เสี้ยวเหวินตี้พยักหน้าเห็นด้วยกับคำกล่าวของลูกสะใภ้ “ถูกต้อง แผ่นดินของตระกูลโอวหยางจำต้องอาศัยการร่วมแรงร่วมใจจากคนตระกูลโอวหยางและบรรดาผู้ที่จงรักภักดีต่อราชวงศ์ผู้ปกครองหนานเย่า เราถึงจะสามารถรุ่งเรืองต่อไปได้เป็พันเป็หมื่นปี ดังที่อาซีว่า ในฐานะที่เป็ลูกสะใภ้ของตระกูลโอวหยาง แน่นอนว่าก็นับเป็ส่วนหนึ่งของตระกูลโอวหยาง เพราะฉะนั้นการปกป้องประชาชนของหนานเย่า ให้ไพร่ฟ้าสามารถดำรงชีวิตอยู่อย่างเป็สุขได้ก็ถือเป็สิ่งที่สมาชิกในตระกูลโอวหยางล้วนต้องกระทำ” พูดจบ เขาก็มองไปยังอวิ๋นซีและจวินเหยียน “หนิงอ๋องและชายาหนิงอ๋องปกครองดูแลหานโจวได้เป็อย่างดี นับว่ามีผลงานที่น่าชื่นชม พวกเขาทำให้ประชาชนได้ดำเนินชีวิตอย่างเป็สุข ในใจของผู้คนก็จะยิ่งเชื่อมั่นในราชสำนัก การได้ใจของชาวประชาก็จะทำให้หนานเย่าเรายิ่งเจริญรุ่งเรือง”
เมื่ออวิ๋นซีได้ยิน ในใจไม่รู้ว่ามีความรู้สึกเช่นไร สำหรับเสี้ยวเหวินตี้ผู้นี้ เื่ที่ในใจเขายังมีความเป็ห่วงเป็ใยชาวประชาหนานเย่าอยู่ นางเองก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ เขานับเป็กษัตริย์ผู้ทรงคุณธรรมของผู้คนทั่วหล้า เพียงแต่มิใช่กษัตริย์ผู้ทรงคุณธรรมของตระกูลเฉียว และยิ่งไม่ใช่กษัตริย์ผู้ทรงคุณธรรมของเหล่าทหารกล้าที่ต้องสละเืเนื้อเพื่อปกป้องหนานเย่าร่วมกับตระกูลเฉียว
ชีวิตนับพันนั้น บริสุทธิ์เพียงใด
คิดถึงตรงนี้ นางก็ให้รู้สึกแสบจมูกขึ้นมา
“ฝ่าาทรงพระปรีชา ทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นปีหมื่นหมื่นปี”
กระทั่งอวิ๋นซีสามารถดึงสติกลับมาได้อีกครั้งก็เห็นคนเหล่านี้คุกเข่าลงไปบนพื้นกันหมดแล้ว จวินเหยียนเองก็ดึงมือนางให้ลุกขึ้น ค้อมกายคารวะ อวิ๋นซีเห็นเช่นนั้นก็เหงื่อตก เหตุใดตนถึงมานั่งใจลอยเอายามนี้ ทั้งยังคิดถึงเื่เก่าก่อนของตระกูลเฉียวอีก
ชั่วขณะนั้นแผ่นหลังของนางก็ชื้นเหงื่อเปียกชุ่ม เื่ของตระกูลเฉียวถือเป็เื่ต้องห้ามที่ทุกคนจะไม่พูดถึง ดังนั้น หากในยามที่นางกำลังขบคิดอย่างเลื่อนลอยอยู่นั้น ถูกคนชี้นำล้วงเอาความคิดของตนออกมา ก็คงถึงคราวต้องจบกัน
นางได้แต่พร่ำบอกตนเองอยู่ในใจ ต้องจำไว้ให้ดี ครั้งหน้าจะเป็เช่นนี้อีกไม่ได้
เสี้ยวเหวินตี้มองคนด้านล่างที่พากันคุกเข่าให้ เขาก็โบกมือไหวๆ แล้วพูดขึ้น “ลุกขึ้นเถอะ จะกินข้าวกันสักมื้อยังต้องคุกเข่า ไม่สนุกเลย” เมื่อพูดจบ เขาก็ลุกขึ้นยืน เดินนำถงไห่จากไป
ฮองเฮามองเสี้ยวเหวินตี้ที่จากไปทั้งอย่างนั้น ก่อนจะอดถลึงตามองอวิ๋นซีไปทีหนึ่งไม่ได้ เ้าเด็กสมควรตายนี่มักจะชอบพูดจาเหลวไหล สร้างเื่ตลอด ปกติแล้วสตรีก็มีหน้าที่ให้กำเนิดเลี้ยงดูบุตร ปฏิบัติตามหลักเตือนหญิง [1] และคุณธรรมหญิง [2] ไม่ใช่วันๆ เอาแต่พูดเื่อะไรไร้สาระ
อวิ๋นซีทำเป็มองไม่เห็นท่าทางเกรี้ยวกราดของฮองเฮา นางทำเพียงก้มหน้าก้มตาสงบเสงี่ยมยืนส่งบิดาของสามีอยู่ด้านข้าง ส่วนจิตใจของฮองเฮา ไม่ว่าคนจะคิดเช่นไรก็ไม่เคยอยู่ในขอบเขตที่นางจะต้องคำนึงถึง
แรกเริ่มเดิมทีนางกับฮองเฮาก็ผูกพยาบาทกันไปนานแล้ว ถึงขนาดที่ว่า วันหน้าอาจต้องปะทะกันด้วยดาบด้วยทวน ดังนั้น นางย่อมจะไม่สร้างความเหนื่อยยากให้ตัวเองด้วยการแย้มยิ้มประจบประแจงศัตรูที่อยู่ในที่ลับของตนผู้นี้
อาหารมื้อแรกหลังจากที่มาถึงลานล่าสัตว์ของเหล่าราชวงศ์ก็จบลงอย่างน่ากระอักกระอ่วนเช่นนี้ ตอนที่กลับมาถึงเรือนเล็ก อวิ๋นซีก็เข้าครัวด้วยตนเอง นางตุ๋นเนื้อหมูป่า ทำเนื้อย่าง และบะหมี่ให้จวินเหยียนกับหวานหว่าน
ในเวลาไล่เลี่ยกัน ตอนที่หลินหลานซินและเชี่ยนเอ๋อร์จวิ้นจู่กลับมาถึงเรือนเล็ก ในห้องครัวเล็กของเรือนก็กำลังอบอวลด้วยควันที่ส่งกลิ่นหอมฉุย เชี่ยนเอ๋อร์มองไปยังหลินหลานซิน ดวงตาเปล่งประกาย “ซินเอ๋อร์ คืนนี้เ้ากินอาหารเข้าไปไม่มาก ประเดี๋ยวข้าจะแวะไปดูว่ามีใครอยู่ในห้องครัว แล้วจะให้นางช่วยเตรียมของกินให้เ้าสักหน่อย”
ในฐานะที่เชี่ยนเอ๋อร์จวิ้นจู่แก่กว่าหลินหลานซินอยู่สองปี ถึงแม้จะยังรู้จักกันได้ไม่กี่วัน แต่นางก็คิดว่าตนคือพี่สาวคนหนึ่ง จึงต้องคอยกำชับตัวเองอยู่ตลอดว่าต้องดูแลน้องหญิงหลินหลานซินผู้นี้ให้ดี
หลินหลานซินจับมือเชี่ยนเอ๋อร์ไว้ นางแย้ง “ไม่ต้องหรอกเชี่ยนเอ๋อร์ ข้าไม่หิว พวกเรากลับไปพักผ่อนกันเถอะ”
เชี่ยนเอ๋อร์ไม่รอช้ารีบถามกลับด้วยความสงสัย “เหตุใดจึงต้องรีบไปพักผ่อนด้วยเล่า คืนนี้เ้ากินเนื้อย่างไปแค่ไม้เดียว ตกกลางคืน หากไม่กินอะไรรองท้องสักหน่อยจะหิวจนนอนไม่หลับเอานะ เ้าอย่าห้ามข้าเลย ข้าจะไปนำของกินมาให้เ้าเอง”
เชี่ยนเอ๋อร์ไม่ได้รั้งรอท่าทีใดๆ ของอีกฝ่าย นางพูดจบก็เดินไปทางห้องครัว ทว่า ตอนที่เข้าไปก็บังเอิญเห็นอวิ๋นซีกำลังตักบะหมี่ร้อนๆ ใส่ในถ้วยแต่ละใบอยู่ นางสูดดมกลิ่นหอมๆ นั้นเข้าเต็มปอด ก่อนจะค้นพบว่าท้องของตนยังใส่อะไรลงไปได้อีกไม่น้อย
นางกลืนน้ำลาย เดินเข้าไปถาม “ช่างเป็บะหมี่ที่หอมเหลือเกิน ยังมีอีกหรือไม่ ให้ข้าสักหน่อยได้หรือไม่? ”
สาวใช้เื้ัเชี่ยนเอ๋อร์ค่อยๆ หันกายไปอย่างเงียบๆ ด้วยไม่อยากรู้จักผู้เป็นายคนนี้ของตน นางเพิ่งตระหนักได้ว่า ทุกครั้งที่คุณหนูเจอของอร่อยเข้า ศักดิ์ศรีที่มีก็คล้ายจะหล่นหายไปในทันที
อวิ๋นซีหมุนกายกลับมามองแม่นางน้อยที่มีดวงหน้ากลม หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู “เ้าอยากจะกินหรือ? ”
เชี่ยนเอ๋อร์รีบพยักหน้า “อยาก อยาก คืนนี้ข้ายังกินไม่อิ่ม ยังสามารถกินบะหมี่ได้อีกถ้วย”
อวิ๋นซีมองเชี่ยนเอ๋อร์อย่างนึกสนุก สตรีตรงหน้านี้เป็พระธิดาเพียงพระองค์เดียวขององค์หญิงสามที่แต่งไปยังเมืองเฟิง ครั้งนี้คนกลับมาเมืองหลวงก็เพื่อมาร่วมงานเฉลิมพระชนมพรรษาของฮ่องเต้แห่งหนานเย่า สำหรับนิสัยของเชี่ยนเอ๋อร์นี้ อวิ๋นซีเคยให้คนไปสืบมาหมดแล้ว ภายใต้ความเปิดเผยโหวกเหวกนั้นยังมีความงุนงงเงอะงะแฝงอยู่ แต่อย่างไรก็นับเป็แม่นางที่มีจิตใจดีงามผู้หนึ่ง
“มีอีกแค่ถ้วยเดียวเท่านั้น” นางมองเชี่ยนเอ๋อร์ จากนั้นจึงพูดต่อ “อีกทั้ง ข้าผู้นี้ก็มีนิสัยแปลกประหลาด ของที่ข้าทำขึ้นด้วยตนเองจะให้แค่คนที่ข้ามองแล้วชอบใจกินเท่านั้น”
เชี่ยนเอ๋อร์มองอวิ๋นซีด้วยท่าทีที่คล้ายจะปวดหัวเล็กน้อย “เช่นนั้น ท่านมองข้าแล้วไม่ชอบใจอย่างนั้นหรือ? ”
นางรู้สึกว่าพี่หญิงตรงหน้าผู้นี้มีใบหน้างดงาม ทั้งยังดูคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่มาก ถึงกระนั้นนางก็จำไม่ได้ว่าเคยไปรู้จักมักจี่ หรือพบเจอคนคนนี้มาจากที่ใด? นิสัยเงอะงะงุนงงของเชี่ยนเอ๋อร์กำลังกำเริบอีกแล้ว นางคิดอยู่นานก็ยังคิดไม่ออกว่า สตรีตรงหน้าเป็ใคร
สาวใช้ที่ตามติดอยู่ด้านหลังทนมองต่อไปไม่ได้ นางรีบขึ้นหน้าไปพูด “บ่าวคารวะชายาหนิงอ๋องเพคะ”
เมื่อได้ยินคำว่า ชายาหนิงอ๋อง ในที่สุดเ้าตัวงุนงงน้อยก็ดึงสติกลับมาได้ นางกะพริบตา ส่งยิ้มหวานให้ แล้วเอ่ยถาม “ท่านก็คือพระชายาของญาติผู้พี่รองหรือ? ”
อวิ๋นซีพยักหน้า “หากว่าญาติผู้พี่รองที่เ้าพูดถึงคือหนิงอ๋องละก็ เช่นนั้นข้านี่แหละพระชายาของเขา” แท้ที่จริงอวิ๋นซีเพียงคิดว่าหยอกล้อแม่นางน้อยเล่นสักหน่อยก็สนุกดี แต่จู่ๆ นางกลับไม่อาจหักใจให้แม่นางน้อยที่ใช้ตากลมโตจดจ้องตนอยู่นี้ถูกหลินหลานซินที่มากเล่ห์หลอกใช้เอา อวิ๋นซีจึงคิดว่าวันนี้ตนควรจะมีเมตตา เป็คนดีสักหน่อย ช่วยฉุดดึงเด็กน้อยที่กำลังจะเดินตกลงไปในหุบเหวลึกผู้นี้ให้กลับขึ้นมา
นางยกบะหมี่มาถ้วยหนึ่ง จากนั้นก็วางลงบนโต๊ะเล็กๆ ในครัว ยิ้มพูด “เรียกข้าสักคำว่าพี่สะใภ้รอง แล้วบะหมี่ถ้วยนี้ก็จะเป็ของเ้า”
เชี่ยนเอ๋อร์ถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ “จริงหรือ? ”
“จริงแท้แน่นอน” อวิ๋นซีมองแม่นางน้อยที่ดวงหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้น นางพยักหน้าอย่างจริงจัง
เชี่ยนเอ๋อร์ยิ้มมองนางไปทีหนึ่ง ในใจคิดว่าพี่สะใภ้รองผู้นี้งดงามจริง แต่เมื่อเทียบกับความงามนี้แล้วดูเหมือนว่า ใจนางจะเอนเอียงไปที่ความอร่อยมากกว่า นางเห็นอวิ๋นซีหมุนกายไปยกเนื้ออีกถ้วยที่หอมกรุ่นไม่แพ้กันมาวางลงบนโต๊ะก็อดไม่ได้ให้ต้องกลืนน้ำลายอีกเอื้อกใหญ่ ยิ้มถาม “พี่สะใภ้รอง นี่ก็ให้ข้าหรือ? ”
อวิ๋นซีพยักหน้า “ใช่แล้ว อันนี้ก็ให้เ้า”
“เช่นนั้น ข้าขอยกอาหารเหล่านี้กลับไปกินที่ห้องได้หรือไม่เ้าคะ? ” ถึงแม้นางจะอยากกินมาก แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่า คืนนี้ตัวนางกินเนื้อย่างไปเยอะแล้วก็อดเป็ห่วงหลานซินที่แทบจะไม่ได้กินอะไรไม่ได้ หากให้เทียบกับตน หลานซินควรจะเป็คนที่ได้กินบะหมี่ถ้วยนี้มากกว่า
เมื่อได้ยินคนพูดเช่นนี้ อวิ๋นซีก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ “ไม่ได้ ใครจะรู้ว่า เมื่อเ้านำบะหมี่ถ้วยนี้กลับไปแล้วจะยกให้ผู้อื่นกินหรือไม่ ข้าบอกเ้าแล้ว ของที่ข้าทำเองกับมือจะให้แค่คนที่ตนมองแล้วชอบใจกินเท่านั้น”
เชี่ยนเอ๋อร์พูดเสียงเบา “พี่สะใภ้รอง อันที่จริงหลานซินเองก็เป็คนที่ดีมากๆ คนหนึ่งนะเ้าคะ” ถึงแม้นางจะเงอะงะไปสักหน่อย แต่ก็ไม่ได้โง่ย่อมต้องรู้ว่า ผู้อื่นที่พี่สะใภ้รองหมายถึงก็คือหลานซินที่พักอยู่กับนางนั่นเอง
————————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] เตือนหญิง(女戒)เป็วรรณกรรมสอนหญิงเื่แรกๆ ของจีนที่ยึดตามหลักปรัชญาขงจื๊อ
[2] คุณธรรมหญิง(女德)หมายถึง ข้อกำหนดด้านคุณธรรมที่สตรีที่ออกเรือนแล้วพึงมี