบสิ่งของด้วย อย่าลืมตรวจดูอายุการเก็บรักษาด้วยว่าอะไรก่อนหลัง” เธอมองชั้นวางสูงที่เรียงกันเป็แถว โดยมีวางขวดและกระป๋องไว้อย่างเป็ระเบียบเรียบร้อย และบนพื้นก็ยังมีถุงข้าวกับแป้งวางซ้อนกันอยู่บนพาเลท
เฉินเจี้ยนฉวินยืนพิงอยู่ใกล้ประตู อธิบายให้อี้สี่ฟังอย่างตั้งใจว่าสิ่งของอะไรบ้างที่ใช้บ่อยกว่ากัน ซึ่งอี้สี่เองก็ตั้งใจฟังเป็อย่างมาก มีน้ำตาลหลายประเภทและซีอิ๊วหลากหลายยี่ห้อ ซอสที่ใช้ในแต่ละจานก็มีความแตกต่างกันอย่างเฉพาะเจาะจงมาก ระหว่างที่รับฟังจู่ๆ ก็มีชายผิวคล้ำรูปร่างบึกบึนแข็งแรงเบียดแทรกตัวผ่านประตูโกดังเล็กๆ เข้ามา และทันทีที่เห็นเฉินเจี้ยนฉวินก็เบียดดันเขาเข้ากับผนัง วางมือลงไปคร่อมตัวเฉินเจี้ยนฉวินด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม เฉินเจี้ยนฉวินพยายามดิ้นรนพลางด่าทอไปด้วย “พ่อตาย!” แต่ทว่าสีหน้ากลับเผยรอยยิ้มออกมาเช่นกัน
“แก๊สเปิดแล้วหรือยัง” ชายคนนั้นถาม
“เปิดแล้วค่ะ”
“มาทำลับๆ ล่อๆ กับสาวน้อยอยู่ในโกดังเล็กๆ ั้แ่เช้า มันน่าสงสัยจริง!” ชายคนนั้นพูดติดตลกพลางมองอี้สี่ที่สวมชุดเชฟด้วยสายตาที่ไม่ค่อยเป็มิตรนัก
เฉินเจี้ยนฉวินรีบเอ่ยแนะนำอย่างรวดเร็ว “นี่คือเพื่อนร่วมงานคนใหม่ เพิ่งเริ่มงานวันนี้วันแรก ชื่ออี้สี่” นอกจากนี้เขายังแนะนำอีกฝ่ายให้อี้สี่รู้จักอีกด้วย “นี่คือหัวหน้าเชฟในครัว เชฟอาเฉียง”
“แม่ง ผู้หญิงอีกแล้วเหรอ ซ่งจื่อฉีคิดจะทำอะไรนะ!” อาเฉียงยิ้มแต่สีหน้ากลับแสดงออกถึงการดูถูกเล็กน้อย เขาตบไหล่เฉินเจี้ยนฉวินพลางขยิบตาแล้วพูดว่า “ลำบากนายแล้วล่ะ” ท่าทีแบบนั้นราวกับว่าอี้สี่เป็ปัญหาใหญ่ก็ไม่ปาน
ั้แ่ต้นจนจบอี้สี่ทำได้เพียงยืนอยู่อีกฝั่งด้วยความลำบากใจ เธอรู้ดีว่าถึงแม้จะเป็สังคมที่แตกต่างไป แต่ห้องครัวก็ยังคงเป็โลกของผู้ชายเสียเป็ส่วนใหญ่ เฉินเจี้ยนฉวินเพิกเฉยต่ออาการไม่สบายใจที่แสดงออกบนใบหน้าของเธอ และระหว่างที่พาเธอไปทำงาน เขาก็ได้ถามว่า “แล้วคุณเคยทำงานร้านอาหารไหนมาก่อนเหรอ? หรือเคยเรียนโรงเรียนทำอาหารไหนมาก่อนหรือเปล่า?”
“ก่อนหน้านี้ฉันเป็อาจารย์น่ะ” อี้สี่เอ่ยพูดเสียงเบา
“อาจารย์? อาจารย์ของโรงเรียนจัดเลี้ยงไหนเหรอ?”
“อา…คืออาจารย์วิชาสอนประวัติศาสตร์น่ะ” อี้สี่ยิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกเขินอายมากขึ้นเรื่อยๆ
“อาจารย์สอนประวัติศาสตร์? งั้นคุณก็ไม่มีประสบการณ์ทำอาหารเลยงั้นเหรอ?” เฉินเจี้ยนฉวินเอ่ยเสียงค่อนข้างดังด้วยความรู้สึกไม่อยากเชื่อ
“ฉันจะตั้งใจเรียนรู้อย่างหนักเลย” อี้สี่รีบแสดงความมุ่งมั่น เฉินเจี้ยนฉวินเองก็ไม่ได้เอ่ยพูดอะไรอีก เขาเพียงสอนเธอต่อคร่าวๆ ว่าให้ล้างและหุงข้าวก่อนในตอนเช้า เก็บสินค้าที่พ่อค้าผักนำส่งมา ชั่งน้ำหนักห่อผักและเนื้อสัตว์ และยังต้องตรวจสอบของที่คนขายนำส่งมาด้วยเพื่อให้แน่ใจว่า ร้านขายของชำได้นำของทั้งหมดที่ร้าน้ามาส่งครบเรียบร้อยแล้ว จากนั้นเขาก็ลากหัวหอมใหญ่ถุงหนึ่งมา ในถุงนั้นน่าจะเป็หัวหอมประมาณสามสิบหัว จากนั้นก็ให้เธอไปยืนอยู่ที่มุมหนึ่งแล้วค่อยๆ หั่นหัวหอมบนเขียงด้านหน้าเธอ ซึ่งเมื่อตอนอยู่ที่บ้านเพียงแค่หั่นหัวหอมสองหัว น้ำตาก็ไหลออกมาแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสามสิบหัวเลย เธอต้องแสบจมูกจนน้ำมูกน้ำตาไหลออกมาแน่นอน
เฉินเจี้ยนฉวินดูเหมือนจะยุ่งมากและมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องหั่นเตรียมไว้ หลังจากพาเธอไปอยู่ที่มุมห้องด้านหลังแล้วก็ไม่ได้สามารถคอยตามดูเธอทีละขั้นตอนต่อไปอีก ทั้งที่เขาดูวุ่นวายแบบนั้นแต่เขากลับดูยุ่งแบบสบายๆ เธอเห็นเขาเอาโทรศัพท์มือถือใส่ลงไปในแก้วเพื่อทำเป็ลำโพง ฟังเพลงไปด้วยพลางหั่นผักไปด้วย เพลงที่พวกเขาฟังเป็เพลงร็อคจากวงดนตรีใต้ดินทั้งหมด อีกด้านหนึ่งเชฟอาเฉียงเองก็กำลังตระเตรียมวัสดุ พวกเขาพลางเอ่ยพูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อยอยู่ที่โต๊ะยาว ต่อมาก็มีเชฟอีกสองสามคนเข้ามา พวกเขาค่อนข้างสนใจอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับอี้สี่เล็กน้อย เมื่อตอนที่พวกเขาเดินเข้ามาก็เหลือบมองดูวิธีการหั่นของเธอ ทว่าก็ไม่ได้พูดคุยกับเธอมากนัก ด้วยต่างคนต่างก็ยุ่งเื่ของตัวเอง อีกทั้งก็ใกล้ถึงเวลาเที่ยงวันแล้ว ส่วนหน้าร้านอาหารเองก็ได้เริ่มเปิดแล้วเช่นกัน ยามนี้ทั่วทั้งร้านอาหารเต็มไปด้วยบรรยากาศที่ผ่อนคลายและมีชีวิตชีวา บรรยากาศแบบนี้เป็สิ่งที่อี้สี่ไม่เคยเจอมาก่อนในสภาพแวดล้อมการทำงานก่อนหน้านี้ ภาพที่เธอกำลังมองดูอยู่มันเหมือนกับบทของ “คนครัว” จริงๆ ความตึงเครียดและรวดเร็วแต่ก็พร้อมใจร่วมกัน ติดอยู่อย่างเดียวก็คือตอนนี้อี้สี่รู้สึกเหมือนว่าเธอได้กำลังถูกทิ้งไว้ที่มุมห้องจากที่แห่งนี้ ไม่สามารถเข้ากับทุกคนได้ และทุกคนก็ไม่ได้สนอกสนใจเธอมากนักเช่นกัน
อี้สี่หั่นหัวหอมอยู่เป็เวลานานและในที่สุดก็สามารถหั่นหัวหอมได้สิบหัว เมื่อรู้สึกระคายเคืองดวงตาก็เงยหน้าขึ้นกะพริบตาดวงตาที่น้ำตาคลอหน่วย ก่อนจะพบว่าซ่งจื่อฉีกำลังยืนกอดอกเยื้องอยู่เบื้องหน้าเธอพลางมองเธออย่างเ็าเป็อย่างมาก ซ่งจื่อฉีหยิบหัวหอมจำนวนหนึ่งที่อี้สี่หั่นแล้วขึ้นมา วางมันบนมือของเขา มองดูพวกมันแล้วพูดว่า “หนาเกินไป” เขาโยนหัวหอมที่อี้สี่พยายามอย่างหนักในการหั่นลงไปในหม้อที่อยู่ตรงหน้าเฉินเจี้ยนฉวิน แล้วเอ่ยอย่างเฉยชาว่า “เอาไปทำอาหารให้พนักงาน”
เฉินเจี้ยนฉวินถอนหายใจ หยิบหัวหอมที่เหลือวางบนเคาน์เตอร์ของเขา แล้วพูดกับอี้สี่ว่า “จะไม่ทันเวลาแล้ว ผมหั่นเอง” เขาหั่นมันอย่างรวดเร็ว และใช้เวลาเพียงสิบห้านาทีในการจัดการกับหัวหอมยี่สิบหัว เขาหยิบหัวหอมชิ้นหนึ่งมาโชว์ให้อี้สี่ดู มันทั้งบาง โปร่งใส และสวยงามมาก “อย่างน้อยก็ต้องบางให้ได้ประมาณนี้” เขากล่าว
อี้สี่เริ่มรู้สึกสับสน ตัวเธอควรที่จะต้องทำอย่างไรเมื่อระดับฝีมือยังคงตามหลังอยู่มากขนาดนี้ ในเวลานี้เองเชฟอาเฉียงก็ได้ไปหยิบของที่ตู้เย็นพอดี เมื่อกลับมาก็โยนหัวหอมสองสามต้นลงบนเขียงของอี้สี่ พูดเพียงว่า “ซอยต้นหอม” อี้สี่สูญเสียความมั่นใจทั้งหมดไปแล้ว เธอมองหาเฉินเจี้ยนฉวินเพื่อขอความช่วยเหลือ ทว่าเฉินเจี้ยนฉวินกำลังยุ่งอยู่กับเื่อื่นอยู่ เธอจึงหันไปมองซ่งจื่อฉีอีกครั้ง ซึ่งซ่งจื่อฉีก็ยังคงยืนกอดอกอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบๆ
“ฉันควรหั่นไหมคะ?” เธอเอ่ยถามซ่งจือฉีอย่างเขินอาย
“หั่นสิ” ซ่งจื่อฉีพยักหน้า เขาเฝ้าดูั้แ่ต้นจนจบแต่ก็ไม่ได้พูดว่าดีหรือไม่ดี เพียงจากไปอย่างเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร
ภัตตาคารได้เริ่มเปิดร้านแล้ว ภัตตาคารฉือเซ่อไม่ใช่ร้านอาหารราคาถูก แต่มีส่วนลดพิเศษสำหรับมื้ออาหารกลางวัน ดังนั้นจึงมีผู้คนมาเพื่อลิ้มลองอาหารใน่เวลากลางวันมากมาย ที่นั่งในร้านจึงเต็มอย่างรวดเร็ว เครื่องรับออเดอร์ในครัวเองก็พิมพ์คำสั่งซื้ออย่างต่อเนื่อง โดยมีซ่งจื่อฉีคอยยืนสั่งการอยู่ตรงเครื่องรับออเดอร์
อี้สี่เองก็ถูกเรียกใช้งานเช่นกัน เดี๋ยวก็ไปหยิบจาน เดี๋ยวก็ให้ไปเตรียมข้าว ซึ่งนั้นไม่ใช่เื่ที่ยากเย็นนักแต่ก็หยุดมือไม่ได้ เตาในครัวถูกเปิดใช้ทั้งหมด เปลวไฟปรุงอาหารบนเตากำลังส่งเสียงคำราม เสียงของเครื่องผลิตไฟฟ้าทำงานอย่างต่อเนื่อง เสียงล้างหม้อและเสียงน้ำมันกำลังทอดอะไรบางอย่างดังขึ้นไม่เคยหยุด ภาพบรรยากาศการทำงานที่นี่ช่างมีชีวิตชีวาและอึกทึกครึกโครม แต่การเคลื่อนไหวของทุกคนกลับเป็ไปอย่างเป็ระเบียบเรียบร้อย
เชฟอาเฉียงกำลังทำอาหารอยู่ เขาเทเมนูนั้นลงไปในจาน และในขณะที่หยิบต้นหอมสีเขียวสับมาจำนวนหนึ่งและกำลังจะโปรยลงไปก็ต้องหยุดชะงัก “ใครซอยต้นหอม?” เสียงของเขาไม่ดังหรือเบา ฟังดูไร้อารมณ์ แต่ทั้งห้องครัวกลับเงียบเสียงลง และทุกคนต่างก็หยุดทำสิ่งที่กำลังทำอยู่ในมือทันที
“ฉันเองค่ะ” อี้สี่ยกมือขึ้นด้วยความกลัวเป็อย่างมาก
“มานี่สิ” เชฟอาเฉียงเรียก น้ำเสียงของเขาเรียบนิ่ง และไม่อาจมองอารมณ์บนใบหน้าออก อี้สี่วิ่งเหยาะๆ ไปอย่างรวดเร็ว แวบหนึ่งเธอกังวล กลัวว่าตัวเองจะถูกตบ
เชฟอาเฉียงโชว์ต้นหอมสับที่อยู่ในมือให้เธอดู “ใหญ่ๆ เล็กๆ ยังมีอีกหลายอันที่หั่นไม่ได้เป็ชิ้น นี่มันใช้ไม่ได้ คุณเอาไปโยนทิ้งถังขยะในครัวซะ” เสียงของเขาดังชัดเจน ทุกคนต่างก็กลั้นลมหายใจและตั้งสมาธิ บรรยากาศจึงเงียบมาก อี้สี่ััได้ว่าตัวเองได้รับสายตาดูถูกจากหลายๆ คนเล็กน้อย เธอเงยหน้าขึ้นมองที่ซ่งจื่อฉีราวกับกำลังขอความช่วยเหลือ ทว่าซ่งจื่อฉีเพียงเหลือบมองเท่านั้น ไม่พูดอะไรออกมาและยังคงควบคุมเครื่องรับออเดอร์ต่อไป
เวลา่นี้ภายในครัวคือชั่วโมงเร่งด่วน เพราะงานที่ยุ่งมากดังนั้นจึงไม่มีใครสนใจอารมณ์ของใครเลย วินาทีต่อมา ทุกคนยังคงเคลื่อนไหวทำงานของตัวเองต่อไป บรรยากาศพลันกลับมามีชีวิตชีวาอีกรอบ และเชฟอาเฉียงเองก็ได้ส่งเสียงดังขึ้นมาอีกครั้ง “ให้ตายเถอะ เฉินเจี้ยนฉวิน ซอยต้นหอมมาให้ฉันภายในสามวินาที” แล้วเขายังหยิบชามส่วนผสมขึ้นมาแล้วโยนไปที่เฉินเจี้ยนฉวินอีกด้วย
“บ้าเอ๊ย!” เฉินเจี้ยนฉวินรีบขยับตัวหลบอย่างรวดเร็ว ชามส่วนผสมตกลงไปบนพื้นพร้อมกับส่งเสียงดัง “ดีที่ไม่แม่น”
ทุกคนหัวเราะพร้อมกับความวุ่นวายยุ่งเหยิงที่เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง ราวกับว่าเมื่อกี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย
ทว่าเวลานี้ภายในใจของอี้สี่เริ่มรู้สึกไม่ดีขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่เพราะเชฟอาเฉียงฉีกหน้าเธอ แต่เป็เพราะตัวเธอไม่สามารถช่วยอะไรใครได้เลยต่างหาก ตอนนี้จึงเหมือนเธอเป็คนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับครัวนี้ เป็เพียงคนๆ หนึ่งที่ทำได้เพียงยืนอยู่ตรงมุมครัวเท่านั้นเอง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้