ผู้าุโติงขมวดคิ้วแน่น เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็โมโหแล้ว แม้ว่าจะเป็ครอบครัวชาวนาที่ไม่ได้มีขนบธรรมเนียมมากมายเหมือนครอบครัวชนชั้นสูงที่ร่ำรวย แต่บุตรสาวที่ยังไม่ออกเรือนก็มีค่ามาก นับประสาอะไรกับติงเหว่ยที่เป็บุตรสาวคนแรกของสกุลติง ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่ชายและพี่สะใภ้ต่างก็ยกให้นางเป็ลูกสาวที่น่ารักน่าทะนุถนอมของพวกเขา ทว่าวันนี้กลับถูกผู้คนสงสัยในความบริสุทธิ์ นางไม่เพียงจะลำบากเื่หาคู่ครองที่ดีเพราะพวกซานกูลิ่วผ่อ [2] ในหมู่บ้าน เหล่าผู้าุโที่เคร่งเื่ขนบธรรมเนียมประเพณีก็คงไม่ปล่อยนางไปเป็แน่
“ชาวบ้านทุกคนล้วนมีปากอยู่บนใบหน้า ท่านอยากปิดอย่างไรก็ปิดไม่ได้หรอก มิสู้ให้พี่รองไปเชิญท่านหมอจางมาดูเหว่ยเอ๋อร์สักหน่อยเถอะ อย่างไรหมู่นี้นางก็ไม่ค่อยสบาย ท่านหมอจางที่หมู่บ้านสือหลี่ปาเคยบอกไว้ ขอแค่เขาพูดว่าเหว่ยเอ๋อร์ไม่…มีอะไรร้ายแรง ก็ไม่มีผู้ใดสามารถปล่อยข่าวลือไร้สาระออกไปได้อีก”
“ที่ท่านพ่อกล่าวเป็ความคิดที่ดี” นานๆ ทีติงเหว่ยจะยกย่องบิดาสักครั้ง และรีบเห็นด้วยอย่างรวดเร็ว ว่ากันว่าคนเราเมื่อมีอายุมากขึ้นก็จะมีประสบการณ์มากขึ้น สามารถจัดการสิ่งต่างๆ ได้ดีขึ้น ผู้าุโติงแต่เดิมเป็คนเก็บอารมณ์เก่งและไม่ค่อยแสดงออก แต่ครานี้กลับแสดงไหวพริบที่ซ่อนไว้มานานให้คนอื่นได้เห็น
แม่นางหลี่ว์เองก็พยักหน้าเห็นด้วย และพยายามระงับไฟในใจ [3] นางเดินไปห้องโถงและเรียกลูกชายคนรองที่กำลังนั่งแกะสลักม้าไม้ให้ลูกสาวอยู่หน้าเตาผิง เมื่อพี่รองสกุลติงได้ยินว่า้าเชิญท่านหมอจางมาตรวจชีพจรให้น้องสาว เขาก็วางมีดแกะสลักในมือลงและรีบออกไปในทันที แม่นางหลี่ว์คิดไปคิดมาก็ดึงบุตรชายเข้ามากำชับเบาๆ ไม่กี่คำ พี่รองติงมีความสงสัยแต่ก็เห็นด้วย
ท่านหมอจางอาศัยอยู่ทางใต้ไม่ไกลจากบ้านสกุลติง ผ่านไปไม่ถึงสองเค่อ [4] ท่านหมอจางก็ตามพี่รองกลับมาแล้ว เดิมทีเขาค่อนข้างสนิทสนมกับผู้าุโติงอยู่แล้ว เขาจึงยิ้มและพูดอย่างไม่เกรงใจว่า “พี่ใหญ่ติง ที่บ้านมีเหล้าดีหรอกหรือ ถึงรีบตามข้ามาเพื่อดื่มกับท่านสักจอกสองจอก? ่นี้ข้าก็ตะกละตะกลามไม่รู้จักพอ หากไม่มีอาหารดีๆ ก็ยกจอกเหล้าไม่ขึ้น”
ผู้าุโติงหัวเราะหึหึพลางดึงสหายเก่าให้นั่งลง และพูดว่า “การเป็อยู่ที่บ้านดีขึ้นแล้ว จะขาดอาหารกับสุราดีๆ สำหรับน้องชายไปได้ยังไง เพียงแต่หมู่นี้เ้าเด็กน้อยเหว่ยเอ๋อร์ไม่ค่อยสบายนิดหน่อย ฮูหยินของข้ากังวลใจ ไม่เช่นนั้นคงไม่รบกวนให้เ้ามาอีกครั้งหรอก”
ท่านหมอจางเองก็ไม่ใช่คนโง่เขลา เมื่อตอนบ่ายทั้งหมู่บ้านต่างพากันซุบซิบข่าวลือของบ้านสกุลติง เมื่อครู่ระหว่างที่เดินทางมา บุตรชายคนรองสกุลติงเจอเพื่อนบ้านก็บอกว่าครอบครัวให้มาเชิญเขาไปตรวจชีพจรน้องสาวที่บ้าน เหตุใดเขาจะไม่เข้าใจเจตนาแอบแฝงนั้น?
เดิมทีครอบครัวสกุลติงก็เป็คนนิสัยไม่เลว แน่นอนว่าเขาก็ต้องเต็มใจช่วยมาเป็พยานให้อยู่แล้ว เพราะเหตุนี้เมื่อนั่งพักผ่อนระยะหนึ่งแล้วจึงให้ติงเหว่ยยื่นข้อมือออกมา ติงเหว่ยไม่ได้คิดอะไร นางยื่นข้อมือให้พร้อมเล่นหูเล่นตากับต้าเป่าที่อยู่ข้างๆ
ทว่าผ่านไปนานสองนานนิ้วมือของท่านหมอจางที่วางจับชีพจรบนข้อมือของติงเหว่ยก็ไม่ยกขึ้นเสียที ผู้าุโติงรู้สึกร้อนใจ จึงถามออกไปเสียงเบา “น้องจาง เหว่ยเอ๋อร์ของเรามีโรคร้ายแรงที่ใดงั้นหรือ?”
ท่านหมอจางกลับโบกมือพลางเปลี่ยนไปจับข้อมืออีกข้างของติงเหว่ยมาตรวจดู ต่อให้สกุลติงจะโง่เขลาสักแค่ไหน แต่ตอนนี้ก็ต้องรู้แล้วว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติอย่างแน่นอน
“ท่านหมอจาง เหว่ยเอ๋อร์เป็อะไรกันแน่? ท่านรีบพูดสิ!” แม่นางหลี่ว์ถูมือไปมาอย่างกังวลใจ และถามซ้ำไปซ้ำมา
ท่านหมอจางกวาดสายตามองครอบครัวสกุลติงทั้งหมดแล้วรู้สึกพูดไม่ออก ราวกับถูกยางไม้ติดปากไว้ เขาครุ่นคิดอยู่นานก่อนพูดอย่างคลุมเครือว่า “ไม่ใช่โรคร้ายแรงอะไร ข้าเกรงว่าพวกท่านคงต้องค่อยๆ ถามเหว่ยเอ๋อร์เป็การส่วนตัวน่าจะดีกว่านะ?”
ดวงตากลมโตของติงเหว่ยกะพริบถี่ๆ และถามด้วยความสงสัยว่า “ถามอะไรข้าหรือ ข้าไม่รู้สึกเ็ปตรงไหนเป็พิเศษนะ?”
ผู้าุโติงเดินไปข้างหน้ากระชากแขนเสื้อของท่านหมอจางแล้วถามด้วยความโมโหว่า “เ้าน้องชายคนนี้ วันนี้เ้าเป็อะไรไป มีอะไรก็พูดออกมาตรงๆ สิ”
ท่านหมอจางทนไม่ไหวอีกต่อไป จำต้องพูดอย่างใจร้ายออกไปว่า “เหว่ยเอ๋อร์มีเื่น่ายินดี [5] จริงๆ นางตั้งครรภ์ได้ 2 เดือนกว่าแล้ว!”
“เื่น่ายินดีงั้นหรือ?” พี่รองติงไม่มีการตอบสนองใดๆ กลับกันแม่นางหลี่ว์และลูกสะใภ้ทั้งสองเริ่มหน้าซีดขาว กลัวสิ่งใดได้สิ่งนั้นจริงๆ ! ไหนเลยจะมีเื่ “น่ายินดี” เห็นชัดๆ ว่าภัยพิบัติกำลังจะมาถึงต่างหาก!
แม่นางหลี่ว์กระโจนเข้าใส่ท่านหมอจางราวกับคนบ้าและะโออกมาว่า “ท่านหมอจาง ท่านจะมาล้อเล่นแบบนี้ไม่ได้นะ เหว่ยเอ๋อร์ของเรายังเป็สาวบริสุทธิ์ เหตุใดถึงตั้งครรภ์ขึ้นมาได้ล่ะ? ท่านช่วยตรวจชีพจรให้อีกครั้ง ท่านต้องวินิจฉัยผิดไปแน่นอน วินิจฉัยผิดแน่ๆ ”
เมื่อท่านหมอจางได้ยินว่าฝีมือการแพทย์ของตนถูกสงสัย สีหน้าก็เริ่มไม่ค่อยดี จึงพูดอย่างโมโหว่า “ข้าได้ตรวจชีพจรทั้งหมดแล้วทั้งมือซ้ายและมือขวา ไม่มีทางจะวินิจฉัยผิดพลาด พวกท่านค่อยๆ ถามเด็กน้อยเหว่ยเอ๋อร์ดีๆ เถอะ ข้ายังมีธุระที่บ้านต่อ ครั้งนี้คงต้องขอตัวก่อน!”
เมื่อพูดจบก็ไม่้าค่ารักษา และแบกกล่องยาจากไปโดยไม่หันกลับมา ปล่อยให้ครอบครัวสกุลติงมองหน้ากันไปมาอยู่นาน แม่นางหลี่ว์นั่งลงร้องไห้บนพื้น
“เหล่าเทียนเย่ พวกข้าสกุลติงทำผิดบาปอะไรจึงต้องมารับกรรมเช่นนี้!”
แม่นางหลิวและแม่นางหวังรีบเดินเข้าไปปลอบ ผู้าุโติงและลูกคนรองอ้าปากค้างเป็เวลานานสองนาน แต่ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี ติงเหว่ยเวลานี้เองก็รู้สึกตะลึงและงงงัน ในชาติก่อนใจนางจดจ่ออยู่กับร้านชาของตนเอง ทั้งไม่เคยจูงมือกับผู้ชายหรือมีความรักมาก่อน ไหนเลยจะรู้ว่าการตั้งครรภ์มีอาการอะไรบ้าง? หมู่นี้ที่รู้สึกไม่สบายนางคิดมาตลอดว่าเป็เพราะกระเพาะลำไส้อักเสบ แต่วันนี้จู่ๆ กลับได้ยินว่านางกำลังจะเป็แม่คน นางรู้สึกใราวกับโลกจะแตกเป็เสี่ยงๆ
ครั้งนี้แม่นางหลี่ว์ไม่ได้สนใจความรู้สึกเ็ปของลูกสาว นางเดินไปข้างหน้าและตบติงเหว่ยไปหนึ่งที “เ้าเด็กสมควรตาย รีบพูดออกมาเดี๋ยวนี้นะ เ้าแอบทำเื่อะไรไม่ดีลับหลังข้าใช่หรือไม่? ไม่เช่นนั้นจะตั้งครรภ์ขึ้นมาโดยไร้สาเหตุได้อย่างไร อย่ามาพูดกับข้าว่าเ้าแม่กวนอิมเข้าฝันและยัดเด็กน้อยเข้ามาในท้องของเ้า! เ้ารีบพูดมานะ!”
การตบหน้าติงเหว่ยครานี้ราวกับถูกสายฟ้าฟาดในค่ำคืนที่มืดมิด จู่ๆ นางก็นึกถึงฝันหวานในฤดูใบไม้ผลิ [6] หรือว่านั่นไม่ใช่ความฝัน แต่เป็เื่ที่เกิดขึ้นจริงงั้นหรือ? นางคล้ายจะจำได้เพียงััที่ด้านหลังของคนผู้หนึ่ง ทว่ากลับไม่มีความทรงจำอื่นๆ หลงเหลืออยู่เลย!
ใบหน้าของนางอึ้งไปชั่วขณะ การแสดงออกนี้ของนางต่อหน้าคนสกุลติงเหมือนการยอมรับกลายๆ แม่นางหลี่ว์ร่ำไห้เสียงดัง อยากจะตีนางอีกแต่ก็ทำไม่ลง ผู้าุโติงถอนหายใจแล้วคุกเข่าลงบนพื้น มือทั้งสองกุมศีรษะแต่ไม่มีความเห็นอะไร
พี่รองสกุลติงเดินวนไปมาครู่ใหญ่ คิดอยากถามน้องหญิงแต่ด้วยฐานะที่เป็พี่ชายจึงยากที่จะพูดออกมา สุดท้ายจึงกัดฟันถามไปว่า “ไม่ว่ายังไงก็ตาม ไม่อาจปล่อยเด็กคนนี้ไว้ ข้าจะไปหาท่านลุงจางให้เขาสั่งตำรับยาทำแท้ง พวกเราแค่ปิดบังให้ผ่านไม่กี่เดือนนี้ไปก็ไม่เป็ไรแล้ว”
พูดเสร็จเขาเตรียมลุกขึ้นเพื่อจะออกไปข้างนอก จู่ๆ ติงเหว่ย กลับะโเรียกเสียงดังว่า “พี่รอง ท่านอย่าไป!”
พี่รองสกุลติงหันศีรษะกลับมาทันทีด้วยความโมโหและพูดว่า “เ้ายังอยากจะพูดอะไรอีก ทำเื่วุ่นวายถึงเพียงนี้ยังไม่พออีกหรือ!”
ติงเหว่ยสูดหายใจเข้าลึกๆ ลุกขึ้นแล้วคุกเข่าลงเบื้องหน้าผู้าุโติงกับแม่นางหลี่ว์ พร้อมพูดเสียงเบาว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าเพิ่งจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ว่า่คืนนั้นที่ข้าตื่นขึ้นมาแล้วลืมทุกอย่าง ข้ารู้สึกถึงอะไรบางอย่างแต่ก็เห็นไม่ชัดว่าคือสิ่งใด ผ่านมาจนถึงตอนนี้ข้าคิดมาตลอดว่ามันเป็เพียงความฝันแปลกๆ ทว่าวันนี้…ในท้องกลับมีเด็กคนหนึ่ง ข้าเกรงว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนั้นจะเป็เื่จริงไม่ใช่ความฝัน”
ครอบครัวสกุลติงราวกับได้ฟังเื่ไม่สมเหตุสมผล แต่ก็ไม่อยากบังคับถามอะไรมาก เมื่อคิดดูแล้วติงเหว่ยก็ออกไปข้างนอกน้อยครั้งจริงๆ สองเดือนก่อนอากาศหนาวเหน็บ ถึงนางอยากไปเจอบุรุษคนใดเป็การส่วนตัวก็คงไม่มีโอกาส เกรงว่าจะมีคนแอบเข้ามาในห้องตอนกลางคืนและทำให้นางเสียหายจริงๆ
ในโลกนี้คนที่เป็ห่วงนางมากที่สุดก็คือท่านแม่ ไม่รอให้ใครพูดอะไร แม่นางหลี่ว์ก็เข้าไปกอดลูกสาวแล้วร้องไห้โฮออกมา “ลูกสาวที่น่าสงสารของข้า เหตุใดต้องมาพบเจอกับเื่อะไรเช่นนี้? ต้องโทษแม่ที่ดูแลเ้าไม่ดี เหว่ยเอ๋อร์ของข้า เ้าจะทำยังไงหลังจากนี้?”
พี่รองสกุลติงขยุ้มหัวตัวเองพลางนึกอยู่นาน แต่กลับไม่มีความทรงจำเลยว่าเมื่อสองเดือนก่อนมีการเคลื่อนไหวแปลกๆ ยามดึกในบ้านหรือไม่ เขาตัดสินใจว่าจะไม่สนใจ และเปิดปากพูดอีกครั้ง “ไม่ว่าเด็กในท้องของเหว่ยเอ๋อร์จะมายังไงก็ปล่อยไว้ไม่ได้ ข้าจะไปเอาตำรับยาเดี๋ยวนี้!”
“ไม่ได้!” ในใจของติงเหว่ยวิตกกังวลอย่างมาก น้ำตาไหลซบลงในอ้อมกอดมารดา พอได้ยินคำพูดนั้นก็เอ่ยกลับไปว่า “พี่รอง เด็กคนนี้ข้าอยากให้กำเนิดเขา ข้ากำลังคิดว่าคนในคืนนั้นไม่เหมือนคนไม่ดี ไม่แน่อาจได้เจอกันอีกครั้ง อีกอย่างถึงแม้ข้าจะกำจัดเด็กคนนี้ออกไป ข้าก็ไม่ใช่สาวบริสุทธิ์แล้ว ผู้ใดจะมาแต่งงานกับคนที่มีเื่ด่างพร้อย ไม่สู้ดูแลเด็กคนนี้ไปตลอดชีวิตด้วยกัน ข้าสามารถหาเงินดูแลชีวิตข้าและลูก ข้า้าเก็บเขาไว้!”
“คำพูดของเ้าช่างเลอะเลือนเสียจริง!” พี่รองติงโมโหฟาดมือของเขาลงไปบนโต๊ะ ต้าเป่าใและร้องไห้ออกมาทันที แม่นางหลิวรีบมาอุ้มลูกแล้วปลอบเขาเสียงเบา กลัวว่าเขาจะทำให้พ่อโมโหอีก และถูกตำหนิเอาได้
“เ้ายังไม่ได้แต่งงาน จู่ๆ ท้องก็โตขึ้นมา คนในหมู่บ้านต่างจะพ่นน้ำลาย [7] ใส่ จนเ้าคล้ายจะจมน้ำตาย จากนี้เ้าจะออกไปเจอผู้อื่นยังไง? พอเด็กโตมาแล้วก็มีแต่โงหัวไม่ขึ้น [8] ! ไม่ได้ ยังไงก็เก็บเด็กคนนี้เอาไว้ไม่ได้แน่นอน!”
ใช่ว่าติงเหว่ยจะไม่รู้เหตุผลเหล่านี้ ถึงอย่างไรการเป็แม่เลี้ยงเดี่ยวในชาติก่อนในสถานที่ที่มีอารยธรรมรุ่งเรืองก็ยังถูกเลือกปฏิบัติ ยิ่งไปกว่านั้นโลกนี้ยังเป็สังคมที่ยึดติดกับจารีตประเพณี แค่คิดก็รู้แล้วว่าหลังจากนี้นางต้องเผชิญกับปัญหามากมาย แต่นางก็ยังคิดที่จะเก็บเด็กคนนี้ไว้ ชีวิตน้อยๆ นี้ไม่เหมือนกับการบังคับให้ได้รับการยอมรับจากครอบครัวสกุลติง แต่ความจริงก็นับว่าเป็สายเืของนาง สามารถอยู่ข้างกายนาง ทำให้จิติญญาของนางในเวลานี้ไม่รู้สึกโดดเดี่ยว!
“ไม่ ข้า้าเก็บเด็กคนนี้ไว้แน่นอน!” ติงเหว่ยกัดฟันแน่น หันศีรษะไปดูรอบๆ เอื้อมมือไปคว้ากรรไกรที่อยู่ในตะกร้าเย็บผ้าและกดมันลงบนคอของตัวเอง “ถ้าเขาตายข้าก็ตาย ถ้าเข้ามีชีวิตข้าก็มีชีวิต!”
“เหว่ยเอ๋อร์ เ้าจะทำอะไรน่ะ รีบวางลงเถอะ!” แม่นางหลิวและแม่นางหวังใจนร้องออกมา นางขยับไปข้างหน้าเพื่อจะแย่งกรรไกร แม่นางหลี่ว์ใจนแทบเป็ลม “เหว่ยเอ๋อร์ เ้า้าชีวิตของแม่หรือ เหล่าเทียนเย่ แต่ไหนแต่ไรมาข้าไม่เคยทำเื่ไม่ดี เหตุใดท่านถึงไม่ปล่อยลูกสาวของข้าไป!”
ใช่ว่าติงเหว่ยไม่เป็ห่วงท่านแม่ หรืออยากสร้างความลำบากให้พี่ชายกับพี่สะใภ้ แต่นางหมายมั่นปั้นมือที่จะเก็บเด็กคนนี้ไว้ จึงได้แต่ใช้ความเป็ห่วงของคนในครอบครัวที่มีต่อนาง และเลือกที่จะ “ปั่งเจี้ย [9]” ตนเอง
“ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่รอง พี่สะใภ้ทั้งสอง พวกท่านรับปากข้าเถอะ ข้าไม่ได้อยากหาเื่ ข้าเพียงแต่อยากเก็บเด็กคนนี้ไว้จริงๆ !”
“เอาเถอะ!” ผู้าุโติงที่เงียบมาตลอดลุกขึ้นมาทันที ะโเสียงดังเพื่อหยุดภรรยาและลูกสะใภ้ที่กำลังร่ำไห้ และพูดด้วยสีหน้าเขียวคล้ำ [10] ไม่น่าดูว่า “เหว่ยเอ๋อร์ ในเมื่อเป็เช่นนี้แล้วเ้าอยากเก็บเด็กคนนี้ ข้ารับปากเ้าแต่เ้าเองก็ต้องรับปากข้าสองสามเื่เช่นกัน!”
“ข้าตกลง ไม่ว่าท่านพ่อจะพูดเื่อะไรข้าก็จะรับปากท่าน!” ติงเหว่ยได้ฟังแล้วเห็นว่าสิ่งต่างๆ กำลังเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น จึงรีบรับปากทันที แม่นางหลิวอาศัย่เวลาที่นางเผลอรีบแย่งกรรไกรออกมาแล้วกอดนางไว้ในอ้อมแขน
ผู้าุโติงยื่นมือไปดึงภรรยา สูดหายใจลึกๆ สองสามครั้งแล้วจึงพูดว่า “ั้แ่พรุ่งนี้เป็ต้นไป ให้บอกกับคนนอกว่าสะใภ้รองตั้งครรภ์แล้ว ส่วนพวกเ้าสะใภ้ทั้งสองห้ามออกนอกบ้านอีก หลังจากเด็กเกิดมาให้เลี้ยงในฐานะลูกของเ้ารอง แต่ความเป็อยู่ทั้งหมดให้เ้าเป็คนดูแล และ 2-3 ปีหลังจากนี้ให้แม่ของเ้าหาครอบครัวดีๆ แล้วเ้าก็แต่งออกไปเสีย!”
-----------------------------------------
[1] เมล็ดพันธุ์ 种 หมายถึง ลูก
[2] ซานกูลิ่วผ่อ 三姑六婆 หมายถึง มนุษย์ป้าที่ชอบยุ่งเื่ชาวบ้าน
[3] ไฟในใจ 心里火气 หมายถึง ความโกรธในใจ
[4] เค่อ 刻 หมายถึง 15 นาที ใบบริบทไม่ถึง 2 เค่อจึงแปลว่ายังไม่ทันถึงครึ่งชั่วโมง
[5] มีเื่น่ายินดี 有喜 หมายถึง ตั้งครรภ์ แต่งงาน
[6] ฝันหวานในฤดูใบไม้ผลิ 春梦 หมายถึง ฝันว่ามีเพศสัมพันธ์
[7] พ่นน้ำลาย 唾沫 หมายถึง พูดจาสาดเสียเทเสีย นินทา
[8] โงหัวไม่ขึ้น 抬不起头 หมายถึง ไม่มั่นใจ มีความกังวลใจ รู้สึกต่ำต้อย
[9] ปั่งเจี้ย 绑架 หมายถึง จับเป็ตัวประกันเพื่อวัตถุประสงค์บางอย่าง
[10] หน้าสีเขียว 铁青着脸 คือสีหน้าแสดงอาการโกรธจัด เช่น เขาโกรธจนหน้าเขียว หน้าซึ่งแสดงอาการเ็ปมาก สื่อถึงการถูกบีบหรือบังคับหนัก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้