ป่าเขาที่มีฉากหลังเป็พระอาทิตย์ตกดิน คล้ายข้ามพ้นผ่านขอบสีทองหนึ่งชั้น แสงพระอาทิตย์ยามอัสดงลอดผ่านประตูและหน้าต่างสาดส่องไปทั่วบ้านหลังใหญ่ ทำให้ดูอบอุ่นเป็พิเศษ
เจินจูลืมตาตื่นขึ้นมาพบเข้ากับสีเหลืองทองอร่ามทั่วทั้งห้อง เมื่อดึงสติกลับมาก็รู้สึกใที่เธอหลับจนถึงยามโพล้เพล้เพียงนี้
เสียงเด็กอ่อนวัยของผิงอันดังสะท้อนมาจากนอกห้อง เธอเงี่ยหูตั้งใจฟัง เป็หัวข้อควรระวังในการเลี้ยงกระต่ายที่เขากำลังถ่ายทอดให้แก่ท่านแม่ เจินจูอดยิ้มไม่ได้ ความจำของผิงอันไม่เลวเลย หลายเื่ที่เคยพูดกับเขาเพียงรอบเดียวแต่เด็กน้อยก็สามารถจำได้จนหมด เด็กที่ฉลาดเช่นนี้ไม่ไปเข้าเรียนเขียนอ่านหนังสือช่างเป็เื่ที่น่าเสียดายเหลือเกิน
ในหมู่บ้านไม่มีการก่อตั้งโรงเรียนขึ้นเอง หากอยากไปเรียนหนังสือรู้ตัวอักษรก็ต้องไปที่หมู่บ้านต้าวันข้างๆ ครอบครัวหลิวซิ่วไฉตรงทางเข้าหมู่บ้านได้จัดตั้งโรงเรียนขึ้นมาเอง แต่นักเรียนในโรงเรียนมีไม่มาก ค่าเล่าเรียนสูงและยิ่งกว่านั้นคนชนบทไม่ได้ตระหนักรู้ถึงคุณค่าของการเรียนหนังสือมากเท่าไรนัก
ปีนี้ผิงอันเพิ่งจะอายุครบเจ็ดปี เป็อายุที่เหมาะแก่การเข้าเรียนรับการชี้แนะความรู้พอดี
เจินจูขบคิดในใจอยู่ครู่หนึ่ง ตอนนี้เป็กลางเดือนสิบตามปฏิทินจันทรคติจีน หากว่าแผนการเลี้ยงกระต่ายสำเร็จ รอจนเข้าฤดูใบไม้ผลิปีหน้าน่าจะรวบรวมค่าซ่อมแซมบ้านจนพอ ตอนนั้นก็สามารถส่งผิงอันเข้าเรียนได้แล้วเช่นกัน
เจินจูตื่นนอนมาด้วยจิตใจเบิกบานสดชื่น พลิกตัวลงจากเตียงแล้วพับผ้าห่มเก็บเสร็จเรียบร้อยอย่างคล่องแคล่ว นี่เป็ความรู้สึกอย่างหนึ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน เธอในอดีต ต้องใช้เวลามากกว่าสิบนาทีเพื่อดิ้นรนฝืนลุกตื่นเช้าให้ทันเข้างาน ทุกครั้งนึกถึงทีไร มักรู้สึกว่าร่างกายอ่อนเพลียเมื่อยล้าลืมตาไม่ขึ้น วันเสาร์-อาทิตย์ถ้านอนไม่ถึงสิบเอ็ดโมงหรือเที่ยงก็จะไม่ลุกเด็ดขาด เป็แบบอย่างภาวะสุขภาพจิตในเมืองใหญ่ที่ไม่ดีเป็อย่างยิ่ง แต่เธอในตอนนี้จิตใจกระฉับกระเฉง ไม่รู้สึกอ่อนเปลี้ยเพลียแรงหรือลังเลว่าจะลุกหรือไม่ลุกดีเลยแม้แต่น้อย นี่น่าจะเป็สรรพคุณของหญ้าจิติญญา เจินจูยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ “เป็วันที่กระปรี้กระเปร่าวันหนึ่ง ดีชะมัดเลย!”
เมื่อมีเสียงเท้าที่เพิ่งเดินออกมาจากห้อง ผิงอันผู้มีสายตาแหลมคมก็หันหน้ามาทางเธอก่อนจะโบกมือและะโอย่างตื่นเต้น “ท่านพี่ มาทางนี้เร็วเข้า ท่านเข้ามาดูนี่สิ!” หลี่ซื่อก็มองมาจากทางหางตาและอมยิ้มอยู่ด้านข้าง
เจินจูเข้าไปดูใกล้ๆ กรงไม้สูงรูปร่างสี่เหลี่ยมจัตุรัสอันหนึ่ง ทำจากแผ่นไม้ชิ้นเล็กตอกเชื่อมเข้ากัน ระหว่างแผ่นไม้มีรอยแยกเป็ซี่ๆ ส่วนด้านในมีกระต่ายกำลังแทะผักป่าสะอาดอยู่ในมุมหนึ่ง นางอดถามขึ้นไม่ได้ว่า “กรงมาจากไหนกัน? คงไม่ใช่ของบ้านเราหรอกใช่หรือไม่?”
“ฮิๆ ของบ้านเอ้อร์หนิวน่ะ พอท่านอาเจิ้งทำที่พักไก่เหลือก็ไม่เอากรงไก่นี้แล้ว เอ้อร์หนิวกลับบ้านไปบอกพวกเขาว่าบ้านเราจะเลี้ยงกระต่าย ท่านอาเจิ้งเลยให้พวกเรามา ให้พวกเราใช้ไปก่อน” ผิงอันรู้สึกดีใจสุดจะบรรยาย ปกติเ้าหนุ่มน้อยนี่ต้องมีความสัมพันธ์อันดีกับเอ้อร์หนิวที่อยู่ในวัยใกล้เคียงมากเป็แน่
“อื้ม ไม่เลว ใช้เลี้ยงกระต่ายได้พอดี พื้นที่ก็กว้างขวางพอ ข้างล่างมีร่องพอเหมาะสะดวกสบายต่อการทำความสะอาดมูลกระต่ายด้วย รอให้ลูกกระต่ายคลอดออกมาแล้วก็ยังใช้ต่อได้อีก ผิงอัน เ้าขอบคุณท่านอาเจิ้งหรือยัง?” เจินจูพยักหน้าไปพลางถามไปพลาง
ผิงอันพยักหน้าตอบรับโดยมิรอช้า “บอกแล้ว ข้ายังนัดหมายกับเอ้อร์หนิวแล้วด้วย รอให้บ้านเราเลี้ยงกระต่ายได้มากๆ ก่อน จะเรียกเขามากินเนื้อกระต่ายด้วยกัน ท่านพี่ ท่านว่าแบบนี้ดีหรือไม่?” เขากระวนกระวายใจเล็กน้อย กระต่ายเพิ่งเริ่มเลี้ยงก็รับปากจะให้เนื้อคนอื่นไปแล้ว
“ย่อมดีเยี่ยมแน่นอน พวกเ้าช่วยตัดหญ้าที่กระต่ายชอบกินแล้วเลี้ยงมันให้ดี อยากจะกินอย่างไรก็กินได้ รอให้กระต่ายบ้านเราเยอะจนเป็ฝูงแล้วก็ให้บ้านเขาเสียสักตัวสองตัว” เจินจูตอบด้วยรอยยิ้ม เธอยังหวังให้พวกเขาลงมือช่วยเหลือเป็อย่างยิ่ง อาศัยเพียงเธอคนเดียวเลี้ยงกระต่ายกลุ่มใหญ่ทั้งหมด เพียงแค่คิดก็เหนื่อยจนอ่อนแรงแล้ว เธอตั้งใจว่าทุกวันจะหยดน้ำแร่สองสามหยดลงไปในอาหารให้หลี่ซื่อกับผิงอันทาน ค่อยๆ บำรุงสภาพร่างกายทั้งสองคน ผ่านไป่หนึ่งผิงอันคงจะสามารถใช้ชีวิตะโโลดเต้นได้เหมือนเด็กปกติ ต้องเลี้ยงผู้มีความสามารถตัวน้อยให้ดีๆ เพราะเื่เลี้ยงกระต่ายต้องพึ่งพาเขาแล้ว
“จริงหรือ นั่นย่อมดีเป็อย่างยิ่ง ท่านพี่ ข้ากับเอ้อร์หนิวปรึกษากันแล้ว ทุกวันพวกเราจะขึ้นเขาไปตัดหญ้ามาเยอะๆ พอกระต่ายเป็ฝูงแล้วต้องแบ่งให้เอ้อร์หนิวด้วยเล่า” ผิงอันทำการรับรองด้วยการตบหน้าอกเล็กของตนเบาๆ พยายามเพื่อให้ได้กระต่ายสองตัวแทนเอ้อร์หนิว เขารู้สึกดีใจมากจริงๆ
เจินจูคิดแล้วก็พยักหน้าในใจ กริยาท่าทางที่คิดแทนประโยชน์ของเพื่อน นิสัยเ้าหนุ่มน้อยนี่ไม่เลวเลย ไม่ได้มีนิสัยตระหนี่เห็นแก่ตัวเพราะฐานะทางบ้านลำบากยากแค้น เป็คนที่สามารถอบรมสั่งสอนได้
หลี่ซื่อฟังบทสนทนาระหว่างทั้งสองคนอยู่ด้านข้างเงียบๆ มองเจินจูที่ผอมจนเห็นกระดูก แต่ใบหน้าเล็กๆ กลับมีท่าทางมีชีวิตชีวา ในใจนางมีความสุขเป็อย่างยิ่ง แม้เมื่อก่อนเจินจูจะรักใคร่น้องชาย แต่มักกระทำมากพูดน้อย ตัวหลี่ซื่อเองก็พูดไม่ได้ ในใจจึงแอบวิตกกังวลและแสดงออกมาได้ไม่ดีนัก จนกระทั่งบรรยากาศในบ้านค่อนข้างน่าอึดอัดอยู่ทีเดียว ตอนนี้พี่น้องหญิงชายสองคนอยู่ร่วมกัน รักใคร่กลมเกลียวกันอย่างสงบสุขราบรื่น หลี่ซื่อมองด้วยความปลื้มปิติ ในดวงตาอดเผยรอยยิ้มล้ำลึกออกมาไม่ได้
เมื่อเห็นว่าดวงอาทิตย์ค่อยๆ ลาลับไปทางทิศตะวันตกแล้ว หลี่ซื่อจึงหมุนกายเดินเข้าไปในครัวเร่งทำอาหารเย็น กำลังคิดว่าในบ้านยังมีแป้งสาลีจำนวนหนึ่ง นางลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเททั้งหมดลงไปในกะละมัง นวดแป้งเข้าด้วยกันอย่างตั้งอกตั้งใจ
ตอนเจินจูกำลังหนีบจมูกเดินออกจากห้องปลดทุกข์ ปากก็พึมพำว่าหากหาเงินได้แล้วเื่แรกคือต้องจัดการสุขานี่ให้ดี หลังใช้กระบวยตักน้ำล้างมือเสร็จแล้ว เธอก็วิ่งมาที่ห้องครัว ก่อนจะพบเื่น่าแปลกใจเล็กน้อย เธอเห็นหลี่ซื่อกำลังนวดแป้ง จากความทรงจำของเ้าของร่างเดิม ในบ้านหลังนี้กินอาหารประเภทเส้นน้อยมาก สาเหตุง่ายๆก็คือแป้งสาลีแพงมาก ราคาแป้งครึ่งกิโลกรัมสามารถซื้อธัญพืชได้ถึงหนึ่งกิโลกรัม ครอบครัวหูใช้ชีวิตอย่างอัตคัดขัดสน แป้งสาลีจำนวนมากที่กำลังจับกันเป็ก้อนนี้น่าจะเป็แป้งนึ่งวอวอโถว [1] หรือไม่ก็หมั่นโถว หากทำเส้นก๋วยเตี๋ยวอย่างเดียวคงทำออกมาได้น้อยมาก
“ท่านแม่ ท่านจะทำวอวอโถวหรือหมั่นโถวใช่หรือไม่เ้าคะ” เธอถามด้วยความอยากรู้
หลี่ซื่อยิ้มพลางทำท่าทางกางมือยืดความยาว “เส้นบะหมี่?”
เจินจูดีใจ ชาติก่อนเธอเป็คนทางใต้ ไม่ชอบทานบะหมี่เท่าไรนัก แต่ธัญพืชกินมาเยอะแล้ว จึงรู้สึกว่าบะหมี่น่าทานขึ้นมา ในโลกก่อนพวกเธอทานบะหมี่หลากหลายชนิดมาก เช่น หมี่เฟิ่น [2] จ้าเฟิ่น [3] จ้วนเฟิ่น [4] หยางยู่เฟิ่น [5] เป็ต้น แต่ละอย่างเป็บะหมี่ที่มีความอร่อยโดดเด่นต่างกันไป นึกถึงตอนนี้ที่กลับไปกินไม่ได้แล้ว เธอก็รู้สึกอยากทุบหน้าอกตนเองเสียทีหนึ่ง
มองไปที่หลี่ซื่อที่นวดแป้งเสร็จด้วยความคล่องแคล่วว่องไว ก่อนจะเอาผ้าคลุมวางไว้ด้านข้าง ต่อจากนั้นก็ทำความสะอาดหม้อใส่น้ำจุดไฟเรียบร้อยเสร็จภายในอึดใจเดียว เจินจูมองตามขั้นตอนต่างๆ อย่างละเอียด เธอคอยช่วยเติมฟืนบ่อยๆ ผ่านไปไม่นานหลี่ซื่อก็หยิบไม้นวดแป้งออกมาเริ่มนวดแป้ง นางนวดแป้งจนระดับความหนาพอเหมาะด้วยความรวดเร็ว ทันทีหลังจากนั้นก็นำแป้งมาหั่นเป็ท่อนซ้อนกันเป็ชั้นๆ เสียงเขียงดัง “ตึกๆ” ตามมาติดๆ เส้นบะหมี่หั่นไม่นานก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว เจินจูมองอย่างสนใจเป็อย่างยิ่งอยู่ด้านข้าง เธอไม่เคยนวดเส้นบะหมี่มาก่อนเลยรู้สึกแปลกใหม่เป็อย่างมาก
หลังจากรอจนน้ำในหม้อเริ่มเดือดปุดๆ หลี่ซื่อค่อยเอาเส้นใส่ลงไป นางหยิบตะเกียบมาคนครู่หนึ่ง หลังจากนั้นก็ออกจากแท่นหน้าเตาไป ไม่นานก็ถือหอมเล็กกลับมา ล้างหั่นละเอียดอย่างชำนาญ ล้วงไข่จากในตะกร้าออกมาฟองหนึ่งพร้อมตอกใส่เข้าไป เริ่มคนเบาๆ หลี่ซื่อเห็นเจินจูจ้องมองอย่างตั้งใจ จึงอดยิ้มออกมาไม่ได้ หลังจากนั้นจึงหยิบกระปุกเกลือออกมาจากในตู้อย่างระมัดระวังใส่ลงไปเพียงเล็กน้อย เจินจูที่มองอยู่ด้านข้างพึมพำขึ้นมาในใจว่า “บะหมี่หม้อนี้ใส่เกลือน้อยเกินไปแล้ว” เธอมองหลี่ซื่อที่หยิบกระปุกน้ำมันค่อนข้างเล็กออกมาอีกครั้ง ใช้ช้อนไม้ขูดก้นกระปุกเบาๆ เจินจูชะโงกหน้าไปดู พบว่าน้ำมันในกระปุกอยู่ตรงก้น เมื่อใส่น้ำมันครึ่งช้อนไปในหม้อ หลี่ซื่อก็วางฝาปิดกลับลงไปอย่างระมัดระวัง
เจินจูมองแล้วกระตุกยิ้มมุมปาก จำได้ว่าเมื่อก่อนมักจะโวยวายตอนลดน้ำหนักอยู่บ่อยๆ บางครั้งทานผักต้มน้ำเปล่า ไม่ใส่น้ำมันสักหยด แค่คิดก็รู้แล้วว่ารสชาติของผักนั้นเป็อย่างไร ตอนนี้คนทั้งครอบครัวล้วนผอมราวกับผู้ประสบภัย น้ำมันจึงกลายเป็อาหารที่เข้าถึงยาก
หลี่ซื่อดูว่าระดับความร้อนของไฟได้ที่แล้ว จึงหั่นผักดองใส่ลงไปจำนวนหนึ่งอย่างฉับไว คนเล็กน้อยให้เข้ากันก่อนจะโรยต้นหอมซอยไว้้า กลิ่นหอมลอยออกมาจากหม้อ เจินจูที่ได้กลิ่นหอมจึงกลืนน้ำลายอย่างไม่รู้ตัว เห็นว่าหลี่ซื่อตักเส้นบะหมี่ขึ้นมาแบ่งใส่เป็ถ้วยๆ เธอจึงใช้สองมือยกบะหมี่กลับเข้าไปยังห้องโถง หลังจากวางลงด้วยความระวังก็แอบใส่น้ำแร่ลงไปในบะหมี่
สามคนทานอาหารมื้อเย็นเสร็จด้วยจิตใจที่ชื่นมื่น ผิงอันชมท่านแม่หลี่ซื่อของเขาทันทีว่า “ท่านแม่ ฝีมือทำอาหารของท่านนับวันยิ่งดีขึ้น บะหมี่วันนี้ทำได้อร่อยมากๆ ข้าซดน้ำแกงเสียเกลี้ยงเลย” กล่าวจบก็เลียปาก ท่าทางอาลัยอาวรณ์
หลี่ซื่อมองแล้วยิ้ม ที่จริงในใจนางก็มีความประหลาดใจเล็กน้อย กรรมวิธีเหมือนกันแท้ๆ ไม่ได้ใส่วัตถุดิบพิเศษอะไรเพิ่ม กลับรู้สึกอร่อยกว่าเมื่อก่อนเล็กน้อยจริงๆ หรือเป็เพราะไม่ได้ทานบะหมี่มานานมากแล้ว? คิดได้ดังนี้ความหดหู่ในใจก็ค่อยๆ รื้นขึ้น
หลังเก็บกวาดถ้วยและตะเกียบเสร็จอย่างรวดเร็วฉับไวแล้ว หลี่ซื่อก็ยกถ้วยยาเข้ามา เจินจูหน้ากระตุกเล็กน้อย ในใจลืมคิดไปว่ายังมีตอปัญหาตอนี้อยู่ อยากแสร้งถ่วงเวลาออกไป แต่เห็นแววตาคาดหวังที่แสดงความห่วงใยรักใคร่ของหลี่ซื่อแล้ว เธอจึงรับถ้วยมาดื่มลงไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ความขมสามารถทนได้มากกว่าหวงเหลียน [6] ทั่วทั้งใบหน้าของเธอย่นเป็คุณยายตัวน้อย
ค่ำคืนนี้ หลังเจินจูล้างหน้าบ้วนปากก็ไม่ได้รีบเข้านอน เพราะงีบหลับกลางวันและตื่นค่อนข้างเย็น ดังนั้นเลยอยู่บนเตียงดินที่ห้องใหญ่ หาเื่คุยกับผิงอันไปเรื่อยเปื่อย แถมยังอยู่ภายใต้ตะเกียงน้ำมันแสงสลัว หลี่ซื่อเข้ามาใกล้หน้าตะเกียง สองมือสาละวนเย็บพื้นรองเท้า เสียงด้ายป่านผ่านทะลุพื้นรองเท้าดังสะท้อนในความมืด
เจินจูมองด้วยความทึ่ง รองเท้าในบ้านตลอดทั้งปีสี่ฤดูล้วนอาศัยหลี่ซื่อทำด้วยมือขึ้นมาคนเดียว ทุกวันตอนเย็นมักจะใช้ตะเกียงน้ำมันส่องแสง ใช้เวลาสองถึงสี่ชั่วโมงในการทำ ขนาดทำเช่นนี้แล้วยังไม่ทันความเร็วของการชำรุด รองเท้าทุกคนหลุดลุ่ยแล้วก็ต้องปะ ปะแล้วก็หลุดลุ่ยอีก สวมจนไม่สามารถปะได้ถึงจะเลิกสวม
เจินจูเด็กนักแรงกำลังไม่เพียงพอ และยังไม่เคยเรียนรู้ว่าพื้นรองเท้าเย็บอย่างไร เธอมองหลี่ซื่อใช้ที่เจาะ เจาะลงไปแรงๆ ก่อน แล้วใช้เข็มสอดทะลุ เย็บถักไปมาอย่างตั้งใจ
หลี่ซื่อเงยหน้าขึ้นมองเธอ ยิ้ม แล้วหาผ้าเก่าๆ ชิ้นหนึ่งออกมาจากตะกร้าปัก ส่งให้เธอ เจินจูรับมาดู อดที่จะอึดอัดไม่ได้ บนผ้าวาดแบบรูปร่างดอกไม้เอาไว้ ปักลวกๆ ไปแล้วสองกลีบ เป็ของเก่าที่เจินจูในอดีตใช้ฝึกฝีมือ ดูจากรอยเย็บที่บิดเบี้ยวแล้วเหมือนว่ายังไม่ชำนาญ ก็ดี ตนเองทำงานเย็บปักถักร้อยไม่เป็ พอจะยอมรับความสามารถของร่างเก่าได้
ถือเข็มกับด้ายเย็บปักเลียนแบบ งานด้านเย็บปักทำมือเหล่านี้สำหรับเจินจูแล้วไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไร เมื่อก่อนตอนที่ครอสติสเป็ที่นิยมเธอก็ไม่เคยลองทำมาก่อน สามารถจับเข็มเย็บเงื่อนได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว
ภายใต้แสงจากตะเกียงน้ำมัน ผ้าปักกลีบดอกไม้ที่เหลือเสร็จด้วยรอยเย็บยุ่งเหยิง เมื่อกางออกพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ก็พอมองอย่างถูๆ ไถๆ ออกว่าเป็ลายดอกไม้ เจินจูเบะปากอย่างจำใจ “ไอ๊หยา” เธอยืดเอวอย่างเกียจคร้าน ก้มหน้าปักเป็ชั่วโมง ปวดไปทั้งลำคอและแผ่นเอว หลี่ซื่อนั่งท่าเช่นนี้มากกว่าสองชั่วโมงทุกวัน กระดูกคงแข็งหมดแล้วกระมัง
“ท่านแม่ พักเสียหน่อยเถิด อย่านั่งนานเช่นนี้เลย จะปวดเอวเอาได้นะเ้าคะ” เจินจูเอ่ยโน้มน้าว ผิงอันที่อยู่ด้านข้างเข้าสู่ห้วงนิทราไปนานแล้ว แต่หลี่ซื่อยังยุ่งกับงานของตนไม่หยุด
หลี่ซื่อเงยหน้ามองสีของท้องฟ้า แล้วจึงหันมาพยักหน้าให้เธอ มือผอมบางวางพื้นรองเท้าในมือลง ก่อนจะลุกลงจากเตียง ยืนถือตะเกียงน้ำมันแสดงเจตนาว่าจะส่งเจินจูกลับห้องไปนอน
“ท่านแม่ ไม่ต้องส่งข้าหรอก วันนี้พระจันทร์สว่าง พอมองได้เห็นอยู่ ข้าจะกลับห้องเอง ท่านรีบนอนเถิด” ขณะพูดเธอก็วิ่งออกจากห้องโถงหายวับไปกับตา หลังจากปิดประตูลงเรียบร้อย ก็ไม่ได้รีบกลับห้อง แต่หันหลังกลับ เหลือบไปมอง เมื่อแน่ใจว่าหลี่ซื่อไม่ได้ตามออกมา จึงแอบย่องไปห้องครัวอย่างเบามือเบาเท้า
เชิงอรรถ
[1] วอวอโถว ลักษณะเป็โคน ตรงก้นเป็หลุม สีเหลืองนวลสวย เป็อาหารประเภทแป้งอีกแบบหนึ่งของคนจีนทางเหนือ โดยทำจากแป้งข้าวโพดและถั่วเหลือง ซึ่งในอดีตจะเป็อาหารหลักของคนจน รสชาติจะแห้งกระด้างกว่าก้อนหมั่นโถว
[2] หมี่เฟิ่น เป็อาหารว่างที่มีลักษณะพิเศษชนิดหนึ่งของพื้นที่ทางภาคใต้ของประเทศจีน คนเจียวโหยวมักเรียกเป็ก๋วยเตี๋ยวหรือบะหมี่ หมี่เฟิ่นใช้ข้าวจ้าวเป็วัตถุดิบหลัก
[3] จ้าเฟิ่น เป็เส้นที่เกิดจากการหมักและใส่ส่วนผสมจำพวกเนื้อสัตว์และอื่นๆ ผสมแล้วใช้เครื่องกดออกมาเป็เส้น
[4] จ้วนเฟิ่น เป็อาหารว่างลักษณะพิเศษในกวางตุ้งและยูนนาน วัตถุดิบหลักทำจากข้าวจ้าวคุณภาพสูง
[5] หยางยู่เฟิ่น หรืออีกชื่อว่าทู่โต้วเฟิ่น เป็อาหารว่างพื้นบ้านที่มีชื่อเสียงชนิดหนึ่ง มีต้นกำเนิดจากราชสำนักในราชวงศ์ิ วัตถุดิบหลักคือแป้งมันสำปะหลัง
[6] หวงเหลียนหรืออึ่งโน้ย เป็หนึ่งในสมุนไพรแห้ง ที่มีฤทธิ์เย็นและขมที่สุดในทางการแพทย์แผนจีน