“คุณชายเฉิน”
“คุณชายเฉิน”
“คุณชายเฉิน”
สามสี่วันมานี่ หูของเขาได้ยินแต่เสียงใสเรียก ‘คุณชายเฉิน’ นับครั้งไม่ถ้วน เขาไม่รู้หรอกว่าเ้าของเสียงอยู่ตรงไหน หากแต่ถ้าเขาเผลอทำอะไรตกหล่นหรือเดินสะดุดอะไรสักอย่าง เสียงของนางก็ดังขึ้นข้างตัวเสมอ
สองปีก่อนเขาเดินทางมาพักฟื้นร่างกายที่นี่ ตามคำแนะนำของ เหวินเฮ่าหลัน เศรษฐีใหญ่ผู้มั่งคั่งจากการค้าขาย แม้จะอายุเพียงยี่สิบต้นๆ ทว่าทางของเหวินเฮ่าหลันแต่เื่การค้านั้นสืบทอดความสามารถจากบิดาอย่างน่าชื่นชม ภายนอกมีบุคลิกเป็ชายหนุ่มเ้าสำราญ แต่แข็งกร้าวเมื่อต้องต่อรองการค้า แม้กับทางราชสำนักเอง เขาก็ไม่เคยหวั่นกลัวหรือยอมก้มหัวให้ น่าประหลาดที่อุปนิสัยอย่างเหวินเฮ่าหลันกับคบหากับเขาได้ ร่างกายของเขาไม่ค่อยแข็งแรงมาั้แ่กำเนิด เขาเกิดก่อนกำหนดและมารดาก็สิ้นลมไปในวันที่เขาส่งเสียงร้องแรก ดูเหมือนการกำเนิดของเขาจะนำความเศร้าโศกให้ผู้เป็บิดาจนแทบไม่อยากมองหน้าเขาเลยสักนิด ชีวิตของเขาจึงอยู่กับแม่นมและแม่บุญธรรมเสียมากกว่า เขาซึ่งไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีชีวิตมาจนถึงวันนี้ที่อายุครบยี่สิบแปดแล้วนั้น ช่างเป็ชีวิตที่ผ่านมาด้วยความประหลาดดีแท้ แต่เพราะเขาเป็แบบนี้ก็เป็ได้จึงทำให้ไม่มีใครมายุ่งกับชีวิตของเขา และยังไม่ต้องไปแก่งแย่งชิงอำนาจจากใคร
การที่เขามาอยู่บ้านสกุลเหวินไม่เพียงแค่การพักรักษาตัวกับท่านหมอมู่เท่านั้น เหวินเฮ่าหลันมีเจตนาจะสร้างสำนักการศึกษาให้ผู้ที่สนใจใฝ่รู้ โดยไม่จำเป็ต้องเป็ลูกผู้ดีมีเงินที่ไหน ขอเพียงแค่อยากเรียนเท่านั้น เขาเห็นดีงามกับความคิดนี้จึงเข้ามาดูแลการก่อสร้างรวมทั้งหาครูมาสอนหนังสือ อย่างน้อยมันก็เป็สิ่งที่เขาถนัดและทำมาตลอด
สภาพครึ่งผีครึ่งคนอย่างเขาความจริงก็เป็สุขดีไม่น้อย ไม่นับอาการอ่อนเพลียของตนเองแล้ว ทุกอย่างก็เป็ไปด้วยดี บรรดาน้องชายน้องสาวก็ให้ความเคารพเขาตามสมควร มีเพียงสองเื่ที่มารบกวนจิตใจของเขาคือการที่เขายังไม่แต่งงานและความวุ่นวายเดียวที่เขารับได้คือ ‘เคอหลิ่งหลิน’ นางชอบเขาอย่างเปิดเผยทว่าจริงใจ หน้าตานางออกจะธรรมดา นิสัยยังโผงผางหรือบางครั้งก็เหมือนเด็กทั้งที่นางบอกว่าตัวเองอายุยี่สิบแล้ว
นางไม่เคยถามว่าเขาเป็ใคร นางพอใจกับการเรียกเขาว่า ‘คุณชายเฉิน’ เขาจึงพึ่งพอใจที่จะเรียกนางว่า ‘แม่นางเคอ’ และเมื่อนางไม่ถามเื่ส่วนตัวของเขา เขาก็ไม่ถามเื่ของนาง รับรู้เพียงแค่นางชอบม้าและดูแลม้าอยู่จวนแม่ทัพจ้าว นางมักพกกระบี่ไม้ไผ่เสมอแต่ก็ไม่เคยเห็นนางใช้ทำร้ายผู้ใด
“แม่นางเคอ”
“หือ?” นางเงยหน้าขึ้นมองเขาขณะที่สองมือยังประคองแขนให้เขาเดินไปข้างหน้า
“ทำไมข้ารู้สึกเหมือนเ้าอยู่ข้างกายข้าตลอดเวลาเลยล่ะ เ้าได้กลับไปจวนแม่ทัพบ้างหรือไม่”
“แน่นอน ข้าต้องกลับอยู่แล้ว” นางไม่ได้โกหก หากไม่เพราะนางมีวิชาตัวเบาละก็ นางคงไม่ได้มาหาเขาบ่อยขนาดนี้หรอก เพราะจวนแม่ทัพจ้าวกับบ้านสกุลเหวินอยู่กับคนละมุมเมืองเลยทีเดียว
“ข้าเกรงเ้าจะเหนื่อย”
“ข้าแข็งแรงไม่เป็อะไรง่ายๆ หรอก” นางหัวเราะเสียงใส อบอุ่นใจที่เขาเป็ห่วงนาง เพิ่งรู้ว่าการที่นางอยู่ข้างกายเขามีประโยชน์อยู่บ้าง ดูเขายังไม่ชินกับสายตาที่เริ่มหม่นลงไปเรื่อยๆ นางเฝ้าภาวนาให้ต้าซื่อกลับมาพร้อมยารักษา นางอยากเห็นดวงตาอ่อนโยนของเขาอีกครั้ง
“เ้าอยู่จวนแม่ทัพจ้าวสบายดีหรือไม่”
“อืม...สบายดี” นางตอบตามตรง “ท่านถามทำไมรึ”
“เอ่อ...ถ้าข้าหายดี เ้ามาอยู่กับข้าไหม?”
คำถามนั่นทำให้นางนิ่งไปอึดใจก่อนจะเอ่ยออกมาราวกับไม่แน่ใจในสิ่งที่ได้ยิน
“มาอยู่กับท่าน?” นางขมวดคิ้ว “บ่าวไพร่ท่านไม่พอใช้เหรอ”
“ไยเ้าถามข้าเช่นนั้นเล่า” คราวนี้เป็เขาที่ขมวดคิ้ว
“อ้าว ก็ท่านจะให้ข้าไปอยู่ด้วย ถ้าไม่เป็บ่าวไพร่ จะเอาข้าไปทำอะไรล่ะ”
นางทำหน้างุนงง และอีกฝ่ายก็หัวเราะเบาๆ ใช่เขาอยากให้นางมาอยู่ด้วย แต่ไม่ได้ให้นางมาเป็บ่าวไพร่ เขาเพียงแค่อยากตอบแทนน้ำใจนางที่ดูแลเขายามดวงตาใกล้มืดบอดเช่นนี้
“ท่านอย่าได้กังวล ข้าช่วยท่านเพราะท่านเป็คนดี ท่านไม่ดูถูกดูแคลนข้า ข้าก็ตอบแทนท่านได้เพียงเท่านี้”
เขานิ่งไปอึดใจ การนิ่งงันไปของเขาทำให้หญิงสาวหันมามองก่อนจะยิ้มกว้าง เป็รอยยิ้มที่อีกไม่นานเขาก็จะมองไม่เห็นแล้ว
“ท่านจะคิดอะไรมากเล่า ท่านถือข้าเป็สหาย สหายก็ต้องดูแลกันซิ”
“สหาย? ข้าก็เห็นเ้าเป็สหายมานานแล้ว”
“ถ้าเช่นนั้น...” นางยิ้มแล้วชี้นิ้วที่ตัวเอง “เรียกข้าว่าหลิ่งหลินด้วยซิ เลิกเรียกแม่นางเคอเถอะ”
“ได้ซิ หลิ่งหลิน”
หญิงสาวพยักหน้าอย่างพอใจแล้วพาเขาเดินกลับเข้ามาด้านใน แม่นมเหมยรีบเดินเข้ามาประคองให้นายนั่งที่เก้าอี้
“เ้าลองคิดเื่ที่ข้าพูดเมื่อครู่อีกครั้งเถิดนะ” เขาเอ่ยย้ำเผื่อนางจะเปลี่ยนใจ
“ท่านแม่ทัพมีพระคุณกับข้ามาก ข้าไม่คิดจะไปจากบ้านตระกูลจ้าว” นางพูดตามจริง
“แม้แต่ออกเรือนเ้าก็ไม่คิดรึ?”
“แต่งงานนะเหรอ” คราวนี้เคอหลิ่งหลินถึงกับหัวเราะงอหงาย ขนาดแม่นมเหมยยังประหลาดใจกับท่าทางของนาง
“ข้าอายุยี่สิบแล้ว เลิกคิดเื่ออกเรือนไปนานแล้ว”
ถึงจะถูกพ่อแม่บุญธรรมพูดกรอกหูอยู่เสมอให้นางแต่งงาน แต่ชีวิตนางอยู่ในสนามรบั้แ่เล็กแต่น้อย จะให้เอาใจบุรุษเช่นกุลสตรีพึ่งกระทำนั้นยิ่งเป็เื่ยากยิ่งนัก ไหนจะเื่ที่นางประกาศไว้อีกว่าจะให้น้องชายตัวดีแต่งงานก่อน ป่านนี้จ้าว จิ่นสือก็ยังไม่เห็นมีแววจะไปทาบทามสาวบ้านไหนเลย
อาการหัวเราะจนน้ำตาเล็ดของเคอหลิ่งหลินทำให้ชายหนุ่มถึงกับทำอะไรไม่ถูก นางช่างแตกต่างจากหญิงทั่วไปจริงๆ
“เอาล่ะๆ อย่างไรข้าต้องขอขอบคุณน้ำใจของท่านมาก เอาเป็ว่าข้าไม่คิดไปจากจวนแม่ทัพจ้าว แล้วท่านก็ดื่มยาที่ท่านหมอมู่จัดให้ครบก็แล้วกัน อีกไม่กี่วันต้าซื่อกลับมา ท่านหายดีก็จะได้กลับเมืองหลวงตามเดิม”
ชายหนุ่มทำท่าเหมือนจะเอ่ยปากแต่กลับนิ่งไป อาการนิ่งขรึมเป็ท่าทีประจำของคุณชายเฉินที่เคอหลิ่งหลินคุ้นชินแล้ว นางไม่เห็นเป็ความผิดปกติใด นางก้มศีรษะให้แม่นมเหมยและเอ่ยลาคุณชายแล้วะโแ่ออกไปอย่างรวดเร็วอย่างที่นางทำเป็ประจำ
“เป็อะไรไปรึเ้าคะ” แม่นมถามอย่างรู้สึกถึงบางสิ่งที่รบกวนคุณชายของนางอยู่
“นางเป็คนดี”
“เ้าค่ะ ถึงจะโผงผางไม่สมเป็กุลสตรี กิริยามารยาท
ก็ราวกับหญิงสาวไร้การศึกษา”
“แม่นม” เขาเรียกเสียงเย็น แต่กลับได้เสียงหัวเราะเบาๆของแม่นมเหมย
“แต่นางก็ทำให้คุณชายเฉินหัวเราะ ยิ้มและถึงขั้นออกปากชวนนางมาอยู่ด้วย”
“ข้าไม่ได้คิดอะไรกับนาง เพียงแค่ไม่อยากให้นางลำบากเลยอยากจะซื้อตัวนางมาอยู่เป็เพื่อนแม่นม”
“คนแก่อย่างแม่นมเหมยคนนี้จะ้าเพื่อนไปทำไมละเ้าค่ะ ถ้าเอ็นดูนางก็ลองทาบทามนางเป็อนุดีไหม”
“แม่นมเหมย ข้าบอกแล้วไง ข้าไม่คิดอะไรกับนางเช่นนั้น อีกอย่าง ข้าเองก็ไม่รู้จะอยู่ได้ถึงเมื่อไหร่ จะรั้งนางไว้เพื่อสิ่งใดกันเล่า”
“ท่านควรจะเลิกพูดให้ตัวเองอายุสั้นเช่นนี้เสียทีเถิด ไม่ว่าท่านจะอยู่ถึงเมื่อไหร่ท่านก็ควรใช้ชีวิตให้เต็มที่ถึงจะถูก”
“ช่างเถอะ ข้ารู้ว่าท่านเป็ห่วงข้า” เขาถอนหายใจเบาๆ “ไม่รู้ต้าซื่อจะเป็อย่างไรบ้าง”
“เขาเป็ผู้อารักขาท่าน ท่านอย่ากังวลเื่นั้นไปเลย รีบดื่มยาเถิดเย็นแล้วดื่มไม่คล่องคอ”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับแล้วรับถ้วยยามาดื่ม ดื่มยาจนชินซ้ำยังมารับพิษแทนน้องชายอีก เอาเถิด...โชคชะตาจะเล่นตลกอะไร
กับเขาอีกก็เชิญเลย ข้าไม่ได้หวั่นกลัวกับความตายอีกแล้ว
เพียงแค่ครั้งนี้ หากจะต้องตาย ก็ขอได้เห็นใบหน้าของคนช่างเจรจาอีกสักครั้ง...ครั้งเดียวก็พอ
เคอหลิ่งหลินกลับมาถึงจวนแม่ทัพจ้าว ร่างเพรียวเดินผ่านประตูแล้วชะงักเท้าไป นางเดินเลี้ยวไปที่คอกม้าก่อน แม้จะมีคนดูแลม้าอยู่หลายคนแล้วนางก็อดเป็ห่วงไม่ได้ ม้าก็เปรียบเสมือนอาวุธประจำกายแม่ทัพ แม้ยามสุขสงบก็ต้องดูแลอย่างดี นางแปลกใจที่มีม้าตัวใหม่มาเพิ่ม อาชาสีดำรูปร่างงามสง่า ใบหน้าสวยเผลอยิ้มอย่างไม่รู้ตัว
“ม้ามองโกลตัวนี้มาได้อย่างไร”
“งามใช่ไหม”
“ใช่ งามสง่ามาก” นางตอบไม่หันไปมองเสียงที่เอ่ยถาม นางเดินเข้าไปใกล้ม้าสีดำที่ทำท่าพยศใส่
“ระวังด้วย”
“ชู่ว์” เคอหลิ่งหลินกระซิบพลางยื่นมือไปแตะปลายจมูกเบาๆ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไว้ใจนาง นางจึงเลื่อนฝ่ามือลูบไล้มันอย่างปลอบโยน
“เ้าช่างงามสง่านัก” นางกระซิบ “ข้าจะอาบน้ำแปรงขนให้เ้าอย่างดี”
เสียงหัวเราะด้านหลังทำให้นางตื่นจากภวังค์แล้วหันไป
มอง ชายคนนั้นยืนมองนางอยู่ ด้วยสายตาที่ออกจะหยามเหยียด ใบหน้าคมเชิดขึ้นอย่างคนเอาแต่ใจ แต่นางกลับถอนหายใจเบาๆ เบื่อหน่ายกับคนประเภทนี้นัก คงเป็สหายของจ้าวจิ่นสืออีกละซิ
เ้าเด็กคนนี้ก็เลือกคบคนได้น่าประทับใจดีแท้
“เ้าไม่กลัวม้าตัวใหญ่ขนาดนี้เลยหรือไง”
“ทำไมต้องกลัวม้าที่สง่างามเช่นนี้ด้วย
“เ้าเป็คนดูแลม้าของท่านแม่ทัพหรือ?”
“เ้าค่ะ”
นางยอบตัวลงคารวะตามธรรมเนียม ดูจากเสื้อผ้าแล้วเดาได้ไม่ยากว่าไม่ใช่คนธรรมดา เมื่อเห็นนางไม่มีท่าทีอะไร เขาก็เดินจากไปเฉยๆ เสียอย่างนั้น แต่จริงๆ ั้แ่เขาใช้สายตามองนางแล้วล่ะ นี่เป็ครั้งที่สองที่เจอกัน และเขาก็มองนางเช่นนี้ จะมีใครสักกี่คนที่มองนางด้วยสายตาอ่อนโยนเช่นคุณชายเฉิน โลกนี้คงหาได้ยากยิ่งนัก เอาเถอะ...นางชินชากับสายตาแบบนี้แล้ว มือเรียวลูบแผงคอของอาชางามสง่า นางส่งยิ้มให้แล้วพูดคุยกันสองสามคำก่อนจะหมุนตัวเดินออกมา
“ถ้าข้าหายดี เ้ามาอยู่กับข้าไหม?”
เสียงอ่อนละมุนที่เอ่ยถามยังดังก้องอยู่ในสมองน้อยๆของเคอหลิ่งหลิน นางแปลกใจที่เขาเอ่ยถามนางเช่นนั้น นางชอบเขา เื่นี้เขาก็รู้ดีอยู่แล้ว แค่การที่นางชอบเขาและไม่สร้างความรำคาญให้เขาก็นับว่าดีแล้ว แต่เขาจะให้นางไปอยู่กับเขาในฐานะอะไรกันเล่า ในเมื่อเขาไม่ได้ชอบนาง สิ่งที่เขาปฏิบัติต่อนางก็ไม่ต่างจากที่เขาทำกับเด็กๆ ที่เขาสอนหนังสือเ่าั้เลยด้วยซ้ำ
เขาคงแค่สงสารนาง เอ็นดูนาง เหมือนเด็กๆ เ่าั้
หัวใจเจ็บแปลบขึ้นมาจนมือเรียวต้องยกมือขึ้นมาทาบอกสะกดความเ็ปนั้นไว้ เพราะครั้งนี้ได้ใกล้ชิดกันมากกว่าปกติ ความเ็ปจึงเกิดขึ้นกระมั้ง
ใช่ มันก็แค่นั้นจริงๆ.
