ตอนที่ 11
การถ่ายทำที่ทะเลไม่เป็ไปตามคาดเท่าไหร่นักเพราะว่าดันมีพายุเข้ากะทันหันในวันที่ 3 ฝนตกทั้งวันเลยจึงทำให้วันนั้นทั้งวันออกไปถ่ายข้างนอกไม่ได้ วันต่อมาก็เหมือนว่าหยุดแต่ก็ตกลงมาอีก ตกๆ หยุดๆ ก็ทำให้ถ่ายไม่ได้ ปัณณวีร์ ชา ผู้กำกับและผู้ช่วยต่างก็มานั่งพูดคุยและปรับเปลี่ยนสถานที่กันหน่อย เพราะหากว่าวันนี้ยังถ่ายไม่ได้อีกนั้นอาจจะทำให้ต้องอยู่ต่อจากที่วางแพลนเอาไว้ ซึ่งนักแสดงบางคนก็มีคิวงานอื่นรออยู่แล้ว อย่างเช่นศิลาที่กลับไปก็ต้องไปถ่ายละครอีกเื่หนึ่ง
"งั้นเปลี่ยนมาถ่ายตรงสระว่ายน้ำแทนดีไหมครับ มุมไกลก็มองเห็นทะเลอยู่ เราถ่ายมุมนี้ไว้ก่อนเผื่อว่าฝนไม่หยุดให้เรา" เกี่ยวกับสภาพอากาศฟ้าฝนนั้นไม่มีใครกำหนดได้ มันคือปัญหาที่ไม่สามารถควบคุมได้เลยเพราะฉะนั้นต้องเป็ตัวเราที่เปลี่ยนเอง
"ได้นะฉากนี้ วันนี้ถ่ายฉากนี้ก่อนก็ดีอย่างน้อยจะได้เหลือน้อยลง ที่เหลือต้องถ่ายกับทรายจริงๆ พรุ่งนี้น่าจะทันอยู่" เพราะพรุ่งนี้จะเป็วันปิดกล้องแล้วตามกำหนดเดิม และมีการเลี้ยงฉลองกันก่อนเดินทางกลับในตอนเช้า
เมื่อตกลงกันได้แล้วจึงเริ่มให้ทีมงานเตรียมอุปกรณ์ เวลาเกือบๆ สี่โมงเย็นก็เหมือนฟ้าฝนเป็ใจหยุดตกไป ท้องฟ้าสว่างไม่มีเมฆฝนอีกจึงทำให้เริ่มการถ่ายทำได้ก่อนที่แสงของพระอาทิตย์จะหมดไป
"เปื้อนหมดเลยค่ะ" หลังจากศิลาถ่ายซีนที่ต้องมีฉากสู้กันบนพื้นทรายเสร็จก็มานั่งทั้งอย่างนั้นเพราะคิดว่าเขาอาจจะได้ถ่ายเพิ่มอีก นับดาวถือวิสาสะใช้ผ้าเช็ดหน้าปัดทรายที่แก้มให้ศิลา ศิลาจึงเบี่ยงหลบแล้วจับข้อมืออีกฝ่ายไว้
"ทำอะไรน่ะ" ผู้กำกับปัณณวีร์ที่นั่งอยู่ตรงนั้นละสายตาจากจอมอนิเตอร์แล้วมองมาที่ทั้งสองคน นับดาวมองทั้งสองคนก่อนจะตอบศิลา
"ดาว ดาวแค่จะเช็ดทรายออกให้ค่ะ มันเปื้อนที่แก้มพี่ศิลา" ศิลาปล่อยข้อมือเธอก่อนจะใช้หลังมือปัดออก
"ไม่เป็ไร ขอบใจ" ปัณณวีร์มองนับดาวที่ยิ้มเจื่อนๆ
"หนูดาวนี่ใส่ใจศิลาดีจริงๆ นะ นี่ถ้าไม่รู้ก็คงจะเชื่อข่าวคู่จิ้นเป็คู่จริงแล้วนะเนี่ย" คำแซวของผู้กำกับทำเอาศิลาลอบกลืนน้ำลายแล้วเหลือบมองปัณณวีร์เล็กน้อยดูสีหน้าของคนพี่
แม้จะรู้ว่ามันคือกระแสคู่จิ้นและทำก็เพื่อโปรโมทละคร แต่ปัณณวีร์รู้สึกว่ามันมากกว่าเื่อื่นๆ ที่ศิลาเคยแสดงนัก กับคนนี้ดูเหมือนคนจะเชียร์ให้เป็คู่จริงมากกว่าคู่จิ้น และบุคคลสำคัญที่เชียร์เลยก็คือกนก ผู้เป็ทั้งแม่ของศิลา และเป็เ้าของช่อง เจทีเอ็น เอ็นเตอร์เทนเมนท์
"ไม่ใช่หรอกค่ะ" นับดาวตอบด้วยน้ำเสียงปนเขินอายเล็กน้อย ศิลาจึงพูดแทรกขึ้นมาเพื่อเปลี่ยนประเด็น
"ใช้ได้ไหมครับผู้กำกับ"
"อ่อจริงสิ" ผู้กำกับกวักมือเรียกให้ศิลาเข้าไปดูวิดีโอที่ถ่ายเอาไว้ก่อนหน้า ให้ดูว่าต้องปรับตรงไหน นับดาวเมื่อถูกเมินใส่จึงเดินคอตกกลับไปหาเจน ผู้จัดการส่วนตัวของเธอ
ปัณณวีร์พ่นลมหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะหยิบน้ำขึ้นมาเพื่อดื่มแต่กลับพบว่าน้ำหมดขวดแล้ว ครั้นจะลุกไปเอาก็มีขวดใหม่ยื่นมาให้พอดี เป็ศิลาที่ยื่นให้
"ขอบใจนะ" ปัณณวีร์บอกแค่นั้นก่อนจะรับไปเปิดดื่มก็พบว่ามันถูกเปิดไว้ให้แล้วจากคนที่ยื่นมาให้นั่นแหละ
"ทำไมเขาดูไม่สนใจดาวเลยล่ะคะพี่เจน" นับดาวนั่งใต้เต็นท์หลบแดดยามบ่ายแก่ๆ
"พี่บอกแล้วไงคะ ว่าเขาดูไม่น่าจะชอบใครอ่ะ" เจนใช้ทิชชูซับตามโครงหน้าให้กับนับดาว ดูแลอย่างดีเพราะเธอได้รับการจ้างจากพิษณุให้มาดูแลนับดาวเพียงผู้เดียว ไม่เหมือนผู้จัดการของดาราส่วนใหญ่ที่มักมีเด็กในการดูแลหลายคน
"แต่หลายเดือนที่ผ่านมาพี่ก็เห็นไม่ใช่หรอ เขาชอบดาวแต่แสดงออกไม่เป็รึเปล่าคะ" การช่วยเหลือหรือการทำอะไรให้เล็กๆ น้อยๆ ของศิลากลายเป็เื่ที่นับดาวเข้าใจผิดซะได้ว่าที่เ้าตัวทำเพราะว่าชอบตัวเอง
“เขาดูเ็ามากเลยนะคะ อย่างน้อยๆ ถ้าชอบก็ต้องแสดงออกมาบ้าง จะบอกว่าแสดงออกไม่เป็ก็ยังไงอยู่” เจนไม่ได้เห็นด้วยเท่าไหร่นัก แต่เจนเห็นว่าการที่นับดาวได้เล่นประกบคู่กับดาราหนุ่มหล่อคนนี้ทำให้เ้าตัวมีผู้ติดตามในไอจีถึงห้าแสนจากหลักหมื่นเพียงไม่กี่เดือนและก็ยังมีผู้เข้ามาติดตามเรื่อยๆ
“เอาจริงๆ นะคะ น้องดาวพยายามเข้าหาเขามาตลอดนี่ก็ 4-5 เดือนแล้วแต่เขาดูจะไม่สนใจอะไรเลย ปกติคนเราถ้าชอบก็ต้องอยากสานสัมพันธ์ต่อ ต้องทักคุยกันบ้าง น้องดาวได้คุยกับเขาบ้างรึเปล่าคะ” เจนถามขึ้นอีก
“ดาวทักไปหาเขาค่ะ แต่เขาไม่ค่อยตอบเลย เขาจะตอบก็ต่อเมื่อเื่นั้นเป็เื่งาน” นับดาวลองนึกตามที่เจนว่ามามันก็ถูก ก่อนหน้านี้มีแต่คนเข้ามาหาเข้ามาจีบเธอทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองนั้นมีทางเลือกที่เยอะ ครั้งนี้เป็เธอเองที่เข้าหาคนอื่นแต่ก็ยังมั่นใจว่าตัวเองทำให้อีกฝ่ายชอบได้ไม่ยาก จนถึงตอนนี้ก็จะ 5 เดือนแล้วแต่ศิลายังไม่มีท่าทีอะไรเลย นอกจากการช่วยเธอเล็กๆ น้อยๆ
“พี่ว่าน้องดาวไม่ต้องสนใจหรอกค่ะว่าเขาจะชอบเราไหม แต่ตอนนี้กระแสของน้องกับศิลากำลังมา ่นี้คนติดตามก็เพิ่มเรื่อยๆ เพราะอยากจะจับผิดคู่น้องแน่ๆ ว่าเป็แค่คู่จิ้นจริงไหม นี่แหละค่ะจะทำให้น้องเป็ที่รู้จักขึ้นไปอีก ต้องอย่าปล่อยโอกาสนี้ไปเชียวนะคะ” หรือจะให้พูดกันตามตรงก็คือเป็การเกาะศิลาดังนั่นเอง เพราะใช่ว่าสวยอย่างเดียวจะดังได้ จะต้องอาศัยคนอื่นดันตัวเองขึ้นให้เป็
“แต่จะถ่ายละครจบแล้วนะคะ ไม่ได้เจอกันจะสร้างกระแสยังไงล่ะ” เจนยิ้มกริ่มกับคำถามของนับดาว
“เื่นั้นไม่ต้องห่วงไปหรอกค่ะ มีร้อยแปดวิธีในการสร้างกระแส แม้จะไม่ได้เจอกัน” นับดาวมองผู้จัดการส่วนตัวเชิงสงสัยว่าเ้าตัวมีวิธีอะไร แต่เธอก็ทำเพียงยิ้มหวานให้กับนับดาวกลับมา
เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้น เทรนทวิตเตอร์อันดับหนึ่งก็เป็แฮชแท็กศิลานับดาว รูปภาพของนับดาวที่กำลังยื่นผ้าเช็ดหน้าไปเช็ดให้กับศิลาและศิลาก็จับข้อมือเล็กไว้ เพียงแค่ไม่กี่นาทีก็ถูกถ่ายเอาไว้ได้ซะอย่างนั้น แถมทุกคนก็ต่างคิดกันไปเองถึงเหตุการณ์ที่มาจากภาพเพียงภาพเดียว บ้างก็ว่าเขาน่ารักกัน มีจับมงจับมือ ในกองคงจะสวีทกันน่าดู บ้างก็บอกว่าคิดไว้แล้วว่าไม่ใช่แค่คู่จิ้นแล้วแหละแต่คงเป็คู่จริง ดูแลกันดีขนาดนี้ ต่างคนก็ต่างพิมพ์กันไปโดยไม่รู้เลยว่าจริงๆ แล้วไอ้ภาพนั้นมาได้อย่างไร
“ใครถ่ายลงอีกแล้วเนี่ย” ศิลาวางมือถือลงแล้วมองหน้ากับดาริน ตัวเขาไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยนักหากว่าจะมีการสร้างกระแสคู่จิ้น แต่บางครั้งเขาแค่รู้สึกว่ามันมากเกินไป ตลอดเกือบจะสามปีที่คบกับปัณณวีร์มาเขาไม่เคยรู้สึกหนักใจและลำบากใจเท่าครั้งนี้มาก่อนเลย เพราะที่ผ่านๆ มานางเอกที่เล่นคู่กับเขาทุกคนไม่ได้เข้าหาเขาแบบนับดาว
พวกเขาเจอกันในกองก็เหมือนเพื่อนร่วมงานปกติ เวลาไปงานคู่ที่ต้องไปโปรโมทละครก็มีแค่กระแสที่เคมีเข้ากันเท่านั้น ไม่มีอย่างตอนนี้ถูกเข้าใจว่ากลายเป็คู่จริงแล้ว และยิ่งเป็แบบนี้ตัวเขาที่อยากจะออกมาพูดอะไรก็ไม่ได้เพราะมันส่งผลต่อละครที่จะออนแอร์ในอีกไม่กี่เดือน
“เหมาะเจาะเกินไปนะ เหมือนรอตั้งกล้องถ่ายอย่างนั้นแหละ” ดารินพูดขึ้นเพราะศิลาจับข้อมือของนับดาวไว้ไม่ถึงนาทีด้วยซ้ำก็ปล่อยออก จะหยิบโทรศัพท์มาถ่ายทันได้ยังไงกัน
“พี่วีร์จะโกรธไหมนะ” ศิลาพูดเสียงเบา
“ไม่หรอกมั้ง ตอนนั้นวีร์ก็อยู่ด้วย”
“ฉันดูออกเว้ย ดูออกมาสักระยะแล้วว่านับดาวชอบศิลาจริงๆ ไม่ใช่แค่จิ้นหรือสร้างกระแสอ่ะ” ทางด้านของปัณณวีร์กำลังยืนคุยโทรศัพท์กับน้ำหนึ่งอยู่ แน่นอนว่าเขาเห็นรูปแล้วแต่ก็ไม่แปลกที่คนในกองจะถ่ายรูปพวกเขาสองคนได้แล้วเอาไปลง บ้างก็เอาไปขายให้แฟนคลับที่อยากได้รูปในกองถ่าย
ปัณณวีร์ไม่โกรธหรือน้อยใจอะไรเลย เพียงแต่ความรู้สึกของนับดาวที่มีให้ศิลานั้นต่างหากที่เขากังวลอยู่ในตอนนี้ ที่ผ่านมาไม่มีใครที่จะรู้สึกกับศิลาเกินกว่าเพื่อนร่วมงานเลยเพราะอีกฝ่ายเป็คนนิ่งๆ ตลอด แต่กลับนับดาวนั้นไม่ใช่
[แกจะไปกลัวอะไร ในเมื่อศิลารักแก] น้ำหนึ่งตอบกลับมาขณะที่เธอกำลังหั่นผักผลไม้เพื่อจะทำเป็สลัด
“กลัวใจแม่เขาไง ศิลาเล่าให้ฟังว่าแม่เขายิ่งเชียร์ๆ นับดาวให้อยู่”
[จะว่าไปแล้วคุณกนกก็เอ็นดูแกมากนะวีร์ ดูรักเหมือนลูกแท้ๆ เลยแหละ แล้วเขาก็เป็คนใจดีอ่ะ ถ้าตัดเื่ความเ้ากี้เ้าการไปหน่อยออก ไม่ลองเปิดเผยความสัมพันธ์ของพวกแกกับครอบครัวศิลาดู ฉันว่ามันอาจจะไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดก็ได้นะ]
“เขาเป็คนใจดีก็จริง แต่ใครจะรู้ล่ะว่าในมุมมองของคนเป็แม่เขาจะรับได้รึเปล่าที่ลูกมีแฟนเป็ผู้ชาย ถ้าเขารับเื่พวกนี้ได้จริงทำไมถึงไม่ยอมให้ศิลารับเล่นละครหรือหนังสือต้องรับบทเป็ LGBTQ ล่ะ ทั้งๆ ที่มันก็แค่การแสดง” ปัณณวีร์รู้ดีว่ากนกสนับสนุนคนอื่นได้แต่ก็ยังไม่ได้เปิดใจกับเื่นี้ร้อยเปอร์เซ็นต์นัก
[พอแกพูดมาแบบนี้ก็น่าคิด ที่ไม่ให้ศิลารับเล่นบทแบบนี้อาจจะเพราะว่าอยากให้ศิลาเป็พระเอก ปั้นเขาเป็พระเอกที่คู่กับนางเอกให้เป็ภาพจำแค่แบบนี้]
“ใช่ และอีกอย่างคือกลัว กลัวศิลาจะเป็เกย์จริงๆ” คนส่วนใหญ่มักจะถูกปลูกฝังมาเสมอว่าการที่เราจะเป็อะไรนั้นมันอยู่ที่สภาพแวดล้อม แน่นอนว่ามันใช่ แต่มันก็ไม่ใช่สำหรับทุกคน การที่ผู้ชายจะชอบผู้ชายใช่ว่าจะเล่นซีรีส์หรือละครเป็เกย์แล้วจะรู้สึกชอบ ต่อให้ไม่ได้เล่นก็ชอบได้ เพราะมันคือสิ่งที่ตัวเขาคนนั้นเลือกเองไม่ใช่สิ่งรอบข้างที่ทำให้เขาเป็
[เฮ้ออ ฉันละเหนื่อยแทน] น้ำหนึ่งถึงกับถอนหายใจ นี่เขาเพิ่งมารับรู้เื่ของทั้งสองยังหนักใจด้วยเลย ไม่อยากจะคิดว่าที่ผ่านมาสองคนนี้ต้องผ่านเื่น่าลำบากใจ หนักใจมาแค่ไหน
“ว่าแต่แกเถอะ ยังชอบทอมอยู่ป่ะหรือเปลี่ยนมาชอบผู้ชายแล้ว” ปัณณวีร์เอ่ยถามเื่ของเพื่อนบ้าง ไม่อยากพูดถึงแต่เื่ของตัวเอง
[เอาจริงนะ ฉันไม่ได้ฟิกเลยว่าจะชอบผู้หญิงหรือผู้ชายอ่ะ คือฉันแค่รู้สึกว่าถ้าคนไหนที่คุยด้วยแล้วสบายใจ เป็ตัวของตัวเองฉันก็ไม่สนนะว่าจะเป็ชายหรือหญิง]
“ทำไมฉันไม่ได้รู้สึกแบบนั้นเลย ไม่เคยรู้สึกว่าจะชอบผู้หญิงเลยทั้งที่ก็คุยกันแล้วสบายใจนะ อย่างชาเนี่ย”
[คนเรามันเหมือนกันที่ไหนอ่ะไอ้บ้า] น้ำหนึ่งขำเบาๆ ก่อนจะพูดต่อ [ความชอบของใครก็ของมัน ไม่มีผิดไม่มีถูกซะหน่อย ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าต้องยึดติดด้วยว่าผู้ชายต้องคู่กับผู้หญิงเท่านั้น]
เป็อย่างที่น้ำหนึ่งว่า ปัณณวีร์คิดตามก็ได้แต่ถอนหายใจ เพราะกรอบที่บอกว่าชายต้องคู่กับหญิง ทำให้คนที่เป็ชายรักชาย หญิงรักหญิงเป็คนที่ผิดแปลก อย่างที่คนในอดีตชอบพูดกันว่าผิดเพศ แม้ทุกวันนี้จะเปิดรับกันมากขึ้นแต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีคนที่ไม่เปิดใจ....
และแล้ววันสุดท้ายของการถ่ายทำก็มาถึง เวลาในการถ่ายทำราวห้าเดือนนี้สิ้นสุดลง มีการเลี้ยงปิดกล้องกันที่นี่ต่อในตอนกลางคืน แต่ศิลาไม่ได้อยู่ร่วมด้วยเพราะต้องกลับกรุงเทพในคืนนี้เนื่องจากพรุ่งนี้เช้ามีงานต่อในทันที งานเลี้ยงฉลองถูกจัดขึ้นในห้องอาหารของโรงแรม ปัณณวีร์ปลีกตัวมาบนห้องก่อนเพราะจะมาลาคนน้องที่ต้องกลับ
“เจอกันที่กรุงเทพครับ” ศิลาประคองใบหน้าสวยไว้ในมือแล้วจูบริมฝีปากบางเบาๆ แตะชิมอยู่แค่ด้านนอกไม่มีการรุกล้ำ โดยไม่สนใจอีกคนที่อยู่ในห้องด้วยอย่างดารินที่ตอนนี้ต้องหันหน้าหนีด้วยความเขินอาย แม้จะอยู่ในเหตุการณ์แบบนี้บ่อยครั้งแต่ก็ใช่ว่าจะชิน เล่นเอาคนโสดอิจฉาตลอด
“อะแฮ่มๆ” ทั้งสองผละออกจากกันเมื่อได้ยินเสียงของดาริน ปัณณวีร์มองดารินที่หันหน้าไปทางอื่นอยู่ก็ยิ้มออกมา
“หาสักคนสิครับพี่ดาริน” ปัณณวีร์พูดขึ้น
“หาง่ายๆ ที่ไหนล่ะคะ พี่ก็สงสัยบางคนทำไมหาแฟนง่ายจัง บางคนก็ไม่มีเลยหาไม่ได้สักคน”
“ไม่มีเลย หรือเพราะมีไม่เอาเองล่ะครับ” เป็ศิลาที่พูด ใช่ว่าไม่เคยเห็นคนเข้ามาจีบผู้จัดการส่วนตัว แต่เพราะเธอไม่สนใจเองต่างหาก
“ก็นะ อยู่คนเดียวมันก็สบายใจดีอ่ะ” คนบางคนอยู่คนเดียวจนชิน จนไม่ต้องมีแฟนก็ได้ไม่ได้รู้สึกขาดอะไร ทำอะไรเองคนเดียวได้หมดเลยคิดว่าอยู่คนเดียวก็ได้ นั่นแหละคือความน่ากลัวของการเป็โสดที่แท้จริง
“ไปกันเถอะครับ เดี๋ยวไปถึงดึก” ดารินพยักหน้าแล้วเปิดประตูเอากระเป๋าเดินทางออกมา ตามด้วยศิลาและปัณณวีร์ที่ออกมาด้วยกัน
“พี่ก็ลงไปทานข้าวเถอะครับ”
“เดี๋ยวพี่จะเข้าไปอาบน้ำซะก่อน เหนียวตัวมาก เดินทางปลอดภัย” ปัณณวีร์ส่งยิ้มให้และลูบแขนของคนน้องเบาๆ ทั้งสามแยกกัน ปัณณวีร์กลับเข้าห้องตัวเองที่อยู่ตรงข้ามห้องของศิลา ส่วนศิลากับดารินก็ตรงไปที่ลิฟต์ โดยไม่รู้ว่ามีคนแอบมองอยู่
“สนิทกันถึงขนาดเข้าไปในห้องได้เลยหรอ ดูภายนอกเหมือนจะไม่ได้สนิทอะไรมากนะ” เจนพึมพำกับตัวเอง เธอบังเอิญเจอเข้าพอดีเพราะรู้สึกปวดท้องแล้วขึ้นมาเข้าห้องน้ำที่ห้อง แต่พอจะออกจากห้องก็เห็นทั้งสามคนออกมาจากห้องเดียวกันพอดี แต่เธอก็ไม่ได้คิดอะไรให้หนักหัวสมองเพราะไม่เห็นว่าจะสำคัญอะไรจึงลงไปงานเลี้ยงปิดกล้องข้างล่างต่อ
10 กันยายน หลังผ่านวันปิดกล้องมาแล้วเกือบสามอาทิตย์และวันนี้ก็เป็วันที่เรียกว่าสำคัญก็สำคัญแต่สำหรับศิลาเขาก็รู้สึกว่ามันก็คือวันธรรมดาๆ วันหนึ่งเท่านั้น เพราะคนที่เขาอยากให้อยู่ในงานวันเกิดของเขาทุกๆ ปีในตอนเด็กกลับไม่อยู่ ตอนเด็กศิลาอยู่กับพ่อตลอด ถ้าวันไหนที่พ่อไม่ว่างต้องออกไปข้างนอกเขาก็จะได้อยู่กับพี่เลี้ยง ั้แ่จำความได้เขาไม่ค่อยได้อยู่กับแม่เลย กนกทำงานทุกวันแทบจะไม่มีคำว่าวันหยุด เพราะว่า่นั้นบริษัทกำลังมีปัญหา และเป็่ที่กนกสูญเสียพ่อแม่ไปพร้อมกันจากอุบัติเหตุ ตัวเธอที่เป็ทายาทคนเดียวก็ต้องเข้ามารับผิดชอบงานทั้งหมดแทน ต้องทำให้ผู้ถือหุ้นเห็นว่าเธอสามารถเป็ผู้บริหารของเจทีเอ็นได้ เพื่อทำให้ทุกคนยอมรับเธอ จึงต้องทำงานพิสูจน์ตัวเอง กลายเป็ว่าศิลาไม่ค่อยได้ใช้เวลาอยู่กับแม่เท่าไหร่นัก เขาจึงสนิทกับพ่อมากกว่าแม่ ในความคิดของเด็กนั้นก็รู้สึกน้อยใจผู้เป็แม่มาเรื่อยๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป
ความสัมพันธ์แม่ลูกของศิลาและกนกจึงน้อยลงทุกที ศิลาไม่รู้ว่าที่แม่ไม่มีเวลาให้ก็เพราะต้องทำงาน เด็กก็ยังคือเด็ก เขาไม่เข้าใจความเป็ผู้ใหญ่อยู่ดีแม้จะอธิบายยังไง จนโตมาถึงได้รู้ ว่าการเป็ผู้ใหญ่นั้นไม่ง่ายเลย กนกเองก็อยากชดเชยให้ลูกด้วยการซื้อของให้ ตามใจเอาใจทุกอย่างแต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่ศิลา้าแล้ว
“อยากได้อะไรน้องชาย รถไหมพี่ซื้อให้” ศรุตเดินเข้ามาหาเ้าของวันเกิดที่ตอนนี้ยืนเหม่อให้อาหารปลาอยู่
“อยากแต่งเมีย” ศิลากระซิบบอกพี่ชาย หากว่าเขาช่วยได้ศิลาจะถือเป็บุญคุณอย่างยิ่ง ทำเอาศรุตเบ้ปากใส่เล็กน้อย
“เต็มปากเต็มคำเชียวนะ”
“ก็แน่นอนอยู่แล้ว”
“เย็นนี้คุณแม่จะจัดงานวันเกิดให้ พี่ชวนวีร์ให้ละ” ชวนในนามของศรุตแต่คนที่ให้ชวนก็เป็เ้าของวันเกิดอยู่ดีนั่นแหละ งานวันเกิดของศิลาจะชวนมาแต่คนสนิท ซึ่งปัณณวีร์ที่เป็เพื่อนของศรุตได้มาทุกๆ ปีราวกับเป็คนในครอบครัวอยู่แล้วเพราะว่ากนกเอ็นดูเ้าตัวไม่น้อย
“ก็ต้องเป็แบบนั้น ลองไม่ชวนสิ”
“ไอ้น้องคนนี้” ศรุตอยากจะผลักตกบ่อปลาซะจริง พอเป็เื่ปัณณวีร์หน่อยไม่ได้เลย ทำให้ศรุตนึกย้อนกลับไปในครั้งแรกที่เขาชวนปัณณวีร์กับน้ำหนึ่งมาที่บ้านในงานวันเกิดของเขาตอนอายุ 20 ปี และเป็ครั้งแรกที่ศิลาได้เจอกับปัณณวีร์
ตอนนั้นศิลาอายุ 15-16 ปี เขาเป็คนที่พูดน้อยมาั้แ่เด็กอยู่แล้วคงเพราะติดมาจากผู้เป็พ่อ อาธิปเป็นักเขียน เขาชอบอยู่กับความเงียบเพราะต้องใช้สมาธิในการทำงาน ทำให้เวลาที่ศิลาอยู่ด้วยก็มักจะอยู่อย่างเงียบๆ เล่นเงียบๆ ไม่ค่อยพูดจึงทำให้เ้าตัวไม่ค่อยมีเพื่อน ตอนนั้นก็เป็ปัณณวีร์ที่เข้าหาเขาก่อนเพราะอยากจะชวนคุยด้วยเห็นว่าเด็กคนนี้ไม่ค่อยพูด แต่ใครจะคิดว่าทำให้ศิลาชอบและหลงใหลในรอยยิ้มของอีกฝ่ายที่เป็ธรรมชาติและดูจริงใจ นั่นก็เป็ความประทับใจแรกที่ศิลามีต่อปัณณวีร์
นานวันเข้าเป็ศิลาที่เดินมาบอกกับพี่ชายว่าเขาชอบเพื่อนของศรุต ทำเอาศรุตอึ้งไปไม่น้อยเลย แต่ศรุตก็ไม่ติดอยู่แล้วแม้ทั้งสองจะเป็ผู้ชาย หลังจากนั้นก็ได้ช่วยน้องชายจีบปัณณวีร์อยู่ตลอด เรียกได้ว่าเขาอยู่ทุก่เวลารักของทั้งสองก็ว่าได้ และสิ่งหนึ่งที่ตอนนี้ศรุตอยากเห็นที่สุด ก็คือให้ทั้งสองได้รักกันรักอย่างไม่มีเงื่อนไขอะไรในสังคมและเปิดเผยได้สักที
ตกเย็นมาอาหารมากมายที่สั่งเอาไว้จากร้านดังร้านหรูก็นำมาส่งให้ ภายในบ้านถูกจัดตกแต่งด้วยลูกโป่งที่เป็ตัวอักษรภาษาอังกฤษคำว่า Happy birthday บนโต๊ะก็มีอาหารและเครื่องดื่มอย่างไวน์แดงตั้งอยู่ นอกจากจัดงานฉลองกับครอบครัวเล็กๆ แล้วนั้น เหล่าแฟนคลับของศิลาก็ไม่น้อยหน้า รวมกันเช่าบิลบอร์ดขึ้นรูปของศิลาพร้อมกับแฮปปี้เบิร์ดเดย์หลายที่ในกรุงเทพและมีแต่ที่ใหญ่ๆ ทั้งนั้น แม้ศิลาจะบอกว่าไม่ต้องทำอะไรให้เขามาก ขอแค่รักและสนับสนุนเขาก็พอ
สนับสนุนเขาในทุกๆ เื่ไม่ว่าจะเื่อะไรก็ตาม...รวมถึงเื่ของเขากับปัณณวีร์
“ศิ”
“ครับพ่อ” อาธิปเดินมาหาลูกชายที่นั่งอยู่ที่สนามหน้าบ้านระหว่างรอมื้อเย็นกัน เขายืนมองศิลาสักพักแล้วเห็นลูกชายเอาแต่นั่งนิ่งราวกับมีเื่ให้คิดในหัว ในมือของอาธิปนั้นไม่ได้ถือของขวัญหรืออะไรมาให้อย่างเช่นปีผ่านๆ มา คนเป็พ่อนั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้ามกับลูกชาย
“ปีนี้พ่อไม่มีของขวัญจะให้ลูกหรอกนะ” อาธิปพูดบอกด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ต้องให้แล้วครับ ผมโตแล้วไม่ได้อยากได้ของขวัญเหมือนเด็กๆ แล้วนะครับ” ในตอนเด็กเขาได้ของขวัญวันเกิดทุกๆ ปี จนรู้สึกว่ามันไม่ได้น่าเซอร์ไพรส์เท่าไหร่นัก
“มีเื่ไม่สบายใจอะไรรึเปล่า” ศิลาหลุบตามองพื้นหญ้าก่อนจะตอบออกไป
“ไม่มีครับ แค่เครียดๆ เื่งาน”
“งั้นหรอ”
“ครับ” อาธิปเงยหน้ามองท้องฟ้ายามเย็นก่อนจะพูดขึ้น เหมือนจะพูดลอยๆ แต่มันดันตรงกับสิ่งที่ศิลาคิดมาตลอด
“คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเป็ได้ ชีวิตเป็ของเรานะลูก ถ้าเราใช้ชีวิตในกรอบที่ใครก็ไม่รู้กำหนดไว้มันก็ไม่มีความสุขหรอก” ศิลามองสบตากับผู้เป็พ่อที่คอยสอนคอยให้ข้อคิดเขาเสมอ ก่อนที่เขาจะเล่าเื่ของตัวเองให้ลูกชายฟัง
“ตอนที่พ่อเปลี่ยนมาใช้นามสกุลของแม่ มีหลายคนบอกว่ามันมีที่ไหนที่ผู้ชายไปใช้นามสกุลผู้หญิง บางคนก็บอกว่าพ่อทำไปเพราะว่านามสกุลแม่ดัง แม่เขาเป็ทายาทคนเดียวของจิรธานนท์ ตากับยายลูกบอกกับพ่อว่าถ้าจะแต่งงานกับลูกสาวท่าน ก็ต้องแต่งเข้า ใช้นามสกุลของท่าน” เื่นี้ศิลาพอรู้มาบ้างว่าพ่อนั้นใช้นามสกุลแม่ และพ่อก็จะอยู่บ้านซะส่วนใหญ่ ทำงานที่บ้านดูแลบ้านดูแลลูก ในขณะที่แม่ออกไปทำงานที่บริษัท เื่นี้อาธิปก็เคยถูกว่ามาแล้ว แต่เขาไม่เคยสนใจเพราะเขาและภรรยาต่างรู้ดี อาธิปไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกิจการของภรรยาเพราะไม่อยากให้ใครมากล่าวหาว่าเข้ามาเพราะอยากมีส่วนร่วมในหุ้นส่วนบริษัท แต่พอเขาทำงานเป็นักเขียนของตัวเองและมีการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์อย่างเงียบๆ ของตัวเองก็ว่าทำตัวเป็พ่อบ้านเกาะเมียกิน
“ไม่มีใครพอใจในสิ่งที่เราเป็ทุกคนหรอกนะ บางคนชอบ บางคนไม่ชอบ อย่าเอาความคิดของคนอื่นมาตีกรอบให้ชีวิตตัวเองว่าต้องเป็แบบนั้นต้องเป็อย่างนี้ หรือแม้แต่พ่อแม่ก็ไม่อาจจะไปบงการชีวิตของลูกได้นะ” อาธิปมองตาลูกชายก็พอจะดูออกว่าศิลามีเื่ในใจ เขาเลี้ยงลูกมากับมืออยู่กับลูกมาั้แ่เด็กจนโตทำไมจะมองความอึดอัดและความลำบากใจของลูกไม่ออก “วันเกิดปีนี้พ่อไม่มีของขวัญ แต่พ่อมีคำอวยพรให้”
ศิลายิ้มเล็กน้อยก่อนจะลุกลงไปนั่งคุกเข่าลงที่พื้นหญ้าตรงหน้าของผู้เป็พ่อเพื่อรับคำอวยพรอย่างที่ทำเป็ประจำ มือหนาของอาธิปวางลงอยู่บนศีรษะลูกชายพร้อมกับลูบเบาๆ
“พ่อขอให้ลูกชายพ่อคนนี้มีความสุขมากๆ ขอให้มีแต่คนรักคนเอ็นดูอย่าได้มีคนคิดร้าย และพ่ออยากจะบอกให้ลูกรู้ไว้ ไม่ว่าเื่อะไรที่มันหนักใจบอกกับพ่อได้เสมอ พ่อพร้อมจะรับฟังและอยู่ข้างๆ ลูกนะ”
“ขอบคุณนะครับพ่อ” อาธิปเม้มปากเล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจถามออกไปเพราะคิดว่าหากเขาไม่ถาม ลูกก็อาจจะไม่กล้าบอกเขา
“โดยเฉพาะเื่ของวีร์” ศิลาเงยหน้ามองสบสายตาของพ่อด้วยแววตาสั่นไหวเล็กน้อย ในใจพลันรู้สึกกลัวขึ้นมา
“พะ ... พ่อหมายถึงอะไรครับ”
กับคนอื่นศิลาอาจจะปกปิดได้แม้แต่แม่ของเขาเองก็ยังดูไม่ออก แต่กับอาธิปนั้นแม้แต่สายตาของศิลาที่ว่านิ่งดุจสายน้ำแล้วก็ยังต้องไหวติงเพียงเพราะสบตากับผู้เป็พ่อเลย
TBC.