กระแสเื่ควิดดิชจบลงแล้ว แต่ก็มีปัญหาใหม่ตามมาอีกหลายเื่
เฮอร์ไมโอนี่และรอนรู้สึกงุนงงกับการร่ายเวทของเดม่อนที่ดูเหมือนไม่เกรงกลัวอะไรเลย ใน่หนึ่ง พวกเขาแทบจะคิดว่าเดม่อนต้องถูกกักบริเวณทั้งเทอมแน่ๆ
แต่กระทั่งหลังจบการแข่งขันควิดดิชแล้ว พวกเขากลับไม่ได้ถูกอาจารย์คนไหนเรียกไปสอบถามอะไรเลยแม้แต่น้อย
ราวกับว่าเดม่อนได้ตกลงกับอาจารย์ทั้งหลายไว้อย่างลับๆ แล้ว
เฮอร์ไมโอนี่มีคำถามเต็มหัวใจ อยากจะถามให้รู้เื่ แต่เมื่อเห็นว่าเดม่อนไม่ได้คิดจะอธิบายอะไร เธอก็ล้มเลิกความตั้งใจนั้นไป
พร้อมกันนั้น ในใจเธอก็เกิดความรู้สึกไม่ยอมแพ้ขึ้นมา "ถ้าเธอไม่บอก งั้นฉันจะหาคำตอบด้วยตัวเอง!"
ส่วนรอน ในหัวมีแต่เื่อื่นเสียจนไม่มีใจจะใส่ใจกับเื่ของเดม่อน
“เป็ฝีมือสเนปแน่ๆ!” รอนพูดทันทีหลังจากนั่งลงในกระท่อมของแฮกริด “เฮอร์ไมโอนี่กับฉันเห็นเต็มตาเลย เขากำลังร่ายเวทใส่ไม้กวาดของนาย กระซิบอะไรอยู่ตลอด แถมยังจ้องมาที่นายตลอดเวลาเลย”
“ถ้าเดม่อนไม่ร่ายเวทขัดขึ้นมา นายคงตกจากไม้กวาดไปแล้ว!”
“ไร้สาระ” แฮกริดพูด ดูเหมือนเขาจะไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นเลย “สเนปจะทำแบบนั้นไปทำไม?”
เดม่อนไม่ได้เข้าร่วมวงสนทนา
เขากำลังใช้มีดเล็กๆ หั่นขนมปังหินของแฮกริดเป็ชิ้นเล็กๆ อย่างใจเย็น จิบชาเข้มไปพลาง และนั่งฟังอีกสามคนโต้เถียงกันอย่างสงบ
ในที่สุด ปากโป้งของแฮกริดก็เผลอหลุดปากออกมาถึงความลับใหญ่ สุนัขสามหัวนั้นเป็สัตว์เลี้ยงของเขาเอง และดัมเบิลดอร์ยืมมันไปเฝ้าสิ่งของสำคัญบางอย่าง ซึ่งเกี่ยวข้องกับบุคคลที่ชื่อ "นิโคลัส เฟลมเมล"
เมื่อรู้ตัวว่าพูดมากเกินไป แฮกริดก็โมโหตัวเอง และดุแฮร์รี่กับเพื่อนๆ ว่าไม่ควรคาดคั้นเขาแบบนี้
บทสนทนาจบลงด้วยความไม่ค่อยราบรื่น
ทั้งสามคนรู้สึกผิดกับแฮกริดอยู่บ้าง แต่ความรู้สึกถึงความรับผิดชอบและภัยร้ายแรงที่อาจมาเยือนก็ผลักดันให้พวกเขาสนใจข้อมูลใหม่ที่ได้มา พวกเขาต้องหาคำตอบว่า "นิโคลัส เฟลมเมล" คือใคร
ที่น่าแปลกใจก็คือ เดม่อนปฏิเสธที่จะเข้าร่วมเื่นี้
“่นี้การฝึกคาถาของฉันอยู่ในจุดสำคัญมาก เลยยังไม่ว่างศึกษาพวกเื่นั้น ขอโทษด้วยนะ”
ทั้งสามคนแม้จะผิดหวัง แต่กลับกลายเป็คนที่ปลอบใจเดม่อนเสียเอง
“ไม่เป็ไร เราก็หาเองได้ นายตั้งใจฝึกคาถาต่อเถอะ”
หลังจากเห็นฝีมือของเดม่อนจากเหตุการณ์ที่สนามควิดดิช พวกเขาก็ยอมรับในพร์ของเขาอย่างจริงใจ และรู้สึกว่าเขาไม่จำเป็ต้องเสียเวลามาช่วยในเื่แบบนี้ ยังไงซะ พวกเขาหาคำตอบได้ แล้วค่อยเอาไปบอกเดม่อนก็ได้
และความจริงก็คือ เดม่อนไม่ได้โกหก
ตอนที่เขายิงลูกศรออกจากไม้กายสิทธิ์ที่สนามควิดดิช เขารู้สึกถึง “บางสิ่ง” ที่เหมือนเรียกหาเขา
่เวลานั้นราวกับว่าเขาแตะถึงจุดเปลี่ยนบางอย่าง แต่ความรู้สึกนั้นก็หายวับไปอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้ เขาจึงต้องฝึกฝนซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อสร้างความรู้สึกนั้นขึ้นมาอีกครั้ง และจดจำมันไว้ให้ได้
ลางสังหรณ์ของเขาบอกว่า ความรู้สึกนั้นน่าจะเป็จุดเริ่มต้นของคาถาโจมตีทรงพลัง ที่จะเป็เอกลักษณ์ของเขาโดยเฉพาะ
ส่วนแฮร์รี่กับเพื่อนๆ ก็ปล่อยให้พวกเขาสำรวจไปตามบทของพวกเขา ทุกอย่างควรจะดำเนินไปตามเส้นเื่เดิม
ใครจะรู้…ดัมเบิลดอร์อาจกำลังจับตาดูอยู่ว่าเด็กทั้งสามจะทำได้แค่ไหน
ว่าแต่…แล้วดัมเบิลดอร์จะคิดยังไงกับเขากันนะ?
จนถึงตอนนี้ ทั้งเขาและดัมเบิลดอร์ยังไม่เคยเจอหน้ากันเลย
เหตุการณ์ที่เขาร่ายเวทโจมตีควีเรลล์จากอัฒจันทร์ ก็เหมือนเป็การหยั่งเชิงท่าทีของดัมเบิลดอร์เช่นกันแต่เขาก็ไม่แสดงท่าทีอยากพบเขาเลย
บางที…ตราบใดที่ยังไม่เข้าใจว่าเดม่อนเป็คนแบบไหน ดัมเบิลดอร์ก็คงยังไม่อยากเข้าหาเขา
เขาอาจกำลังหาวิธีทดสอบเขาอยู่ก็เป็ได้?
แต่เดม่อนไม่ได้กังวล และก็ไม่ได้รีบร้อนจะเจอหน้า
ไม่เหมือนกับแฮร์รี่และพวกที่ต้องพึ่งพาดัมเบิลดอร์ เขาไม่เคยคิดจะขอความช่วยเหลือจากดัมเบิลดอร์เลย
สิ่งที่เขาต้องทำตอนนี้ คือการฝึกฝนอย่างหนักต่อไป ยกระดับเวทมนตร์ของตนเอง จนกระทั่ง ก้าวขึ้นไปยืนบนจุดสูงสุดของโลกนี้
หลังจากแฮร์รี่ปรากฏตัวในสนามควิดดิชเป็ครั้งแรกและพาทีมคว้าชัยชนะ เขาก็กลายเป็ที่ยอมรับในหมู่เพื่อนนักเรียนมากขึ้นเรื่อยๆ เด็กๆ ที่เคยผิดหวังในตัวผู้กอบกู้โลกต่างหันกลับมาให้ความสนใจเขาอีกครั้ง
แม้เพียงเดินผ่านในทางเดิน ก็จะมีคนทักทาย ยกย่องท่าทางตอนคว้าลูกสนิชทองคำของเขา ทำเอาแฮร์รี่รู้สึกทั้งใและปลาบปลื้ม
เ้าเด็กที่เคยขาดความมั่นใจในตัวเอง ตอนนี้กลับเริ่มสดใส ร่าเริงสมวัยขึ้นมาก ใบหน้าก็มีรอยยิ้มมากขึ้นด้วย
จะว่าไปแล้ว ควิดดิชเป็กีฬาที่แพร่หลายในหมู่พ่อมดแม่มด และแทบทุกคนต่างหลงใหลมัน…เว้นแต่ “เดม่อน” ที่มุ่งมั่นฝึกเวทมนตร์ทั้งวัน
หลังจบการแข่งขันควิดดิช เดม่อนก็เหมือนหายตัวไปอีกครั้ง คราวนี้หนักยิ่งกว่าเดิม
ยกเว้นในห้องเรียน พวกแฮร์รี่แทบจะไม่ได้เห็นหน้าเขาเลย
เมื่อก่อนเฮอร์ไมโอนี่ยังเจอเขาในห้องสมุด แต่พักหลังมานี้ เขาไม่แม้แต่จะโผล่ไปที่นั่น
มีเพียงตอนเช้า่มื้ออาหารเท่านั้นที่พวกเขาจะได้พูดคุยกับเดม่อนไม่กี่คำ หลังจากนั้นเขาก็หายตัวไปอีก
กระทั่งเวลาผ่านไปหนึ่งเดือน เดม่อนจึงทำรายงานคาถาขั้นพื้นฐานชิ้นสุดท้ายให้ศาสตราจารย์ฟลิตวิกเสร็จเรียบร้อย และใน่เวลานั้น เขาก็ได้ยื่นคำขอบางอย่างต่ออาจารย์
“ศาสตราจารย์ครับ ผมคิดว่าคาถาพื้นฐานพวกนี้ ผมฝึกจนคล่องแล้ว ไม่ทราบว่าผมสามารถเริ่มเรียนคาถาขั้นสูงบางบทล่วงหน้าได้หรือไม่…เช่น คาถาโล่และคาถาเสริมพลัง?”
“โอ้~ แน่นอนสิ เดม่อน” ฟลิตวิกยิ้มอย่างปลาบปลื้ม “จริงๆ แล้ว ฉันเองก็คิดว่านายจะมาขอแบบนี้ั้แ่เดือนที่แล้วแล้วล่ะ”
“จะว่าไป ตอนนี้ระดับของเธอเทียบได้กับนักเรียนชั้นปีห้าแล้วล่ะ แถมยังเกินมาตรฐานของการสอบ O.W.L. ไปเยอะมากเลย”
“การที่เธออดทนฝึกพื้นฐานให้แน่นก่อน ฉันในฐานะอาจารย์รู้สึกภูมิใจมากจริงๆ”
เมื่อเห็นศาสตราจารย์ฟลิตวิกยกแขนโบกไปมาด้วยความตื่นเต้น เดม่อนก็ยิ้มออกมาอย่างจริงใจเช่นกัน
เมื่อเดือนที่แล้วเขาก็คิดจะขออยู่หรอก แต่ตอนนั้นคาถาที่เขาคิดค้นเองกำลังอยู่ใน่สำคัญ ก็เลยไม่ได้ขัดจังหวะ
“งั้นเรามาลองสอบเธอหน่อยแล้วกัน เธอรู้อะไรเกี่ยวกับคาถาโล่บ้าง?”
“คาถาโล่ หรือที่เรียกว่า Protego จะสร้างโล่มองไม่เห็นในทิศทางที่ไม้กายสิทธิ์ชี้ไป เพื่อป้องกันระหว่างผู้ร่ายกับศัตรู
ตัวโล่เองจะมองไม่เห็น แต่สามารถเบนทิศทางเวทจากฝ่ายตรงข้าม และสะท้อนแสงจากเวทเ่าั้กลับไปได้
แต่อย่างไรก็ตาม มันไม่สามารถต้านเวทมนตร์ที่ทรงพลังเกินไป เช่น คำสาปให้อภัยไม่ได้ อย่างคำสาปพิฆาตได้ครับ”
“คำตอบเป๊ะมาก!” ฟลิตวิกปรบมือเบาๆ พร้อมรอยยิ้ม “ในเมื่ออย่างนั้น เรามาเริ่มเรียนวันนี้กันเลยดีกว่า!”
“ครับ ศาสตราจารย์” เดม่อนยิ้มตอบอย่างจริงใจ
ข้อมูลเสริม:
(จบบทนี้)
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้