ไท้หยูมองไม่ออกไม่ได้หมายความว่าไม่มีอยู่ ฉงฉงเป็ต้นกำเนิดาจึงสามารถรับรู้ได้ นางไม่ได้ฝึกตามที่ไท้หยูเคยสั่งไว้อีกต่อไป ฉงฉงรับหน้าที่ถ่ายทอดวิชาของสายเืให้แทน
ไท้หยูกล่าวกับมันว่า “เ้าจะอบรมอย่างไรก็ได้ ขอเพียงอย่าสอนให้นางแทะต้นไม้ กินใบหญ้าก็พอ”
หลายครั้งไท้หยูมักถามปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งว่า ฉงฉงเป็ตัวประหลาดอันใดจึงเรียกว่าต้นกำเนิดา ปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งกลับทำเป็ไม่รู้ เห็นชัดๆ ว่ากำลังยั่วโมโหเขา ไท้หยูจึงไม่สนใจจะถามเื่นี้อีก
ตาเฒ่าสองตัวในร่างคิดอาศัยเขาสร้างประโยชน์ให้กับตนเอง แต่เมื่อเขาถามเื่ต่างๆ กลับบ่ายเบี่ยงไม่ยอมตอบ ช่างน่ารังเกียจจริงๆ
ยามนี้ไท้หยูก็นับเ้าหนอนเป็ตาเฒ่าเช่นกัน เพราะดูแล้วฉงฉงคงจะมีอายุมากกว่าปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งเสียอีก
เมื่อถึงส่วนของจื่อหยวน ปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งก็บอกว่า
“มรรคาอาวุธ ผู้สร้างและเต๋าจัดเป็อันดับสอง ที่แข็งแกร่งที่สุดคือ มรรคาอักษร พยุหะและมนต์ดำ เมื่อรวมสามสิ่งนี้เข้าด้วยกัน หนึ่งคนสามารถต้านหนึ่งกองทัพ พลังทำลายล้างสูงสุดยอด หากอยู่ในระดับสูงสุดสามารถกวาดล้างหนึ่งอาณาจักรด้วยตัวคนเดียวได้อย่างไม่ยากเย็น”
สายยันต์เป็การโจมตีกลุ่มที่ทรงพลังที่สุดในเจ็ดมรรคา สายพยุหะเป็สายหนุนเสริมเพิ่มพลัง เมื่อบวกกับมนต์ดำที่พิสดารและมีความสามารถแพร่พิษอย่างไร้ขอบเขต สามสายนี้เมื่อฝึกรวมกันจึงน่าสะพรึงกลัวอย่างสุดแสน
โชคดีที่ว่าสายมนต์ดำมีเพียงชนเผ่าแดนิอวี้ที่ฝึกได้ อืม เื่นี้ต้องกล่าวว่า โชคดีที่มนุษย์ที่สามารถฝึกสามสายมรรคามีน้อยจนแทบไม่มี ไม่เช่นนั้นโลกคงโกลาหลกว่านี้
ไม่ใช่ทุกคนจะเป็ตัวประหลาดอย่างปรมาจารย์ผู้ก่อตั้ง
ไท้หยูฟังแล้วรู้สึกอิจฉาจนเนื้อเต้น หนึ่งคนต้านหนึ่งกองทัพ สามารถถล่มหนึ่งอาณาจักรให้ราบ ช่างเป็ตัวตนที่น่าสะพรึงอย่างสุดแสน
มารดามันเถอะ ไฉนจึงกลายเป็ผู้ฝึกยุทธอ่อนด้อยที่สุดไปได้ ข้าไม่อยากฝึกยุทธและอาวุธแล้ว ข้าอยากเป็ผู้ฝึกสามสายมรรคา!! ์โปรดส่งเสริม!!
ไท้หยูพลันถามปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งว่า
“ท่านคงจะไม่ได้กำลังจะบอกข้าว่า จื่อหยวนก็สามารถฝึกสามสายมรรคาได้อีกกระมัง เช่นนั้นคงบังเอิญเกินไป ในประวัติศาสตร์ผู้ที่สามารถฝึกควบสามสายมีไม่เกินห้าคน อืม...ในนั้นคงไม่รวมท่าน แต่หากจื่อหยวนก็สามารถฝึกสามสาย ์คงกำลังเล่นตลกแล้ว”
ปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งแค่นเสียงเ็าตอบกลับว่า
“โลกนี้ไหนเลยมีเื่บังเอิญถึงเพียงนั้น ร่างมนุษย์ไม่สามารถฝึกสายมนต์ดำได้”
ไท้หยูพลันพ่นลมหายใจโล่งอกออกมา แม้จะเป็ลูกศิษย์เขา แต่หากสามารถฝึกสามสายมรรคา ทั้งเป็ที่ทรงพลังขั้นนั้น แม้แต่อาจารย์เช่นเขายังริษยาจนเนื้อเต้น
“แต่ว่าข้าสามารถทำให้เขาฝึกมนต์ดำได้ ในตอนที่ข้าเป็มนุษย์ ข้าเคยทดลองจนสามารถเปลี่ยนร่างธรรมดาของมนุษย์ ให้กลายเป็ร่างพิษมีรากฐานของสายมนต์ดำ เหมือนพลังแฝงแต่กำเนิดของเผ่ามารแดนิอวี้ สิ่งนี้จะกลายเป็พลังที่อยู่ในสายเื จึงไม่ขัดแย้งกับการฝึกมรรคา ในตัวของเผ่ามารจะมีวงแหวนโลหิต เมื่อนำมาหลอมกับร่างจะได้ความสามารถของพวกมันมา”
ยามนี้ไม่ว่าเื่ใดก็ไม่แตกตื่นแล้ว มีเพียงโลกแตกเท่านั้นที่จะสร้างแรงกระเพื่อมขึ้นในจิตใจของเขาได้อีกครั้ง ไท้หยูได้แต่ทอดถอนใจ เด็กน้อยเหล่านี้จึงเป็ผู้ที่โชคดีที่สุดในโลก ส่วนข้า.....เฮ้อ บัดซบยิ่งนัก ข้ากลับเป็อาจารย์ที่ต้องริษยาลูกศิษย์
หลังจากสั่งสอนลูกศิษย์ทั้งสี่เสร็จสิ้นแล้วก็ไล่ทั้งหมดกลับไปพัก ใบหน้าที่ยิ้มแย้มดีใจตอนกินหม้อไฟของทุกคนเหี่ยวเฉาอย่างรวดเร็ว
เพราะทุกคนได้ตำรามากกว่าสิบเล่ม แต่ละเล่มหนาเท่ากำปั้นทารก เมื่อนำมาทับรวมกันเกือบสูงถึงศีรษะ เหล่าลูกศิษย์ทั้งสี่แบกตำรากลับไปพร้อมกับร่างไร้เรี่ยวแรง
ภาพนี้ทำให้เขานึกย้อนกลับไปในชีวิตเก่า ยามเมื่อวัยรุ่นต้องสอบเข้าสถานศึกษา ทุกค่ำคืนไม่ได้หลับได้นอน จุดเทียนแท่งแล้วแท่งเล่า อ่านตำราจนใต้ตาดำคล้ำ สุดท้ายไปสอบกลับจำอะไรไม่ได้สักอย่าง
“ข้าเองก็อยากฝึกสามสายมรรคา พวกเ้าว่าข้ามีพร์หรือไม่”
“ตัวบัดซบอย่างเ้าหน่ะหรือ” ฉงฉงกล่าว
ปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งกลับนิ่งเงียบไม่กล่าววาจา
“เฮอะ ข้าไม่สนใจพวกเ้า ข้าก็เป็อัจฉริยะ สามารถคลำทางของตนเองได้ ส่วนเื่วิถีตรีภาคา พวกเ้าอย่าได้หวังแล้ว”
ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก ตาเฒ่าสองตัวนี้เป็พวกเลือกปฏิบัติโดยแท้ เช่นนั้นก็ลองประชันกันสักครา ดูว่าความอดทนของผู้ใดมากกว่ากัน
ยามนี้ไท้หยูได้เป้าหมายของการมีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้แล้ว ปกป้องลูกศิษย์ทั้งสี่ เฝ้าดูพวกเขาเติบโตคือความหมายของการมีอยู่ของเขา นี่เหมือนกับการชดเชยชีวิตที่แล้วที่ไม่มีโอกาสได้เฝ้ามองและใช้ชีวิตกับบุตรีทั้งสองของตน
หลังจากความทรงจำที่ถูกปิดกั้นหวนกลับคืน เขามักพยายามนึกใบหน้าอ่อนโยนของบุตรีทั้งสอง ทว่าจนใจที่เวลาผ่านไปเนิ่นนาน ความทรงจำถูกปิดกั้นเกินครึ่งชีวิตจึงไม่อาจจำได้
ตำหนักเหมันต์ผนังและประตูเป็สีฟ้าใสราวกับน้ำแข็ง สร้างจากผลึกเย็นห้วงเมฆา เป็วัตถุดิบที่มีพลังหยินหนาแน่น สาเหตุที่ตำหนักเหมันต์ต้องสร้างใช้วัตถุดิบพลังหยินเพราะจุดนี้เป็ใจกลางมหาพยุหะ
มหาพยุหะเป็พยุหะธาตุฟ้าดิน จุดเชื่อมโยงแต่ละจุดจึงเป็แต่ละพลังธาตุ มีทั้งหมดห้าจุด เหนือ ใต้ ออก ตก และใจกลาง
ตำหนักเหมันต์ไม่ได้มีสิ่งใดมากมาย ห้องพำนักของไท้หยูกว้างขวางทว่าของตกแต่งกลับน้อยนิด ส่วนใหญ่เป็ความว่างเปล่าโล่งเตี้ยน
เตียงใหญ่ อาสนะดอกบัว กระถางกำยาน โต๊ะเก้าอี้สำหรับเขียนพู่กัน ภาพแขวนฝาผนัง มีเพียงเท่านี้
ไท้หยูกวาดตามองห้องของตนเองพลางกล่าวอย่างดูแคลนว่า
“น่าอดสูยิ่งนัก ห้องพำนักของประมุขกลับมีสภาพเช่นนี้ ไยไม่นำสิ่งตกแต่งจากห้องโถงมาไว้ในนี้บ้าง ตาเฒ่าน่ารังเกียจ สิ่งเหล่านี้ก็เป็เ้าสร้างหรือ”
หากเป็ผู้อื่น คงเรียกปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งด้วยความนอบน้อม ทว่าไท้หยูเองก็มีอายุเกินร้อยปี แม้นไม่ทราบว่าตาเฒ่านี้มีอายุขัยเท่าใด แต่ก็มองว่าคงไม่มากไปกว่าเขา ฉะนั้นยามเรียกหาจึงค่อนไปทางสหายมากกว่าผู้เยาว์รุ่นหลัง ไม่ว่าตาเฒ่าจะชอบใจหรือไม่ เขาก็ไม่สนใจ
“ที่ข้าสร้างไว้คือรากฐาน ไม่ใช่สิ่งปลูกสร้าง” ปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งตอบอย่างดูแคลน
สำหรับปรมาจารย์ผู้ก่อตั้ง เขารู้สึกว่าเ้าเด็กผู้นี้ช่างแปลกประหลาดเสียจริง กลับไม่มีความเคารพบรรพชนผู้ใหญ่เลยแม้แต่น้อย ....ในด้านนี้แม้นว่าไท้หยูจะอายุเกินสามสิบ ทว่าสำหรับปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งยังคงจัดเขาอยู่ในกลุ่มเด็กน้อย
แต่แล้วไท้หยูพลันกลับมาคิดว่าตนเองผิดพลาดไป เขากลับกล่าวราวกับเพิ่งเคยเห็นห้องนี้เป็ครั้งแรก โชคดีที่ตาเฒ่าทั้งสองไม่เอะใจ ไม่เช่นนั้นความลับเขาคงถูกเปิดเผย
ทว่าเกี่ยวกับเื่ความลับของตนเองนี้ เขากลับรู้สึกว่ามิใช่เื่ใหญ่ สำหรับโลกใบนี้ที่พิสดารถึงเพียงนี้ เขายังเคยคิดว่านี่เป็เื่จำเป็ต้องปกปิดหรือไม่ เกี่ยวกับเื่นี้สำหรับเขา หากสามารถแบ่งปันให้ตัวประหลาดสองหน่อนี้ อาจจะสร้างประโยชน์ได้ไม่มากก็น้อย ทว่าสุดท้ายเขายังคงเก็บเอาไว้
ไท้หยูก้าวไปนั่งบนอาสนะดอกบัว นั่งขัดสมาธิโคจรพลัง หลังจากที่ฉงฉงถอนชิ้นส่วนคำสาปออกไปชิ้นหนึ่ง ระดับพลังของเขาก็ฟื้นกลับมาอีกขั้น บัดนี้กลายเป็รวมกายขั้นกลาง
“ห้องนี้มีคำสาป”
ฉงฉงและปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งเอ่ยขึ้นพร้อมกัน
ไท้หยูไม่แตกตื่นเพียงร้องอาออกมา ยามนี้ไม่ว่าเื่ยุ่งยากอันใด เขาก็ไม่จำเป็ต้องกังวลแล้ว เพราะมีตาเฒ่าประหลาดสองตัวอยู่ในร่าง ยามพบเจอปัญหาจะยกให้ตาเฒ่าสองตัวนี้จัดการแทน
“จะว่าไปแล้วก็สุขสบายอยู่ไม่น้อย ข้ามิต้องทุ่มเทสมองเพื่อแก้ไขปัญหาแต่เพียงผู้เดียวแล้ว”
หลังจากนี้เขาสามารถเป็ตัวี้เี พองขนจนสันหลังยาวได้อย่างเต็มที่ จากนี้จะเป็การเสพความสบายของเขาแล้ว
“พวกเ้าถอนชิ้นส่วนคำสาปออกมา ผู้ใดจะเป็คนถอน ข้าจะยกการควบคุมให้”
ร่างกายนี้เขาเป็ใหญ่ แม้นว่าเขาจะอ่อนแอที่สุดทว่าหากเขาไม่ยินยอม ไม่ว่าฉงฉงหรือปรมาจารย์ผู้ก่อตั้ง ก็ไม่สามารถยึดการควบคุมร่างได้ อย่างมากสุดที่พวกเขากระทำตามอำเภอใจได้มีเพียงใช้ปากเขากล่าววาจาเท่านั้น
เที่ยงคืนดวงจันทร์ลอยเด่นอยู่เหนือศีรษะ สาดแสงเ็าปกคลุมแผ่นดินและมนุษย์
ร่างไท้หยูพลันสั่นสะท้านคราหนึ่ง เขาหันขวับไปทางกระถางที่ดูไม่มีพิษมีภัย กระถางกำยานนั้นกำเนิดแสงสีขาวนวลเย็นะเืออกมา
แสงสีขาวนวลสาดกลิ่นอายโบราณ จากนั้นรวมกันเป็รากไม้รากหนึ่ง
รากไม้ค่อยๆ ขยายเพิ่มขึ้นกลายเป็ต้นไม้สีขาว รากต้นกิ่งใบล้วนเป็สีขาวราวกับหิมะ พลังบริสุทธิ์พลันแผ่ขยายจากต้นไม้ขาวขนาดเท่าฝ่ามือ แสงสีขาวนวลกระจายออกราวกับหิ่งห้อยนับร้อยพัน ปกคลุมห้องพำนักจนสว่างไสว
บัดนี้เขาทราบแล้วว่าเื่ทั้งหมดที่เกิดขึ้นคือสิ่งใด สาเหตุที่สมุนไพรมากมายหายไปเพราะเหตุใด
ฉงฉงพลันกล่าวขึ้นมาว่า
“เ้ากลับรู้จักเลี้ยงดูต้นเย็นวิญญาเพื่อชำระล้างจากคำสาป ข้ายังคิดว่าเ้าโง่เขลาเบาปัญญาเสียอีก”
สมุนไพรทั้งหมดที่ไท้หยูคนเก่าใช้ไปอย่างสิ้นเปลือง คือการนำมาเป็สารอาหารให้กับต้นไม้ต้นนี้ ต้นเย็นวิญญา เป็ต้นไม้วิเศษมีจิติญญา มีพลังชำระล้างมลทิน ทว่าเพราะเป็ต้นไม้วิเศษ จึงกลืนกินพลังิญญามหาศาล นอกจากใจกลางของอาณาจักรโยวมู่แล้ว ไม่สามารถเลี้ยงให้โตได้ ไท้หยูคนเก่า้าเพาะเลี้ยงให้มันเติบโต จึงต้องใช้สมุนไพรมากมายเป็สารอาหารให้มัน
“เขารู้ว่าตนเองถูกพลังของคำสาป ทว่าไม่มีความสามารถพอจะหาชิ้นส่วนคำสาปพบ จึงต้องใช้วิธีนี้ การดิ้นรน่สุดท้ายของชีวิต ไท้หยูคนเก่าก็มิใช่คนโง่..”
ไท้หยูเบ้ปากพ่นลมหายใจออกมา สาเหตุที่ความทรงจำหายไปทุกครั้งที่พระจันทร์เต็มดวงเกี่ยวกับต้นเย็นวิญญา
ต้นเย็นวิญญาจะตื่นและสำแดงพลังก็ต่อเมื่อมีธาตุหยินมากพอ และในธรรมชาติธาตุหยินจะมากที่สุดคือ่พระจันทร์เต็มดวง ต้นเย็นวิญญาเมื่อตื่นขึ้นจะแผ่พลังบริสุทธิ์ ชำระล้างทุกสิ่ง ชะล้างมลทินต่างๆ ให้สูญสิ้น แม้แต่คำสาปก็จะถูกสะกดเอาไว้
ปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งพลันเอ่ยขึ้นมาว่า
“ประจวบเหมาะยิ่งนัก ต้นเย็นวิญญา เป็วัตถุดิบในการหลอมวงแหวนโลหิตของเผ่ามารแดนิอวี้”
ร่างของไท้หยูพลันโบกมือ ต้นเย็นวิญญาที่เป็สีขาวราวหิมะพลันหลุดออกจากกระถางกำยานมาอยู่บนฝ่ามือของเขา
“ไม่บริสุทธิ์ถึงที่สุด ทว่ายังพอใช้ได้ ยอดเยี่ยม ข้ายังกังวลว่าต้องไปหาต้นเย็นวิญญาจากที่ใด”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้