“เ้านี่ก็รูปโฉมดูดีเหตุใดจึงด่าคนได้ไม่น่าฟังนักล่ะ?” เมื่ออาจิ่วได้ยินคําพูดของปิงฉางเตียวก็เป็เดือดเป็ร้อนแทนกู้จิ่นเฉิงก่อนใครเขามองสีหน้าที่ไม่แปรเปลี่ยนของกู้จิ่นเฉิงก็ได้แต่รู้สึกว่าอาจิ่นช่างน่ารำคาาญเสียจริง คนอื่นด่าอะไรเขาก็ไม่พูดไม่จาสักคำเท้าขยับเล็กน้อยแล้วพุ่งเข้าหาปิงฉางเตียวผู้นั้น “หากคิดจะหาเื่อาจิ่นก็ข้ามศพข้าไปก่อนเถอะ!”
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้เข้าถึงตัวปิงฉางเตียวก็ถูกคนคนหนึ่งที่จู่ๆก็พุ่งออกมาขวางเอาไว้ เป็สตรีนางหนึ่งที่สวมเสื้อคลุมสีขาวตัวโคร่งบนหน้าสวมผ้าโปร่งผืนบางไว้ผืนหนึ่งแม้จะปกปิดใบหน้าไปครึ่งหนึ่งแต่ก็ดูออกได้ไม่ยากว่ารูปลักษณ์นั้นแสนจะงดงามอาจิ่วเกิดมาได้พบเจอกับใบหน้าของอวี๋เคอก็เคยชินไปแล้วเลยรู้ตัวว่ามีภูมิคุ้มกันต่อให้จะเจอกับใบหน้าที่งดงามอีกสักแค่ไหนแต่ในตอนนี้กลับอึ้งไปเล็กน้อยเสียนี่สตรีผู้นั้นไม่ได้มีเจตนาจะอาศัย่ชลมุนโจมตีเลยด้วยซ้ำเพียงแค่หยุดอาจิ่วเอาไว้เท่นั้น แล้วเอ่ยอย่างแ่เบาน้ำเสียงอ่อนโยนแต่กลับทุ้มต่ำกว่าสตรีทั่วไป
“ข้ามีเจตนาเดียวกันกับเ้าเช่นกันหากคิดจะหาเื่ท่านเ้าสำนัก ก็ข้ามศพข้าไปก่อนเถอะ”
อาจิ่วถอยหลังไปครึ่งก้าวดวงตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความสนใจ แล้วยกฝ่ามือขึ้นมาตรงหน้าอีกครั้งเปลวเพลิงสีสันสดใสสวยงามเปล่งประกายแสงอันเจิดจ้าในยามค่ำคืนอาจิ่วไม่มีทีท่าว่าจะโอนอ่อนให้แก่ผู้เป็สตรีแม้แต่น้อยย่ำฝีเท้าออกมาเป็การเยื้องกรายอันพิศวง แขนโบกสะบัดจากนั้นปราณไฟก็ก่อตัวเป็แส้เส้นหนึ่งอย่างรวดเร็วฟาดใส่สตรีนางนั้นอย่างดุดันและเฉียบคม
บนมือของหญิงสาวเองก็ว่องไวพิณโบราณถูกอุ้มไว้ในวงแขน แล้วใช้มือข้างเดียวกรีดกรายบนพิณอย่างรวดเร็วส่งคมดาบปราณสายต่อสายออกมาต้านทานแส้เปลวเพลิงสีแดงเอาไว้ การเยื้องกรายของฝีเท้านั้นเหนือชั้นกว่าอาจิ่วมากพริ้วไหวไม่หยุดนิ่ง ทําให้อาจิ่วฟาดแส้ใส่ลมติดกันอยู่หลายครั้ง
อวี๋เคอหา่เหมาะๆมองตรงไป แต่ก็ไม่ได้กังวลแทนอาจิ่ว อาจิ่วเพิ่งจะแปลงกายไปหมาดๆมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ยังต้องเรียนรู้ การต่อสู้กับสตรีจากสํานักฉางฉินครั้งนี้จะพลอยช่วยเพิ่มระดับความคุ้นเคยกับร่างกายมนุษย์ได้อย่างเหมาะเจาะด้วยพร์ของอาจิ่ว คาดว่าอีกไม่นานคงจะเข้าใจได้แจ่มแจ้ง
“อวี๋เคอ นี่เ้ากล้าวอกแวกหรือนี่?” เฉิงหยวนฟันกระบี่ออกไปและถูกต้านโดยหมัดของอวี๋เคอ เมื่อมองไปยังรอยยิ้มที่ฉายแววเยาะเย้ยของฝ่ายตรงข้ามไฟก็ลุกโหมในใจ แล้วเหวี่ยงดาบออกไปแทงเข้าที่คอของอวี๋เคออีกครั้งอีกมือหนึ่งก็ร่ายอาคมด้วยมือข้างเดียวจากนั้นพลังปราณก็กลายเป็พลังที่ไร้รูปโจมตีจุดสําคัญอื่นๆ ของอวี๋เคอ
“เฉิงหยวน แม้ว่าพลังบำเพ็ญของเ้าจะแข็งแกร่งและมีกระบวนท่าที่หลากหลาย ทว่ากลับไม่รอบคอบเลยสักนิดเ้าคิดหรือว่าลำพังแค่พลังปราณที่อ่อนด้อยเหล่านี้จะสามารถทําร้ายข้าได้? อวี๋เคอใช้หมัดของเขาป้องกันคมดาบและทําลายปราณแต่ละเส้นได้อย่างแม่นยํา และง่ายดายได้อย่างไร้ที่เปรียบเขายิ้มกริ่ม “เ้าคิดว่าข้าผู้นี้ได้รับาเ็แล้วจะอ่อนแอลงงั้นหรือ? เช่นนั้นเ้าก็ดูแคลนข้ามากเกินไปแล้วล่ะ”
อวี๋เคอเหวี่ยงหมัดออกไปอีกสองสามหมัดซัดใส่เฉิงหยวนจนถอยหลังไปหลายก้าว มือทั้งสองสร้างรอยประทับอย่างรวดเร็วแล้วปราณิญญาระหว่าง์และโลกเริ่มปั่นป่วนตามขึ้นมาม่านตาของเฉิงหยวนหรี่ลงเล็กน้อยรีบยกกระบี่ขึ้นเพื่อหวังจะทําลายการรอยประทับของอวี๋เคอแต่ความเร็วของอีกฝ่ายนั้นเร็วพอสมควร จนเกือบสามารถเห็นภาพบางส่วนบนมือดาบของเขาเพิ่งจะยื่นออกไปตรงหน้าอวี๋เคอได้หนึ่ง เมตรก็เหมือนถูกโคลนดูดลึกลงไปจนไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้อีก
สิ่งที่อวี๋เคอสร้างขึ้นก็คือภาพค่ายกลที่ปรากฏอยู่ในหัวจาก่เวลาอันน่าสิ่วน่าขวานที่สำนักฉิงชางในตอนนั้นแต่่เวลานี้ตัวเขาได้ลดความซับซ้อนของภาพค่ายกลลงไปดังนั้นแม้ว่าร่างกายจะได้รับาเ็ก็สามารถนำมันออกมาใช้ได้อย่างง่ายดายแล้วพลังของเขาไม่ได้มากมายเท่าตอนแรกแต่ก็เหลือเฟือสำหรับการรับมือกับเฉิงหยวนที่อยู่ตรงหน้าแล้ว
ความรู้สึกที่เป็ฝ่ายกุมชัยชนะนี้ทําให้อวี๋เคอรู้สึกภิรมย์ใจและยิ้มอย่างภาคภูมิใจมากยิ่งขึ้นจากนั้นบนมือจึงส่งพลังเพื่อนำภาพค่ายกลตรงเข้าปิดคลุมเฉิงหยวนในทันที
ตัวเฉิงหยวนสามารถรับรู้ได้ถึงภัยคุกคามของภาพค่ายกลนี้ที่มีต่อตนเองจนถึงกับรีบถอยร่นไป กระบี่ในมือเพิ่มขึ้นกว่าร้อยเล่มและก่อตัวเป็ข่ายกระบี่อันแ่าขึ้นตรงหน้าเขา พยายามป้องกันการโจมตีของอวี๋เคอเพียงแต่กระบี่กว่าร้อยเล่มนี้เป็เพียงการต้านทานไว้ชั่วคราวเท่านั้นและไม่อาจทานทนได้อีกต่อไป จนแตกกระจายไปตามๆ กันซึ่งนํามาด้วยแรงกระแทกอันมหาศาลสู่เฉิงหยวน ทำให้เขากระเด็นออกไปทันทีและถลาลงกับพื้นหลายเมตรถึงได้ถูกลูกศิษย์ภายใต้สังกัดรีบลุกลี้ลุกลนเข้ามาช่วยพยุงเอาไว้ทว่าใบหน้ากลับดูน่าสังเวชไปเรียบร้อยแล้ว
เมื่อกระอักเืออกมาครึ่งหนึ่ง เฉิงหยวนก็รู้สึกขวัญกระเจิงผู้ที่เผชิญหน้ากับอวี๋เคอในศึกแม่น้ำแห่ง์ตอนนั้นมีเพียงหร่วนสือจิ่วเท่านั้นและในตอนนั้นอวี๋เคอกับกู้จิ่นเฉิงต่อสู้แบบสองรุมหนึ่งจนทําให้เขากระอักเือย่างน่าอนาถเขาคิดว่าอวี๋เคอได้เปรียบที่มีกำลังพลเยอะกว่าจึงสามารถเอาชนะหร่วนสือจิ่วได้อย่างง่ายดายแบบนั้นแต่เมื่อตอนนี้ได้มาเผชิญหน้ากับคนผู้นี้จริงๆเขาถึงได้กระจ่างถึงความน่ากลัวของอีกฝ่ายหากคืนนี้เหล่าผู้ทรงคุณวุฒิเ่าั้มาไม่ทันลำพังตนเองกับปิงฉางเตียวก็คงจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอวี๋เคออย่างแน่นอน
เขามองไปยังร่างสีดําที่กําลังต่อสู้กับศิษย์แดนเซียนทางฝั่งนั้นแม้จะเห็นได้ชัดว่าฝั่งแดนปีศาจจะมีคนน้อย แต่คนสิบกว่าคนนี้ล้วนเป็ยอดฝีมือสามารถพลิกสถานการณ์ได้อย่างง่ายดาย
หอสิงลี่? ศิษย์ที่มีพลังขั้นเปลี่ยนิญญาระดับต่ำสุด? มีภาคีที่แข็งแกร่งเช่นนี้ในแดนปีศาจั้แ่เมื่อไรกัน?
ครุ่นคิดอยู่หลายตลบในใจจากนั้นจึงมองไปยังอวี๋เคออีกครั้งตอนนี้ใบหน้าของเฉิงหยวนเต็มไปด้วยความประหลาดใจและนึกถึงคําพูดที่บรรพบุรุษเคยกล่าวไว้ว่า “แดนปีศาจมีอวี๋เคอดังนั้นจึงรวมเป็หนึ่งเดียว ต้องยอมรับว่าเื่นี้เป็สิ่งที่แดนเซียนไม่สามารถเอาชนะได้”
“ผู้เยาว์เฉิงหยวน ตอนนี้เ้าแพ้แล้วเ้าว่าข้าจะผ่านแม่น้ำสายนี้ไปได้หรือยัง?”
เสียงของอวี๋เคอถูกห่อหุ้มด้วยพลังปราณและกระจายไปทั่วริมฝั่งแม่น้ำแห่ง์ผู้คนที่ยังต่อสู้อยู่ต่างวางอาวุธในมือลงอย่างช่วยไม่ได้ กู้จิ่นเฉิงและปิงฉางเตียวเองก็ต่อสู้กันมาค่อนวันแล้วแต่ก็ยังตัดสินผลแพ้ชนะไม่ได้ตอนนี้จึงวางมือเช่นกัน และรอฟังว่าเฉิงหยวนผู้นี้จะกล่าวว่าอย่างไร
เฉิงหยวนรู้ว่าตอนนี้ตนเองไร้ความสามารถที่จะสู้ต่อแล้วจึงตอบกลับไปว่า “อวี๋เคอ ข้าแพ้แล้วล่ะ หากเ้าอยากจะข้ามแม่น้ำไปผู้อื่นข้าไม่ได้สนใจ แต่ตระกูลเฉิงจะไม่ขวางทางเ้าอย่างแน่นอนดังนั้นหวังว่าเ้าจะไม่ทําร้ายลูกหลานตระกูลเฉิงของข้า”
อวี๋เคอเลิกคิ้ว และชื่นชมการเอาตัวรอดของเฉิงหยวนคนผู้นี้เป็ผู้ที่รู้กาลเทศะคนหนึ่งในศึกแม่น้ำแห่ง์ตอนนั้นและตอนนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนไปสักนิด ช่วยลดปัญหาของตนไปได้มากมายไม่อย่างนั้นเขายังไม่แน่ใจจริงๆ ว่าจะต้องสู้ต่อไปอีกหรือไม่ทางฝั่งแดนปีศาจจะพลาดพลั้งฆ่าคนหรือไม่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ได้อยากจะฆ่าคนเพื่อข้ามแม่น้ำไปแต่เดิมอยู่แล้ว
หลังจากคิดได้เช่นนั้น อวี๋เคอก็ตบมือไปมาแล้วยิ้มกล่าวว่า “ท่านผู้นําตระกูลเฉิงพูดได้ดี”
เขากวาดตามองไปยังเหล่าสาวกของหอสิงลี่และกล่าวต่อว่า “ทุกคนได้ยินสิ่งที่ผู้นําตระกูลเฉิงกล่าวแล้วนะอีกประเดี๋ยวหากต่อสู้กันอีกครั้งก็ระมัดระวังคนที่สู้ด้วยให้ดีจำไว้ว่าจงหลีกเลี่ยงศิษย์ตระกูลเฉิง”
คําพูดนี้ของเขามีนัยยะบางอย่าง เฉิงหยวนรับปากว่าจะไม่ขัดขวางไม่ให้พวกเขาข้ามแม่น้ำไปเขาจึงรามือจากลูกหลานตระกูลเฉิง แล้วหันไปสู้กับคนจากสํานักอื่นแน่นอนว่าเมื่อแดนเซียนขาดตระกูลเฉิงไปพละกำลังก็จะลดลงไปอย่างมากหากต้องต่อสู้กับศิษย์แดนปีศาจที่มีพลังขั้นเทพแปลงกายระดับต่ำสุดจำนวนสิบกว่าคนนี้จริงๆคงยากที่จะรับรองว่าจะไม่ตายจากาแได้
ชั่วขณะนั้นทางฝั่งแดนเซียนก็เกิดความโกลาหลขึ้นสถานการณ์เกิดชลมุนขึ้นมา
ปิงฉางเตียวเค้นเสียงเ็าแล้วเก็บพิณโบราณที่อยู่ตรงหน้าไป แล้วยกมือปิดปากหาวหนึ่งที หางตาหลุบลงเล็กน้อยแล้วหันกลับไปทันที พูดกับศิษย์หญิงที่เรียงแถวกันกลุ่มนั้นว่า
“ไปกันเถิด กลับไปที่ตําหนักฉางฉิน”
เมื่อพูดจบก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้จึงหันไปมองหญิงสาวชุดขาวที่ต่อสู้กับอาจิ่วเมื่อครู่แล้วยิ้มออกมาแบบที่หาดูได้ยาก พลางพูดว่า “เสี่ยวเหยี่ยนพวกเราไปกันเถอะ”
หญิงสาวโค้งคํานับปิงฉางเตียวอย่างอ่อนช้อยและตอบกลับเสียงแ่เบาจากนั้นก็เดินตามขบวนทัพอันยิ่งใหญ่เกรียงไกรของสำนักฉางฉินไปเหลือไว้เพียงเงาแผ่นหลังอันอรชรให้กับทุกคน
“หรือว่าสตรีนางเมื่อครู่นั้นจะเป็ธิดาเฉียนเหยี่ยนจากสำนักฉางฉิน?”
ไม่รู้ว่าใครในบรรดาศิษย์แดนเซียนเอ่ยประโยคนี้ออกมาทุกคนล้วนอุทานออกมาด้วยความใสายตาที่มองไปยังแผ่นหลังของหญิงสาวผู้นั้นร้อนแรงขึ้นหลายเท่า
“ธิดาเฉียนเหยี่ยนหรือนี่ ช่างงดงามเหลือเกิน!เผยเพียงใบหน้าเพียงครึ่งเดียวแต่ท่วงท่ากลับสง่างามดั่งเซียน!”
เมื่อได้ยินศิษย์แดนเซียนเกิดอาการคลั่งสตรีอวี๋เคอก็ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ทําไมเขาถึงไม่รู้สึกว่าเฉียนเหยี่ยนนางนั้นงดงามถึงขั้นฟ้าถล่มโลกทลายอะไรเลย? เมื่อครู่ที่เขาหาจังเหมาะเพื่อมองการประลองระหว่างอาจิ่วกับสตรีนางนั้นก็ไม่ได้พิเศษอะไรนักหนาเลยนะ? และหากหญิงสาวนางนี้งดงามถึงขั้นนั้นใน “มหันตภัยแห่งแดนเซียนปีศาจก็คงจะต้องถูกซ่งฉียวนรับตัวเข้าสู่ฮาเร็มอย่างแน่นอนเขาจําไม่เห็นได้เลยว่าในบรรดาหญิงสาวทั้งหลายที่เขาเขียนมีคนที่ชื่อเฉียนเหยี่ยนด้วย
เมื่ออาจิ่วไม่มีคู่ต่อสู้แล้วจึงวิ่งกระเตาะกระแตะกลับไปหาอวี๋เคอ และมองไปยังอาการเหม่อลอยที่นานที่จะเห็นของเขาขณะที่มองไปยังแผ่นหลังของเฉียนเหยี่ยนนางนั้นจากนั้นจึงเบ้ปากและพูดว่า
“นายท่าน ท่านมองสตรีนางนั้นทําไมหรือ? ถ้าให้ข้าพูดต่อให้นางงดงามกว่านี้จะงามเกินท่านได้หรือ? ไม่เข้าใจศิษย์แดนเซียนที่หัวโบราณเหล่านี้เลยจริงๆว่ากําลังคิดอะไรกันอยู่แค่เผยใบหน้าเพียงครึ่งเดียวก็ทําให้พวกเขาหลงใหลเคลิ้บเคลิ้มแล้วหรือ? ไม่เข้าเหตุผลเลยจริงๆ”
อวี๋เคอถูกคําพูดของอาจิ่วขัดจังหวะความคิดส่ายหัวไปมาอย่างจนปัญญา แววเขินอายฉายอยู่บนใบหน้าอย่างช่วยไม่ได้จากนั้นจึงเอื้อมมือออกไปลูบผมของอาจิ่วเพื่อจะเอาคืน แล้วกล่าวว่า
“ข้าเคยพูดไปกี่ครั้งแล้วว่าหากจะบรรยายรูปลักษณ์ของข้าจะต้องใช้คําว่า “หล่อ” ส่วนคําว่า “งดงาม” น่ะใช้บรรยายรูปลักษณ์ของสตรี”
“อ๊า อ๊า อ๊า รู้แล้ว รู้แล้ว!ผมที่ข้าเพิ่งจัดแจงอย่างดีเมื่อเช้าถูกท่านขยี้เละหมดแล้ว!”
เมื่อได้ยินอาจิ่วอ้อนวอนอวี๋เคอจึงวางมือที่กำลังยี้ผมของเขาลง กระแอมไอเบาๆ หนึ่งที มองไปทางด้านแดนเซียนแล้วถามว่า
“สํานักฉางฉินช่างตรงไปตรงมาเสียจริงเช่นนี้ก็ช่วยประหยัดเวลาของข้าได้แล้ว ข้าจะถามอีกครั้งตอนนี้ยังมีใครจากเหล่าผู้ฝึกตนทุกคนในที่นี้อีกหรือไม่ที่อยากจะขวางทางข้าข้ามแม่น้ำ?”
เมื่อฝั่งแดนเซียนเห็นว่าเฉิงหยวนยอมจำนนปิงฉางเตียวจึงจากไปอย่างง่ายดายเช่นนี้ ในใจเกิดความคิดที่จะถอยออกไปนานแล้วเมื่อไม่กี่วันก่อนพวกเขาได้รับข่าวจากทางสํานักฉิงชางว่าอวี๋เค่อได้รับาเ็สาหัสและกําลังจะออกจากแดนเซียนจึงีบไล่ตามมาทว่าตอนนี้กลับพบว่าตรงไหนคือสัญญาณของอาการาเ็สาหัสที่อวี๋เคอได้รับ?
เห็นได้ชัดว่าข้อมูลของสํานักฉิงชางมีนั้นเป็เท็จทว่าเมื่อคิดย้อนดูแล้ว การขัดขวางอวี๋เคอที่แม่น้ำแห่ง์ในครั้งนี้ แต่สํานักฉิงชางกลับไม่ได้ส่งคนมาที่นี่เพราะศิษย์ในสํานักได้รับาเ็ไม่ว่าเหตุผลนี้จะเป็ความจริงหรือเท็จการที่สํานักฉิงชางทําเช่นนี้ก็ทําให้ผู้คนอดคิดมากไม่ได้
หนึ่งสำนัก สามพรรค และหกตระกูลใหญ่ในโลกเซียนแต่ละแห่งก็เห็นแก่ผลประโยชน์ของก๊กตนเป็หลัก ล้วนไม่ยินยอมที่จะเป็ฝ่ายเสียเปรียบดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีความเป็น้ำหนึ่งใจเดียวกันตอนนี้ทั้งสองสำนักชั้นนําประกาศว่าจะไม่ขัดขวางอวี๋เคออีกต่อไปพวกเขาคงไม่โง่พอที่จะประทะเข้ากับปากกระบอกปืน เมื่อครุ่นคิดได้แจ่มแจ้งในใจแล้วคนกลุ่มหนึ่งจึงส่งสายตาให้แก่กัน และถอยร่นไปด้านหลังเพื่อเปิดทางเดินอันกว้างขวางทางหนึ่งให้กับอวี๋เคอและแสดงเจตจำนงของตนอย่างชัดเจน
ใบหน้าของอวี๋เคอนิ่งสงบ แต่ในใจกลับยิ้มเบิกบานไม่คิดเลยว่าจะจัดการได้ง่ายถึงเพียงนี้เขามองไปยังกู้จิ่นเฉิงและศิษย์ของหอสิงลี่สิบกว่าคนที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาอย่างนอบน้อมอยู่ก่อนแล้วคลี่มุมปากยกขึ้น แล้วแสร้งพูดขรึมเป็พิเศษว่า
“ตามข้ากลับไปที่วัง”
จากนั้นก็เดินผ่านหน้าศิษย์จากแดนเซียนหลายร้อยคนที่ไม่ได้รับาเ็แม้แต่น้อยออกจากแดนเซียนไปอย่างยิ่งใหญ่เกรียงไกร
ครั้งนี้จึงกลายเป็ความอัปยศของแดนเซียน