เมื่อท่านเฮ่อฉางเหอได้ยินหลินเยว่พูดเช่นนี้ ท่านจึงมองหลินเยว่ด้วยสีหน้าประหลาดใจ สุดท้ายจึงตบบ่าหลินเยว่พร้อมพูดรำพึง “คนคนหนึ่งมีจุดมุ่งหมายชัดเจนและเต็มใจที่จะต่อสู้เพื่อมันโดยไม่กลัวความยากลำบาก! ดี ดี ดีมากเลย!”
หลินเยว่ได้ยินคำพูดของท่านเฮ่อ เขาก็ได้แต่ส่ายศีรษะและฝืนยิ้มออกมา
“ผมรู้ว่าคุณรู้สึกเสียดายมีดแกะสลักเล่มนี้มาก เพราะนอกจากคุณค่าของมันแล้ว คุณยังเสียดายประโยชน์การใช้งานของมันอีกด้วย ที่ผมบอกว่าไม่ต้องให้ก็คือไม่ต้องให้จริงๆ! หากคุณนำมีดเล่มนี้มอบให้ตาแก่ฉาง เขาก็ไม่มีทางรับไว้หรอก เพราะตาแก่ฉางที่ผมรู้จักไม่มีทางยอมรับลูกศิษย์คนหนึ่งเพื่อมีดแกะสลักเพียงเล่มเดียว อีกทั้งนี่เป็การกระทำที่เหมือนการติดสินบนอย่างหนึ่ง แล้วอย่างนี้คุณจะยังรู้สึกเชื่อมั่นในตัวอาจารย์ที่รับมีดแกะสลักจากคุณแบบนี้ได้อีกหรือ? คนที่มีพฤติกรรมแบบนี้เชื่อถือไม่ได้หรอก ฝีมือในการแกะสลักก็ไม่น่าจะสูงด้วย”
“อีกทั้งคุณบอกว่าหากมอบมีดเล่มนี้ให้กับตาแก่ฉางแล้ว มีดเล่มนี้จะสามารถแสดงศักยภาพที่แท้จริงออกมาได้ ประโยคนี้คุณพูดผิดไปแล้ว เขาไม่รู้เทคนิคการแกะสลักแบบโบราณ มีดแกะสลักที่เขาใช้ล้วนเป็เครื่องมือที่ผสมผสานกับความทันสมัยและสืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่น หากมีดเล่มนี้ตกถึงมือเขา เขาก็คงได้แต่วางตั้งไว้เท่านั้น และที่สำคัญที่สุดก็คือ ตอนนี้เขาอายุมากแล้ว แต่คุณยังเป็หนุ่มอยู่เลย ขอเพียงแค่ให้คุณขยันหมั่นเพียร สักวันคุณก็จะแซงหน้าเขาได้ ดังนั้น มีดแกะสลักเล่มนี้อยู่ในมือของคุณจึงจะสามารถแสดงศักยภาพได้มากที่สุดจริงๆ”
“เก็บไว้เถอะ และพยายามใช้มันให้เป็ประโยชน์ที่สุด”
ระหว่างที่พูด ท่านเฮ่อฉางเหอก็ตบบ่าของหลินเยว่อีกครั้ง
เมื่อได้ฟังคำพูดของท่านเฮ่อฉางเหอ หลินเยว่ก็ก้มหน้าลง เขากำมีดแกะสลักไว้ในมืออย่างแน่น
มีดเล่มนี้เป็ของเขา!
มีเขาเพียงคนเดียวจึงจะสามารถใช้มีดเล่มนี้ได้เต็มศักยภาพ ทำให้คุณค่าของมันได้ปรากฏออกมาอย่างเต็มที่!
คำพูดของท่านเฮ่อฉางเหอทำให้หลินเยว่เข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้ง เขาลุกขึ้นยืน หันหน้าเข้าท่านเฮ่อฉางเหอแล้วโค้งคำนับแบบลึกๆ “หลินเยว่ได้รับการสั่งสอนชี้แนะแล้ว”
“ฮ่าๆ......”
ท่านเฮ่อฉางเหอส่งยิ้มให้กับหลินเยว่ ใบหน้าของท่านเต็มไปด้วยความพอใจ
“เอาล่ะ เก็บมีดแกะสลักเล่มนี้ไว้ให้ดี วันนี้พอเท่านี้ก่อน คุณกลับบ้านได้แล้วล่ะ”
“ตอนนี้?” หลินเยว่ถามอย่างข้องใจ
ตอนนี้เพิ่งห้าโมงเย็นเท่านั้น หรือว่าท่านเฮ่อฉางเหอจะไม่คิดบรรยายเนื้อหาต่อแล้วหรือ?
“ก็ตอนนี้สิ ก่อนหน้านี้พวกเรากลับดึกเกินไป คุณหนูน้อยประจำบ้านของผมเมินผมมานานแล้ว เธอบอกว่าผมไม่ยอมอยู่เป็เพื่อนเธอ แล้วยังบอกว่าผมแก่แล้วยังทำตัวไม่น่าเคารพอีก เอาแต่รั้งตัวคุณไว้ ทำให้คุณไม่มีเวลาอยู่เป็เพื่อนแฟนสาวสุดสวยของคุณ หลินเยว่ คุณมีแฟนแล้วหรือ? ทำไมผมถึงไม่รู้เื่ล่ะ?”
ท่านเฮ่อฉางเหอพูดแซวหลินเยว่ ตอนที่ท่านพูดถึงเฮ่อหลันเยว่ สายตาของท่านเต็มไปด้วยความรักและเอ็นดู
หลินเยว่ได้ยินเช่นนี้ก็ถึงกับพูดไม่ออก ปีศาจน้อยตัวแสบผู้นั้นทำไมถึงได้กล้าพูดเื่แบบนี้ด้วยล่ะ จากเื่ที่ไม่มีอะไรเลยเธอก็สามารถพูดออกมาเป็เื่เป็ราว หลินเยว่เกรงว่าท่านเฮ่อฉางเหอจะเข้าใจผิด เขาจึงรีบปฏิเสธทันควัน “ไม่มีครับ ไม่มีครับ”
“ไม่มีจริงๆ หรือ?” ท่านเฮ่อฉางเหอพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “คุณก็ไม่เด็กแล้วนะ ถึงเวลาที่จะหาแฟนได้แล้ว หญิงสาวที่มาดูแลคุณตอนที่คุณอยู่โรงพยาบาลคนนั้นก็ดูไม่เลวเลย ได้ยินมาว่าตอนนี้พวกคุณอยู่ด้วยกันแล้ว คุณห้ามรังแกเธอล่ะ ไม่อย่างนั้นผมเอาเื่คุณแน่ๆ”
“ไม่ทำแน่ๆ ครับ ไม่ทำแน่ๆ ครับ”
หลินเยว่รู้สึกว่าตอนนี้เขาเหงื่อออกเต็มศีรษะไปหมด
“ท่านเฮ่อ ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ” เมื่อพูดจบ หลินเยว่ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจว่าอย่างไร เพียงชั่วครู่เขาก็วิ่งหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เื้ัของเขามีเสียงหัวเราะดังลั่นของท่านเฮ่อฉางเหอลอยตามมาอยู่ชั่วขณะ
หลังจากหลินเยว่วิ่งออกมาจากหรงเล่อเซวียนด้วยสภาพที่ดูไม่ได้แล้ว เขาจึงรีบขึ้นรถกลับบ้านทันที หลังจากนั้นจึงแวะซื้อผักที่ตลาดสดแถวเขตบ้านพักที่เขาเช่าไว้จนเต็มสองมือ
ตอนเย็น่หกโมงกว่าๆ ฉินเหยาเหยากลับถึงบ้านที่พวกเขาเช่าด้วยกัน เมื่อเธอเข้ามาในบ้านจึงพบว่าประตูห้องครัวถูกเปิดทิ้งไว้ เธอได้ยินเสียงทำอาหารดังออกมาจากด้านในครัว เธอจึงอึ้งไปชั่วขณะ หลังจากนั้นก็คลี่ยิ้มอย่างสวยงาม
ฉินเหยาเหยาโยนกระเป๋าถือลงบนโซฟา เธอวิ่งเข้าไปทางห้องครัว แต่ตัวเธอยังไม่ทันถึงห้องครัว เธอก็ถามออกมา “ทำไมวันนี้คุณถึงกลับมาก่อนเวลาล่ะ?”
“ฮ่าๆ ใไหมล่ะ?”
หลินเยว่ตักเกลือขึ้นมาหนึ่งช้อนแล้วใส่ลงในอาหาร เขาหัวเราะพร้อมพูดตอบโดยไม่ได้หันศีรษะกลับไป
“แน่นอนสิ แต่ว่าที่สำคัญที่สุดคือไม่ใช่ความใแต่เป็ความดีใจต่างหาก ในที่สุดฉันก็ไม่ต้องทำอาหารแล้ว และในที่สุดฉันก็จะได้กินอาหารฝีมือเชฟใหญ่หลินหลังจากไม่ได้กินมาเป็เวลาหนึ่งสัปดาห์น่ะสิ”
ฉินเหยาเหยาเดินไปตรงก๊อกน้ำแล้วล้างมือให้สะอาด หลังจากนั้นเธอจึงช่วยหันผักที่หลินเยว่ล้างไว้เรียบร้อยแล้วอย่างตั้งใจ
“วันนี้ผมจะทำอาหารอร่อยๆ ให้เธอกิน หลายวันมานี้กินอาหารฝีมือของเธอทำให้ผมน้ำหนักลดไปหลายกิโลเลย” หลินเยว่ทำสีหน้าลำบากใจ ดูเหมือนว่าเขารู้สึกรับไม่ได้กับอาหารที่ฉินเหยาเหยาทำ
“ไปตายซะเถอะ!”
ฉินเหยาเหยาเตะหน้าแข้งของหลินเยว่ทันที
อันที่จริง หลินเยว่คิดอยากจะหลบ แต่ว่าเขาหลบไม่ทัน จึงได้แต่ทำเป็พูดอย่างคับแค้นใจ “ถึงจะใช้กำลังพี่ก็ไม่ยอมแพ้หรอกนะ ถึงเธอจะใช้การลงโทษอันโหดร้ายแค่ไหน ผมก็ไม่ยอมแพ้หรอก เพราะความจริงก็ย่อมเป็ความจริง”
“เอาสิ ไหนว่าความจริงก็คือความจริง! พูดต่อสิ!”
ฉินเหยาเหยาหมุนตัวไปหาหลินเยว่พร้อมทั้งสะบัดน้ำใส่หน้าของเขา หลินเยว่พยายามบิดตัวหลบ แต่เป็เพราะเขากำลังทำอาหารอยู่ เขาจึงหลบไม่ทัน
เมื่อเห็นสภาพที่ดูแย่ของหลินเยว่ ฉินเหยาเหยาจึงส่งเสียงหึในลำคออย่างภาคภูมิใจ หลังจากนั้นเธอก็สะบัดผมอีกครั้ง ท่าทางดูหยิ่งผยองเป็ที่สุด
“ตอนนี้ก็ทำเป็ลำพองไปเถอะ เดี๋ยวผมทำกับข้าวเสร็จแล้วก็คอยดูละกัน ผมจะทำให้เธอรู้ว่าการทำให้จอมยุทธ์อย่างผมโมโหเป็การกระทำที่คิดผิดจริงๆ ถึงตอนนั้นผมจะทำให้เธอรู้สึกเสียใจที่ได้ทำแบบนี้ลงไป!”
ถึงตอนนี้หลินเยว่จะสู้เธอไม่ได้ แต่ฝีปากของเขากลับไม่ยอมแพ้เลยสักนิด เขาจึงพูดข่มขู่ตอบกลับไป
“อ้อ อย่างงั้นหรอ?” ฉินเหยาเหยายกมีดในมือขึ้นแล้วแกล้งทำเป็ครุ่นคิดอะไรบางอย่าง หลังจากนั้นเธอจึงพูดรำพึงรำพัน “เพื่อความสุขในอนาคต ฉันควรจะขจัดเนื้อร้ายออกไปก่อนหรือเปล่า?”
ระหว่างที่พูด เธอก็ถือมีดข่มขู่หลินเยว่พร้อมทั้งยิ้มอย่างเ้าเล่ห์
“เธออย่าเข้ามานะ หากมีอะไรไม่คาดคิดเกิดขึ้นจริงๆ ถึงผมจะกลายเป็ผีผมก็จะตามหลอกหลอนเธอ ไม่ยอมปล่อยเธอไปแน่ๆ”
เมื่อเห็นแสงสะท้อนจากใบมีด หลินเยว่รู้สึกว่าเขากำลังขนลุกไปทั้งตัว หากมีการลงมีดจริงๆ เขายังไม่ทันเริ่มมีความสุขในชีวิตแต่ต้องกลับกลายเป็เหมือนดอกไม้ที่กำลังจะผลิบานแต่สุดท้ายกลับเหี่ยวแห้งตายไปอย่างรวดเร็ว
“ถ้าอย่างนั้นฉันจะทำให้จิติญญาของคุณแหลกสลายไปด้วย!” ฉินเหยาเหยาแยกเขี้ยวเล็กๆ ของเธอขู่หลินเยว่ มีดอีโต้จากพื้นที่เหอเจ๋อในมือของเธอก็ฟันหลินเยว่กลางอากาศสองรอบ หลังจากนั้นเธอก็ส่งเสียงหึๆ ในลำคอเบาๆ แล้วหมุนตัวกลับไปหันผักต่อ
เมื่อเห็นว่ามีดอีโต้ที่แหลมคมเล่มนั้นไม่ได้แกว่งมาทางเขาแล้ว หลินเยว่จึงผ่อนลมหายใจด้วยความโล่งอก เขาพูดบ่นขึ้นมา “ผมคิดว่าั้แ่วันนี้เป็ต้นไป ผมจะต้องกลายเป็ลูกศิษย์ในลัทธิขงจื๊อเสียแล้ว”
“หมายความว่าอะไร?” ฉินเหยาเหยาคิดตามไม่ทัน
“ไม่ได้หมายความว่าอะไร วันนี้จู่ๆ ผมก็แค่รู้สึกว่าท่านขงจื๊อปรมาจารย์มหาปราชญ์ของจีนพูดได้ถูกต้อง ดังนั้น ผมจึงเริ่มเลื่อมใสศรัทธาท่านแล้ว”
“คำพูดอะไรหรอ?”
“พูดไปเธอก็ไม่รู้เื่หรอก เพราะมันเกี่ยวข้องกับ IQ โดยตรง” หลินเยว่กลืนน้ำลายลงไป แล้วส่ายศีรษะอย่างมีมาด หลังจากนั้นเขาจึงปิดเตาแก๊สลง แล้วตักกับข้าวลงในชาม
“แหม อย่างกับว่าคุณฉลาดนักแหละ” ฉินเหยาเหยากลอกตาใส่หลินเยว่อย่างแรง ขณะที่เธอกำลังจะหันผักต่อนั้น เธอพลันหยุดทุกการกระทำลง หลังจากนั้นจึงหมุนตัวกลับมาอย่างช้าๆ พร้อมทั้งคลี่ยิ้มใส่หลินเยว่
เมื่อหลินเยว่เห็นใบหน้าของฉินเหยาเหยา เขาก็ใสะดุ้งเฮือก แล้วรีบถามกลับทันที “เธอเป็อะไรหรอ?”
“ฉันเป็อะไรหรอ? อิอิ......” ฉินเหยาเหยาเดินข้าไปหาหลินเยว่อย่างช้าๆ ใบหน้าเธอดูเ้าเล่ห์มากขึ้นเรื่อยๆ “ประโยคที่นายพูดเมื่อตะกี๊หมายถึง ‘มีเพียงสตรีและคนชั่วเท่านั้นที่อยู่ร่วมกันได้ยาก*’ หรือเปล่า?”
หลินเยว่รู้สึกว่ากล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขาถึงกับกระตุกอย่างไม่รู้ตัว เขาค่อยๆ เดินถอยหลัง แต่ผลปรากฏว่าเขาถอยได้เพียงสองก้าวก็ถอยต่อไปไม่ได้ เพราะชนเข้ากับกำแพงเสียแล้ว ดังนั้น ใบหน้าของเขาจึงส่งยิ้มที่ดูแย่ยิ่งกว่าตอนที่กำลังร้องไห้เสียอีก
เขาพูดขึ้น “เธอช่างฉลาดจริงๆ”
* มีเพียงสตรีและคนชั่วเท่านั้นที่อยู่ร่วมกันได้ยาก (唯女子与小人难养也)เป็คำสอนของขงจื๊อ หมายถึง การฝึกจิตใจของสตรีและคนชั่วให้มีความซื่อตรงนั้นทำได้ยาก ดังนั้น การอยู่ร่วมกันย่อมต้องเว้นระยะห่างไว้ให้ดี หากใกล้ชิดมากจนเกินไปอาจจะทำให้ผิดธรรมเนียมได้ง่าย แต่หากห่างเหินมากจนเกินไปก็อาจก่อให้เกิดความแค้นเคืองได้เช่นกัน